ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - แม้ความเป็นไปได้จริงจะยังไกลสุดกู่ สำหรับโครงการใช้บิทคอยน์ใน “ภูเก็ตแซนบ็อกซ์” และการออกเหรียญดิจิทัล หรือ stablecoin โดยมีพันธบัตรรัฐบาลค้ำประกัน ตามคำชี้แนะของ “นายกฯ ทับซ้อน” นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ให้ “รัฐบาลอิ๊งค์” - แพทองธาร ชินวัตร ไปศึกษา แต่เหล่านักเทรดนักขุดดูจะคึกขานรับกันเกรียว โดยเฉพาะ “Acme Traderist” นายวรวัฒน์ นาคแนวดี เบอร์ต้นในวงการคริปโตเคอร์เรนซี่ ถึงกับโผซบอกทักษิณ ชงให้กู้บิทคอยน์ปลอดดอกเบี้ยเป็นทุนสำรองของประเทศเลยทีเดียว
นายวรวัฒน์ นาคแนวดี หรือ “แอ็คมี่” เจ้าของฉายา “Acme Traderist” ซึ่งคร่ำหวอดในวงการคริปโตเคอร์เรนซี ที่คาดว่าถือครองบิทคอยน์มากถึง 11,000 BTC สนับสนุนให้ไทยใช้บิทคอยน์เป็นกองทุนสำรองของประเทศ โดยมองว่าบิทคอยน์มีศักยภาพสูงมากในการเป็นสกุลเงินดิจิทัลหลักของโลก หากไทยนำบิทคอยน์มาเป็นส่วนหนึ่งของกองทุนสำรอง จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ และเปิดโอกาสให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี Blockchain ในระดับภูมิภาค
“แอ็คมี่” แสดงความยินดีที่อดีตนายกรัฐมนตรี มีแนวคิดสอดคล้องต้องกัน จึงเตรียมแผนปล่อยกู้บิทคอยน์ให้แก่ภาครัฐโดยไม่คิดดอกเบี้ย เพื่อใช้เป็นกองทุนสำรองของประเทศ และมีการค้ำประกันความผันผวนของราคาบิทคอยน์ ทั้งยังพร้อมรวบรวมกลุ่มทุนใหญ่นานาชาติ ที่ถือครองสกุลเงินดิจิทัล โดยเฉพาะบิทคอยน์ให้การสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามนโยบายของประเทศไทย
ในการถือครองบิทคอยน์ของ “แอ็คมี่” ที่มีมายาวนานกว่า 12 ปี นับตั้งแต่ปี 2012 ที่เริ่มขุดเหมืองบิทคอยน์เป็นกลุ่มแรก ๆ ในประเทศไทย เขาขายบิทคอยน์ออกไปน้อยมาก ส่วนใหญ่จะใช้แจกหรือจัดกิจกรรมเพื่อให้ความรู้กับคนไทยโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายและเพื่อการลงทุนบางส่วน ด้านหนึ่งเขาจึงได้ชื่อว่าเป็นนักลงทุนรุ่นใหม่ที่ทำเพื่อสังคม
“แอ็คมี่” ยังเป็นผู้ก่อตั้งเหรียญ ACT (ACET) เปิดตัวมาแล้วกว่า 3 ปี โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมประมาณ 13,825 ล้านบาท มีผู้ถือครองกว่า 156,000 รายจากทั่วโลก
**ประวัติความเป็นมาของ “แอ็คมี่” ถือว่าไม่ธรรมดา เขาเป็นนักร้องนำวง “DoubleDeep” วงร็อคเจ็บลึกขวัญใจเทรดเดอร์ทั่วประเทศ เจ้าของซิงเกิลดัง เช่น Bitcoin (ฝันใหม่), แกล้งเฉย, ยังหวังดี, ผ้าห่ม และซิงเกิลล่าสุดที่เพิ่งเข้าป้ายยอด 7 ล้านวิวอย่าง “เงินซื้อไม่ได้ทุกอย่าง”**
นอกจากการเป็นศิลปิน “แอ็คมี่” เจ้าของฉายา “Acme Traderist” ยังเป็นนักธุรกิจนักลงทุนหมื่นล้าน ในวัยเพียง 36 ปี เขาเป็นเทรดเดอร์ชื่อดังที่มีแฟนเทรดและแฟนคลับนับล้านจากหลายประเทศ และเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีการเงินและการลงทุน (Fintech) ในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงเป็นผู้ก่อตั้งองค์กร Traderist มานานกว่า 10 ปี
