ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ถือเป็นตัวเร่งอุณหภูมิการเมืองชั้นดีสำหรับ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนักโทษเด็ดขาดชายแห่ง “ชั้น 14” ที่วันนี้ไม่เพียงมีฐานะเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี ยังเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของ “ลูกอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันด้วย
แถมไม่ใช่ “พ่อ” ที่เคยปวารณาตัวเมื่อยามเป็นสัมภเวสีเร่ร่อนหนีคดีอยู่ในต่างประเทศว่า จะกลับประเทศไทยมาเลี้ยงหลาน หากแต่ทำตัวไม่ต่างอะไรกับ “นายกรัฐมนตรีตัวจริง”
ยามใด “ทักษิณ” มีความเคลื่อนไหว หรือได้หล่นวาทะในเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ก็พร้อมจะแสดงความ “ใหญ่คับฟ้า” ให้สาธารณชนเห็นอยู่เสมอ
ล่าสุดโผล่ไปร่วมวงสัมมนาโครงการเสริมศักยภาพสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และบุคลากรทางการเมือง ของพรรคเพื่อไทย ที่หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อ 13 ธันวาคม 2567 ก็ถือโอกาสยึดฟลอร์เดี่ยวไมโครโฟน พูดพร่ำในหลายประเด็น ซึ่งมิอาจมองเป็นอื่นได้ว่า สิ่งที่ “ทักษิณ” พูดหรือแสดงออก เป็นการแสดงบทบาท “เจ้าของพรรคเพื่อไทย” เป็น “นายกรัฐมนตรีตัวจริง” พร้อมการแสดงพาวเวอร์ที่อยู่เหนือ “รัฐบาลลูกสาว” ที่ชัดเจนขึ้นทุกวัน
ดังนั้น คำกล่าวที่ว่า “กร่างคับประเทศ” หรือ “ใหญ่คับฟ้า” คงไม่เกินเลยไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก
ท่อนที่เป็นประเด็นในทางการเมืองมากที่สุด ไม่พ้นกรณีการพิจารณาพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เกี่ยวกับมาตรการทางภาษีระหว่างประเทศ ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)
“ทักษิณ” ใส่แบบเต็มแม็กว่า “...เมื่อ 2 วันก่อนมี พ.ร.ก.เกี่ยวกับมาตรการทางภาษีระหว่างประเทศเข้าที่ประชุม ครม. ปรากฏว่ามีพรรคร่วมบางพรรคหลบ ป่วย อย่างนี้ไม่ใช่เลือดสุพรรณนี่หว่า ถ้าอยู่ด้วยกันก็ต้องด้วยกันสิ วันหลังไม่อยากอยู่ต้องบอกให้ชัดเจน เราเป็นคนพูดรู้เรื่อง ห้ามหนี ต่อไปใครหนีก็บอกว่าถ้าหนีก็ส่งใบลาออกมาด้วย ง่ายดี
“ผมเป็นคนเกลียดพวกอีแอบ ตรงไปตรงมาง่ายๆ อยู่ก็อยู่ ไม่อยู่ก็ไม่ต้องอยู่ ถ้าอยู่ก็ต้องสู้ด้วยกัน ในเมื่อเป็นนโยบายรัฐบาลร่วมกัน แถลงนโยบายคุณยกมือเห็นด้วย พอได้เก้าอี้ รัฐมนตรีค่อยๆ หลบมือออก ไม่ได้ ต้องตรงไปตรงมา..
“พรรคร่วมรัฐบาลต้องทำงานร่วมกันจริงๆ ตรงไปตรงมา มีอะไรไม่พอใจพูดกัน แต่สิ่งไหนที่เป็นนโยบายรัฐบาลคือต้องทำ ไม่ใช่ได้ตำแหน่งแล้วไม่เอาแล้ว รัฐบาลเป็นกลไกประชาธิปไตย มีหลายออปชั่น อยากส่งสัญญาณให้รู้ว่า วันนั้นไม่สวยเลย วันนี้ที่หายไปตอน พ.ร.ก.เข้า มันไม่ใช่ลูกผู้ชาย ให้รู้ว่าการทำงานร่วมกันง่ายมาก...”
