ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
เช้าวันต่อมา ทางเจ้าหน้าที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กได้พาคณะจากจีนไปเยือนที่ทำงานของตน และบ้านพักเด็กที่ประสบปัญหาสังคมด้านต่างๆ ซึ่งรวมถึงหญิงจีนที่ได้รับการช่วยเหลือจากทางการไทย ที่ในตอนนั้นมีอยู่จำนวนหนึ่งที่อยู่ระหว่างการสอบประวัติก่อนจะส่งกลับจีน ฝ่ายจีนจึงได้เข้าไปสนทนากับหญิงจีนเหล่านี้
การได้มาเยือนนี้ทำให้ทางจีนได้เห็นการทำงานขององค์กรพัฒนาเอกชนหรือเอ็นจีโอไทย ดูแล้วก็รู้ว่ามีอิสระอย่างไร มีแหล่งที่มาของทุนจากไหน สถานะของเจ้าหน้าที่เป็นเช่นไร ตลอดจนมีปฏิสัมพันธ์กับหน่วยงานรัฐในด้านใด ซึ่งเป็นสิ่งที่ทางจีนไม่มี ด้วยมีระบอบการปกครองที่แตกต่างกับไทย การได้มารับรู้เช่นนี้ก็ทำให้ทางจีนสามารถนำไปเปรียบเทียบกับองค์กรภาครัฐของตน ที่ทำงานคล้ายกับของไทย อย่างเช่น สมาพันธ์สตรีจีน เป็นต้น
พอตกบ่ายเราก็พาคณะจากจีนไปยังสถานทูตจีนที่ถนนรัชดาภิเษก โดยเจ้าหน้าที่สถานทูตที่มาต้อนรับก็คือเจ้าหน้าที่ที่ประสานงานกับฝ่ายไทย ในการทำเรื่องส่งหญิงจีนกลับไปยังประเทศจีน เมื่อพบกันและแนะนำตัวกันพอเป็นพิธีแล้ว ฝ่ายจีนทั้งสองกลุ่มก็สนทนากันถึงปัญหาต่างๆ ที่ผ่านมา
ผมซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วยจึงได้เห็นคนจีนทะเลาะกันเป็นครั้งแรก ประเด็นที่ทะเลาะกันก็คือ การประสานงานในการส่งตัวหญิงจีนกลับจีน ดังที่ผมเคยเล่าไปแล้วว่า เมื่อมีการช่วยหญิงจีนออกมาและต้องส่งหญิงจีนเหล่านี้กลับประเทศจีน ซึ่งทำให้ต้องติดต่อกับสถานทูตจีนนั้น ได้ทำให้เราได้รู้จักกับเจ้าหน้าที่สถานทูตท่านนี้
ส่วนการประสานงานของฝ่ายจีนที่ขลุกขลักในตอนนั้นรายละเอียดเป็นอย่างไร ทางเราย่อมไม่รู้ด้วยเป็นเรื่องภายในของฝ่ายจีน แต่ก็มารู้เอาก็ตอนที่เขาทะเลาะกันนี่แหละ เขาทะเลาะกันเสียงดังลั่นจนดูน่ากลัวว่าจะมีเรื่อง แต่ผมมารู้ทีหลังว่าเป็นเรื่องปกติของคนจีน ที่เมื่อสนทนากันในถึงปัญหาใดก็มักจะมีความจริงจังและเสียงดัง จนคนนอกอย่างคนไทยที่ไม่รู้เรื่องตกใจนึกว่าเขาทะเลาะกัน
ตอนที่รู้เช่นนั้นผมอดนึกขำในใจไม่ได้ว่า ถ้าคนไทยคุยกันแบบนั้นก็หมายความว่าต่อไปจะมีการชกต่อยกันหรือฆ่ากันตายไปข้างแน่
อย่างไรก็ตาม เมื่อการสนทนาด้วยเสียงอันดังผ่านไประยะหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายก็ค่อยๆ เบาเสียงลงเมื่ออารมณ์สงบลง จากนั้นเขาก็คุยกันถึงรายละเอียดในการประสานงานที่จะมีขึ้นต่อไปในอนาคต ว่าจะทำอย่างไรให้การส่งตัวหญิงจีนกลับประเทศมีความราบรื่นมากขึ้น โดยเฉพาะหญิงจีนที่ยากแก่การตามที่อยู่ในจีน