“แอ็คมี่ DoubleDeep” ยังร่วมมือกับ TransEuro Group บริษัทให้คำปรึกษาด้านการลงทุนในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ทุ่มลงทุนมูลค่าหมื่นล้านบาทในธุรกิจที่หลากหลาย โดยมีฐานธุรกิจหลักอยู่ที่เมืองดูไบ ทั้งอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวร์รี่ และฟินเทค
ด้วยความกว้างขวาง และความไม่ธรรมดาของ “Acme Traderist” ที่มีเครือข่ายธุรกิจการลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะที่เมืองดูไบ ถิ่นพำนักระหว่างหนีคดีของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่พอ “นายกฯ ทับซ้อน” เปิดเกมเขี่ยลูกแซนบ็อกบิทคอยน์ที่ภูเก็ต “แอ็คมี่” ก็ออกมาขานรับสนับสนุนเต็มที่ทันที
กว่าเดือนมาแล้วที่นักเล่นคริปโตฯ ตื่นตะลึงกับการพุ่งขึ้นของราคาบิทคอยน์ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากข่าวที่ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเดินหน้าจัดตั้งกองทุนสำรองบิตคอยน์ทางยุทธศาสตร์ (Bitcoin Strategic Reserve Rund) ซึ่งนับตั้งแต่ทรัมป์ ชนะศึกเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมาจนถึงเวลานี้ ราคาบิทคอยน์พุ่งขึ้นไปแล้วกว่า 50% และตลาดยังคาดการณ์ว่าการที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จะทำให้ทรัมป์ สามารถผลักดันการผ่อนคลายกฎระเบียบในการควบคุมคริปโตเคอร์เรนซี่ และออกนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมดังกล่าว
แรงหนุนส่งนี้ ทำให้นายทักษิณ ชินวัตร คาดการณ์ว่าในอนาคตราคาบิทคอยน์ อาจพุ่งแรงขึ้นไปถึง 850,000 ดอลลาร์ เลยทีเดียว
นอกเหนือจากโครงการบิทคอยน์แซนบ็อกซ์ในจังหวัดภูเก็ตแล้ว ในวันสัมมนาพรรคเพื่อไทย นายทักษิณ ยังชี้แนะ “รัฐบาลอิ๊งค์” ให้ศึกษา การออกเหรียญดิจิทัล หรือ stablecoin ที่มีพันธบัตรรัฐบาลเป็นสินทรัพย์ค้ำประกัน และเปิดให้นักลงทุนรายย่อยซื้อได้ เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ทำให้มีเงินไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น โดยนายทักษิณเชื่อว่าถ้าทำแบบนี้ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ปีหน้า 2568 จะเติบโต 3.5% และในปี 2569 คาดจีดีพีจะโต 4.0% ไม่มีปัญหา
แนวคิดออก stablecoin ดูเหมือนจะตรงกับนโยบายการแจก Digital Wallet ของพรรคเพื่อไทย ที่ใช้หาเสียงในศึกเลือกตั้งที่ผ่านมา และในช่วงแรกรัฐบาลเพื่อไทยยืนยันว่าการดำเนินโครงการแจกดิจิทัลวอลเล็ต ทำได้เลยไม่ต้องกู้เงิน แต่มีเหตุให้ยื้อยุดไปมาเพราะมีความขัดแย้งกับธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ยืนยันว่าการออก Digital Wallet ต้องมีเงินบาทหนุนค่าทุกบาท สุดท้ายรัฐบาลจึงต้องกู้และผันงบประมาณประจำปี มาแจกเป็นเงินสดแทน
ความน่ากังวลของโครงการนำบิทคอยน์มาใช้จ่ายในแซนบ็อกซ์พื้นที่จังหวัดภูเก็ต และการออก stablecoin นั้น นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI ให้ความเห็นว่า แนวคิดดังกล่าวมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้ผล และอาจเกิดผลกระทบในระยะยาว ยกตัวอย่างประเทศเอลซัลวาดอร์ ที่เคยประกาศให้บิทคอยน์เป็นสกุลเงินที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