จนบัดนี้ก็ยังไม่มีการชี้ชัดถึงความสลักสำคัญของ พ.ร.ก.ฉบับที่ว่า แต่ก็ถูกมองว่า “ทักษิณ” แค่ “หาเหตุ” เพื่อ “แยกเขี้ยวขู่” พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคแบบซึ่งๆ หน้า ประหนึ่งว่า ตนเองคือ “นายกรัฐมนตรี” และ “หัวหน้าพรรคเพื่อไทย” โดยที่มิได้ใส่ใจว่า สังคมจะคิดอย่างไร หรือเกรงกลัวที่จะถูกร้องด้วยข้อหา “ครอบงำ” เหมือนที่ผ่านมา
นั่นแสดงว่า “ทักษิณ” มั่นใจใน “อำนาจบารมี” ของตนเองว่า สามารถควบคุมทุกองคพยพของบ้านนี้เมืองนี้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
เมื่อสำรวจตรวจสอบผู้ที่อยู่ในข่ายถูก “ทักษิณ” กล่าวถึงก็พบว่า มีรัฐมนตรีลาประชุมในวันนั้น 7 ราย ประกอบด้วย อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.มหาดไทย, พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯและ รมว.พลังงาน, มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ, ทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย, อัครา พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์, สุรศักดิ์ พันธุ์เจริญวรกุล รมช.ศึกษาธิการ และ สุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์
จำนวนนี้แบ่งเป็น 3 พรรค คือ พรรคภูมิใจไทย, พรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคกล้าธรรม
ในส่วนของ “พรรคกล้าธรรม” คงต้องตัดออกจากข่าย เพราะรู้กันดีว่า ”อัครา“ เป็นน้องชาย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา อดีต รมว.เกษตรและสหดรณ์ ที่ล่าสุดเพิ่งได้เข้าสังกัด พรรคกล้าธรรม นั้นปวารณาตัวเป็น “เด็กบ้านจันทร์ส่องหล้า” อยู่แล้ว
ขณะที่ “พรรคภูมิใจไทย” พรรคร่วมรัฐบาลอันดับ 2 ที่มีรัฐมนตรีถึง 3 คนที่ลาประชุม ก็ปรากฎว่า ในวันนั้น “อนุทิน” เข้าร่วมประชุม ครม.หลังจากเริ่มประชุมไประยะหนึ่ง ส่วน “ทรงศักดิ์” ติดภารกิจเปิดงานของกระทรวงมหาดไทย โดยแจ้งไว้ล่วงหน้าแล้ว ขณะที่ “สุรศักดิ์” แจ้งลากิจ
โดย “ค่ายเซราะกราว” ถือว่ามีจังหวะ “ขบเหลี่ยม” กับแกนนำรัฐบาลอย่าง พรรคเพื่อไทย มาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีประเด็นร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กลาโหม ที่มีประเด็น ”รุกฆาต-ทอนอำนาจ” กองทัพ ที่เสนอโดย ประยุทธ์ ศิริพานิชย์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่ครั้งนั้น “ทักษิณ” ออกมา “เหน็บ” ว่า “อนุทิน” นั้น “รีบหล่อ” ไปหน่อย ก่อนที่ “ประยุทธ์” จะถอนร่างกฎหมายออกไป
พลันกลับมาอยู่ในโฟกัสทั้งที่เรื่องเดิมยังไม่จาง “อนุทิน” ก็เลยต้องปฏิเสธหลายครั้งว่า ที่ “นายใหญ่เพื่อไทย” พูดถึง คงไม่ได้หมายถึงตัวเอง แถมยังพูดทำทีเป็น “ไร้เดียงสา” ว่า หากมีประเด็นปัญหาอะไร จะฟังสัญญาณจาก “นายกฯ แพทองธาร” เท่านั้น
กระทั่งล่าสุดของล่าสุดก็มีการหักกันในการลงมติร่าง พ.ร.บ.ประชามติ ที่พรรคภูมิใจไทย แพ็คกับ “สว.สีน้ำเงิน” สวนกับแนวทางของพรรคเพื่อไทย ที่แม้ฝ่าย “ค่ายสีแดง” จะหักด่านได้ แต่ก็ต้องเสียเวลารอไปอีก 180 วัน ถูกจะหยิบร่างกฎหมายขึ้นมาพิจารณา
หันมาดูในส่วนของ “ค่ายลุงตู่” พรรครวมใจสร้างชาติ ที่แม้จะมีการปฏิเสธเช่นกัน แต่ดูเหมือนกระแสจะเทใจเชื่อกันว่าเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของ “ทักษิณ” ด้วยความที่เป็นน้ำคนสาย ปลาคนละห้วย จุดยืนทางกรรเมืองขัดแย้งกันมาก่อน แต่มาร่วมรัฐบาบด้วยสถานการณ์บังคับ