หลังจากกำหนดการที่สถานทูตแล้วเราก็พาฝ่ายจีนกลับที่พักในโรงแรม เพื่อเตรียมตัวเดินทางขึ้นไปเชียงใหม่ในคืนวันนั้น ผมถามฝ่ายเราว่าทำไมถึงให้เดินทางตอนกลางคืนซึ่งมันจะไม่สะดวกต่อการพักผ่อน ฝ่ายเราตอบผมว่า เป็นเพราะฝ่ายจีนต้องการรู้ว่าฝ่ายไทยทำงานกันอย่างไร เราก็เลยต้องทำให้ฝ่ายจีนรู้ว่าเราทำเช่นนั้นจริงๆ คือเวลาไปต่างจังหวัดไกลๆ ฝ่ายไทยจะเดินทางตอนกลางคืนเพื่อที่ว่าพอถึงที่หมายตอนเช้าแล้วจะได้ทำงานต่อทันที
ผมไม่รู้ว่าฝ่ายจีนคิดอย่างไรที่เดินทางตอนกลางคืนแล้วนอนกันบนรถตู้ แต่ก็ไม่เห็นมีใครบ่นว่ากระไร และทุกคนต่างก็นอนหลับกันได้ ยกเว้นผมซึ่งพอผิดที่แล้วก็หลับยาก ได้แต่นอนหลับๆ ตื่นๆ ไปตลอดทาง จนเมื่อไปถึงเชียงใหม่แล้วทุกอย่างก็ดูผ่อนคลายลง เพราะฝ่ายจีนได้ยินกิตติศัพท์ความงามของเชียงใหม่มาก่อนแล้ว การได้มาเชียงใหม่จึงเป็นหมุดหมายหนึ่งของคนจีน
ตอนนั้นคนจีนยังไม่รู้จักเชียงใหม่มากเท่าตอนนี้ และที่รู้จักตอนนี้จนพากันมาเที่ยวเชียงใหม่กันอย่างคึกคักคงเป็นเรื่องที่พูดกันปากต่อปาก เรื่องแบบนี้อย่าให้คนจีนรู้เชียว เพราะถ้ารู้แล้วก็จะพากันเฮโรสาระพากันมาอย่างที่เห็น
ที่เชียงใหม่นี้ฝ่ายไทยได้พาฝ่ายจีนไปเยือนสำนักงานของตนด้วยเช่นกัน และเมื่อเสร็จภารกิจในเรื่องงานแล้วก็พักผ่อน ช่วงพักนี้เองที่ฝ่ายจีนดูจะพอใจที่ได้เห็นบ้านเมืองเชียงใหม่ ตอนนี้ผมมาคิดดูอีกทีก็คิดว่า ฝ่ายจีนกลุ่มนี้น่าจะเป็นกลุ่มแรกๆ ที่มาเชียงใหม่ ในขณะที่เชียงใหม่ยังไม่ได้เป็นหมุดหมายในความรู้สึกของคนจีน
เราอยู่กันที่เชียงใหม่สองวันก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ ซึ่งคราวนี้กำหนดการเป็นของผม เพราะผมต้องนำคณะฝ่ายจีนมาเยือนสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ ที่ผมทำงานอยู่ กำหนดการนี้ได้มีการเตรียมการล่วงหน้าเอาไว้แล้ว โดยฝ่ายจีนได้มีการพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลและความคิดเห็นกับผู้บริหารสถาบัน ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี ถึงฝ่ายจีนที่มาเยือนนี้จะไม่ใช่นักวิชาการก็ตาม
เมื่อสนทนาแลกเปลี่ยนกันแล้วก็ถึงเวลาอาหารเที่ยงพอดี อาหารมื้อนี้ไม่เหมือนมื้อที่ผ่านมาซึ่งเป็นอาหารตามสั่งในร้านอาหาร แต่เป็นบุฟเฟต์ที่เราว่ามาจากข้างนอกเพื่อรับประทานกันในห้องประชุมของสถาบัน แน่นอนว่า อาหารที่สั่งย่อมค่อนข้างดีโดยเน้นไปที่อาหารไทยที่มีรสไม่เผ็ดมาก รวมทั้งของหวานและผลไม้ด้วย