นักวิชาการจากทีดีอาร์ไอ ชำแหละแนวคิดนายทักษิณในสองประเด็นสำคัญ คือ
หนึ่ง การใช้บิทคอยน์ซื้อขายสินค้าและบริการ กรณีนี้คล้ายกับโมเดลของเอลซัลวาดอร์ที่เผชิญความท้าทายจากราคาบิทคอยน์ที่ผันผวน หากราคามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ผู้ถือบิทคอยน์ก็ไม่ต้องการใช้จ่าย เพราะจะเสียโอกาสจากการถือเก็งกำไร ในทางกลับกัน หากราคามีแนวโน้มลดลง ร้านค้าก็ไม่อยากรับชำระเงินด้วยบิทคอยน์ เนื่องจากความเสี่ยงขาดทุน
สอง การออกเหรียญดิจิทัลโดยมีพันธบัตรค้ำประกัน ประเด็นนี้มีความคล้ายกับแนวคิดการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ซึ่งถูกวิจารณ์ในแง่กฎหมาย เนื่องจากเป็นการสร้างสกุลเงินใหม่ขึ้นมาแข่งขันกับเงินบาท ซึ่งธนาคารกลางของหลายประเทศมักไม่เห็นด้วย เพราะจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในสกุลเงินท้องถิ่น และสร้างความสับสนในการใช้งาน
นักวิชาการจากทีดีอาร์ไอ ยังสลายฝันเฟื่องของนายทักษิณ ที่ว่า บิทคอยน์และเหรียญดิจิทัลจะเพิ่มเม็ดเงินในระบบ ทำให้เศรษฐกิจเติบโต 3-4% ในปี 2568-2569 ว่า ในความเป็นจริงนั้นอาจเป็นไปได้ยาก เนื่องจากแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจยังจำกัด โดยคาดว่าจีดีพีในปี 2568 จะขยายตัวเพียง 2.4-2.8% เท่านั้น
โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากการบริโภคภายในมีข้อจำกัดจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูง การส่งออกมีความไม่แน่นอนจากปัญหาเศรษฐกิจโลก เช่น สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ มีเพียงการท่องเที่ยวที่แนวโน้มขยายตัวดี ส่วนการลงทุนภาครัฐและการลงทุนภาคเอกชน เพิ่งฟื้น สำหรับปี 2569 แม้เศรษฐกิจอาจฟื้นตัวขึ้น แต่หากไม่มีการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ก็มีแนวโน้มที่จีดีพีจะขยายตัวอยู่ในกรอบจำกัดที่ 2.8-3.2% เท่านั้น
หากยังจำกันได้ ในช่วงสองปีที่ผ่านมาที่บิทคอยน์ราคาพุ่งทะลุฟ้า และตลาดการลงทุนคริปโตเคอเรนซี่ในไทยเฟื่องฟูจากการปั่นกระแสของ อภิมหาดีล SCBX เตรียมเข้าซื้อ Bitkub ก่อนดีลนี้จะเลิกล้มไปในเวลาต่อมา มีข่าวคราวการออกเหรียลดิจิทัล เพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการจับจ่ายซื้อสินค้าและบริการที่อึกทึกครึกโครม กระทั่งทำให้ทางธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ออกเกณฑ์กำกับการให้บริการของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และไม่สนับสนุนการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสื่อกลางชำระค่าสินค้าหรือบริการ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 เป็นต้นมา
การออกหลักเกณฑ์ครั้งนั้น เนื่องจากแบงก์ชาติ และ ก.ล.ต. ห่วงเรื่องความเสี่ยงจากราคาที่อาจผันผวนก่อให้เกิดผลกระทบ เนื่องจากยอดการใช้จ่ายของผู้ซื้อหรือรายรับของผู้ขายมีความไม่แน่นอน และความเสี่ยงในการฟอกเงิน เสี่ยงต่อการถูกโจรกรรม และส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจการเงินของประเทศ
อย่างไรก็ดี ในแง่ของการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล ก.ล.ต.ยังเดินหน้าพัฒนาต่อเนื่อง โดยเวลานี้ ก.ล.ต.กำลังปรับปรุง พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัลฯ และกฎเกณฑ์อื่น ๆ ที่จะมีผลบังคับไปพร้อมกฎหมายดังกล่าว เพื่อรองรับระบบนิเวศหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ (Digital Securities Ecosystem) โดยการนำเทคโนโลยี Blockchain เข้ามาปรับใช้ในธุรกิจตลาดทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และจำเป็นจะต้องมี Stablecoin ที่มีเงินบาทหนุนหลัง หรือ Baht–Backed Stablecoin เพื่อใช้ในระบบนิเวศของหลักทรัพย์ดิจิทัล โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนไม่เกินไตรมาส 2/2568
ทั้งนี้ เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เว็บไซต์การเงินธนาคาร รายงานว่า มูลค่าตลาด Stablecoin ในตลาดโลกพุ่งขึ้นไปกว่า 46% ในปี 2567 ทำนิวไฮที่ 190,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และยังปรับขึ้นไปอีกกว่า 211,600 ล้านดอลลาร์ กว่า 7.4 ล้านล้านบาท เมื่อกลางเดือนธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยบริษัท Tether ผู้ออก Stablecoin สกุล USDT ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ครองส่วนแบ่งตลาดถึง 70% มีมูลค่าตลาดกว่า 141,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 4.9 ล้านล้านบาท มีเหรียญหรือ Token หมุนเวียนอยู่ในตลาดกว่า 140,100 ล้าน USDT
ในขณะที่ “นายกฯ ทับซ้อน” ฝันเฟื่องถึงการเติบโตของจีดีพีในปีหน้าและปีถัดไปไต่ระดับขึ้นถึง 3-4% จากโครงการบิทคอยน์แซนบ็อกซ์ภูเก็ต และการออก Stablecoin เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง แต่ผลประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ล่าสุด เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.25 ต่อปี
กนง.มองว่า เศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายจากการแข่งขันจากภายนอกที่รุนแรงขึ้น และความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะแนวนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลัก มีดีขึ้นเพียงท่องเที่ยว ส่วนภาคอุตสาหกรรมฟื้นตัวได้ช้า คาดว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวที่ร้อยละ 2.7 และ 2.9 ในปี 2567 และ 2568 ตามลำดับ โดยได้รับแรงสนับสนุนต่อเนื่องจากการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน รวมทั้งการส่งออกสินค้า
ต้องรอติดตามกันต่อไปว่า “รัฐบาลอิ๊งค์” จะเกาะขบวนรถไฟสายบิทคอยน์ – Stablecoin ที่ราคากำลังพุ่งขึ้นและเติบโตอย่างหวือหวาตามคำชี้แนะของอดีตนายกรัฐมนตรีผู้พ่อ หรือไม่ อย่างไร
โดยเฉพาะหลังจากที่ “เจอโรม พาวเวล” ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) กล่าวกับผู้สื่อข่าวหลังเสร็จสิ้นการประชุมนโยบายการเงิน ว่า เฟดไม่ต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องกับความพยายามใด ๆ ของรัฐบาลในการสต็อกบิตคอยน์จำนวนมาก ในแง่ของประเด็นทางกฎหมายเกี่ยวกับการถือครองบิตคอยน์นั้น เป็นเรื่องที่สภาคองเกรสจะพิจารณา แต่เฟดจะไม่หาทางเปลี่ยนแปลงกฎหมายเพื่อให้เฟดสามารถถือครองบิตคอยน์