อีกทั้งต้องไม่ลืมว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มี เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เป็นเลขาธิการพรรค เคยมีส่วนสำคัญในการขย่ม “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ต้องหล่นจากอำนาจ และ “ระบอบทักษิณ” ต้องหลุดจากวงจรไปนานนับ 10 ปี
ตลอดจนมีการพูดกันว่า “พีระพันธุ์” ในฐานะ รมว.พลังงาน ก็เล่นคนละคีย์กับ “กลุ่มทุน” ที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ในหลายเรื่อง ทำให้มีแนวคิดที่จะตะเพิด “พรรคลุง” ให้ออกจากรัฐบาล ตามโมเดล “ค่ายลุงป้อม” พรรคพลังประชารัฐ ที่โดนอัปเปหิออกไปก่อนหน้านี้
หากเป็นตามนี้จริง ก็จะเท่ากับพรคคเพื่อไทยได้ 2 เด้ง ทั้งการดึงกระทรวงพลังงานกลับมาดูแลผลประโยชน์เอง และยังพ่วงการลบครหา “มีเรา มีลุง” ที่ทุกวันนี้ถูกนินทาดูถูกอยู่ตลอด
อย่างไรก็ดี เป้าหมายที่ “ทักษิณ” พูดถึงจะเป็นใครคงไม่สำคัญไปกว่า “บทบาท” ที่ “ทักษิณ” พยายามแสดงให้คนเห็น และไม่ต้องการเป็นแค่ “เบื้องหลัง” อย่างที่ควรจะเป็น หลังจากเริ่มขยับออกมา “หน้าม่าน”ผ่านบทบาทผู้ช่วยหาเสียงของผู้สมัครเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) พรรคเพื่อไทย ในหลายจังหวัด
ในเวทีเดียวกัน “ทักษิณ” ยังถือโอกาส “แก้ต่าง” กรณี MOU 2544 ที่กลับมาเป็นประเด็นถูกจับตามองอีกครั้งว่า อาจทำให้ประเทศไทยต้องเสียดินแดน รวมทั้งทรัพยากรทางทะเลด้วย โดยก่อนหน้าที่จะไปหัวหิน เจ้าตัวก็เคยประกาศไว้ว่า จะอธิบายโดยละเอียดเพื่อให้ทุกคนได้รับรู้ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
แต่ปรากฏ “ทักษิณ” แทบไม่ได้อธิบายที่มาที่ไป เป็นพูดแบบ “กำปั้นทุบดิน” ว่า ประเทศไทยไม่มีทางเสียดินแดนแน่นอน
ถอดรหัสคำชี้แจงสั้นๆ ของ “ทักษิณ” ที่แสดงความมั่นใจว่า จะไม่เสียดินแดนนั้น ก็ไม่ได้มีการหยิบยกเรื่องหลักการใดๆ แต่อวดโอ้ในความสัมพันธ์ฉัน “เพื่อน” กับทาง “ฮุนเซ็น” นั่นเอง
และนอกเหนือจาก 2 ประเด็นที่ว่าไปแล้ว “ความกร่าง” ของ “ทักษิณ”ก็ยังเกินเลยจากสถานะ “พ่อนายกฯ” แต่เป็นไปในลักษณะสั่งการ “นายกฯ ลูกอิ๊งค์” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษี, การใช้บิทคอยน์ในแซนด์บ็อกซ์ (Sandbox) แหล่งท่องเที่ยว, การเพิ่มจีดีพี, การลดหนี้สาธารณะ, การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ, โครงการบ้านเพื่อคนไทย และโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นต้น
“แล้ววันนี้เงินคริปโท (Cryto) หลายสกุลก็ออกมาแล้ว มีคนบอกว่าอีกหน่อยเราจะมีสกุลเงินมากกว่าจำนวนประเทศชาติในโลกนี้ คือแบงก์ของประเทศหนึ่งมีมากกว่าหนึ่งสกุล เพราะฉะนั้นวันนี้คนไทยต้องคิดและต้องเตรียมรู้เท่าทันให้ได้ นายกฯ อิ๊งค์ มอบให้กระทรวงการคลังไปศึกษาว่าเราจะรับบิทคอยน์ได้ไหม เราจะ Sandbox ในแหล่งท่องเที่ยวอย่างภูเก็ตหรือหัวหินนี้ได้ไหม คือคนมีบิทคอยน์มันกำไรทั้งนั้น มันมีแนวโน้มจะใช้เยอะ สมมุติว่าต้นทุนหมื่นนึงวันนี้มันมีค่าแสนนึง ไปพักห้องสวีทดีกว่าแสนเดียวเท่ากับหมื่นเดียว เพราะฉะนั้นวันนี้หลายประเทศจะเริ่มแล้ว”
เนื้อหาที่ “ทักษิณ” ว่าไปนั้น แทบไม่เหลือทางให้ “ลูกสาว” ที่ติดโผสตรีผู้ทรงอิทธิพลของโลกลำดับ 29 ได้เดินในฐานะผู้นำประเทศ แถมยังเป็นการตอกย้ำตำแหน่ง “นายกฯ ฟันน้ำนม” ที่ยังต้องมีพ่อ และลิ่วล้อของพ่อคอยประกบเป็นพี่เลี้ยงอีกด้วย
แต่ที่คำพูดของ “ทักษิณ” ที่ “สะกิดใจ” ที่สุดเห็นจะเป็นคำพูดช่วงเปิดหัวที่ว่า “…วันนี้ก็ได้กลับมาเมืองไทย คงจะได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ให้กับบ้านเมืองไม่มากก็น้อย เพราะว่าเวลาก็เหลืออีกไม่นานแล้ว อายุปีนี้ 75 ปี แล้ว คงเหลืออีกสัก 40 ปี ผมเป็นคนคิดบวก พูดเล่น พูดอะไร ไปก็อย่าแปลกใจ ผมก็บอกอยู่ตลอดเวลาว่า ขออีก 40 ปี เจรจาพระเจ้าในประเทศไทยไว้ว่า ผมหายไป 17 ปีนะ จะขอคืน 17 ปี ด้วยแล้วกัน”
หลงลืมไปว่าเคย ”ขอ“ กลับประเทศเพื่อมา “เลี้ยงหลาน” และประกาศจะไม่ยุ่งการเมืองหลายครั้งหลายครา แต่กลับมาเล่นบท “นายกฯ ตัวจริง” เช่นทุกวันนี้ และยิ่งจะชัดเจนมากขึ้นตามแพลนความเคลื่อนไหวที่มีการวางยาวไปถึงปีหน้า
ไม่เท่านั้นยังมีผู้ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า “พระเจ้าในประเทศไทย” ที่ “ทักษิณ” ว่านั้นต้องการสื่อถึงเรื่องใดกันแน่ด้วย
ที่สำคัญคือ ต้องไม่ลืมว่า 17 ปีที่ “ทักษิณ” หนีไปนั้นเป็นการหนีความผิดที่คดโกงชาติบ้านเมือง ด้วยการใช้อำนาจฉ้อฉลเชิงนโยบายเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์จากธุรกิจที่ถือครองก่อนเข้ามารับตำแหน่ง และศาลมีคำพิพากษาให้ติดคุกติดตะรางมาแล้ว
นอกจากนั้น ยังมีอีกหลายกรรมหลายวาระที่ “ทักษิณ” ทำตัว “ใหญ่คับฟ้า” ยกตัวอย่างเช่น การพูดออกมาหน้าตาเฉยราวกับคำสั่งการด้วยการประกาศให้กรมสรรพากรและปปง.ตรวจสอบเส้นทางการเงินของบรรดานักร้องที่ออกมาร้องเรียน
หรือแม้กระทั่งการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ผ่านมา ก็เห็นได้ชัดว่า “ทักษิณ” มีบทบาทสำคัญยิ่ง และลงไปล้วงลูกถึงขั้นกำหนดตัวผู้สมัครด้วยซ้ำไป ไม่ว่าจะเป็นที่ “ปทุมธานี” หรือที่ “ปราจีนบุรี” ก็ดำเนินไปในเส้นทางเดียวกัน
จังหวะพอดีกับที่หลายเรื่องร้องเรียนกรณีครอบงำพรรคเพื่อไทย-ล้มล้างการปกครอง ถูกองค์กรอิสระตีตก ที่ “ทักษิณ” คงอ่านแบบเข้าข้างตัวเองว่า “ทิศทางลม” เป็นใจสำหรับตัวเอง รวมทั้งรัฐบาลเพื่อไทย จึงสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างไม่ต้องเกรงใจใคร
แต่ทิศทางลมที่ว่าดูจะเข้าทางเฉพาะ “ทักษิณ” เพราะต้องไม่ลืมว่าความ “กร่าง-อหังการ์” ที่ยอมรับกันไม่ได้อย่างกรณี “คุกวีไอพีชั้น 14” นั้นกำลังกลายเป็น “กรรม”ที่มาไล่ล่าผู้ที่เกี่ยวข้องเมื่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.)มีมติให้ตั้งองค์คณะไต่สวนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์และแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ รวม12 ราย กรณีเอื้อประโยชน์ให้กับ “ทักษิณ” ซึ่งคงต้องติดตามกันต่อไปว่า สุดท้ายแล้วบทสรุปจะเป็นเยี่ยงไร
แต่ที่แน่เสียยิ่งกว่าแช่แป้งก็คือ “ทักษิณ” คงลอยตัวเหมือนหลายๆ เรื่องที่ผ่านมา เฉกเช่นเดียวกับคดีทุจริตจำนำข้าวของ “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็มีแต่บรรดาลิ่วล้อที่ตกระกำลำบากติดคุกติดตารางจนได้พักโทษออกมาแล้ว
เห็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว พูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า “ระบอบทักษิณ” ที่สำแดงเดชในช่วงที่ “ทักษิณ” เป็นนายกรัฐมนตรี ฟื้นคืนชีพกลับมาโดยสมบูรณ์แบบแล้ว