ฝ่ายจีนดูจะพอใจกับอาหารมื้อนี้ เพราะสามารถเลือกตักได้ตามที่ต้องการ ซึ่งแรกที่เห็นผมเองก็ไม่เข้าใจ ถึงแม้จะรู้สึกดีใจที่เห็นฝ่ายจีนพอใจ ที่ไม่เข้าใจก็เพราะผมคิดว่าฝ่ายจีนน่าที่จะชอบอาหารตามสั่งมากกว่าบุฟเฟต์ แต่ที่ไหนได้ฝ่ายจีนกลับตักอาหารมากกว่าหนึ่งครั้ง
โดยเฉพาะข้าวสวยนั้นทุกคนต่างก็ตักกันพูนจาน ตอนแรกผมคิดว่านั่นเป็นเรื่องปกติของคนจีนที่มักทานข้าวเยอะอยู่แล้ว แต่พอเห็นตักจานที่สองผมก็รู้สึกดีใจ แล้วก็พูดขึ้นว่าอาหารถูกปากใช่ไหม แต่คำตอบที่ได้คือ ไม่ใช่
คนจีนต่างก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ชอบข้าวหอมมะลิ
พอได้ยินเช่นนั้นผมก็นึกขึ้นได้ว่า อาหารมื้อก่อนหน้านี้ไม่ใช่ข้าวหอมมะลิ แต่กับมื้อนี้เราเองก็จัดตามปกติของเราอยู่แล้วทุกงาน โดยไม่ได้เฉลียวใจว่าคนจีนจะชอบข้าวหอมมะลิของไทย และจากอาหารมื้อจึงทำให้ผมรู้เป็นครั้งแรกว่าคนจีนชอบข้าวหอมมะลิของไทย ชอบจนตักกันพูนจาน ซึ่งผิดกับคนไทยที่มักจะตักกันไม่มาก ตอนที่รู้นี้คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้กัน
ตั้งแต่นั้นมาผมจึงจำเรื่องนี้ใส่ไว้ในใจเรื่อยมา ว่าถ้าผมได้ไปเยือนจีนครั้งต่อไปแล้ว ของฝากที่ดีที่สุดก็คือ ข้าวหอมมะลิ
จนอีกหลายปีต่อมา ผมมีโอกาสได้เดินทางไปจีนเป็นคณะกว่า 20 ชีวิต ซึ่งทำให้ผมสามารถแชร์น้ำหนักสัมภาระกับคณะที่ไปได้ ผมจึงซื้อข้าวหอมมะลิถุงละห้ากิโลกรัมจำนวนห้าถุงไปฝากคุณหวังและเพื่อนของเขาที่ผมได้รู้จักในชั้นหลัง และได้กลายเป็นเพื่อนสนิทของผมไปด้วยในเวลาต่อมา
หลังจากนั้นไม่กี่วันผมจึงได้ถามคุณหวังว่า ข้าวหอมมะลิที่ผมฝากให้เป็นอย่างไรบ้าง ได้หุงกินแล้วหรือยัง คุณหวังตอบว่า ทันทีที่ได้รับเขาก็รีบหุงแทนข้าวที่มีอยู่แล้วทันที
ปรากฏว่า ตอนที่ข้าวเริ่มเดือดจนถึงตอนที่ข้าวสุกนั้น กลิ่นหอมของข้าวไม่เพียงคลุ้งในห้องพักของเขาเท่านั้น หากยังคลุ้งออกไปนอกห้องพักไปยังห้องอื่นๆ ของแฟลตที่เขาพักอยู่กับครอบครัวด้วย
จนเพื่อนข้างห้องต้องตะโกนถามผ่านทางหน้าต่างว่า ห้องใครหุงข้าวไทยหว่า หอมจังเลย คุณหวังจึงตอบออกไปอย่างภูมิใจว่า ห้องเขาเอง เพื่อนคนไทยซื้อมาฝาก
ผมฟังแล้วก็รู้สึกยินดีที่เพื่อนชาวจีนชอบของฝากของผม จนอดภูมิใจข้าวหอมมะลิของเราไปด้วยไม่ได้ จะเสียดายก็แต่หลังจากนั้นผมก็ไม่อาจซื้อไปฝากได้อีก ด้วยทางการจีนเข้มงวดเรื่องการนำเข้าข้าวของฝากจำพวกพืชผักผลไม้
ผมลืมบอกไปว่า ตอนที่ผมซื้อข้าวหอมมะลิเป็นของฝากนั้น ผมไม่รู้ว่าคนจีนเรียกว่าอะไร จนมาได้ยินที่คุณหวังเล่านี้แหละ จึงรู้ว่า คนจีนเรียกข้าวหอมมะลิว่า ข้าวไทย (ไท่หมี่, 泰米) ซึ่งจนถึงตอนนี้ได้กลายเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของไทยไปยังจีนแล้ว