xs
xsm
sm
md
lg

ความมั่นใจเกินเหตุของผู้นำทางการเมือง / พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 จักรพรรดินโปเลียน โบนาปาร์ต (ภาพ : วิกิพีเดีย)
"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

 ในทุกยุคสมัย ผู้นำที่ก้าวขึ้นสู่เวทีการเมืองย่อมต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในความสามารถ วิสัยทัศน์ และการตัดสินใจของตนเอง ความมั่นใจถือเป็นคุณลักษณะที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้นำ

ผู้นำที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจสามารถชี้นำผู้คน ฝ่าฟันอุปสรรค และสร้างแรงบันดาลใจให้ประชาชนมีความหวัง แต่หากความมั่นใจนั้นเกินขอบเขต กลับกลายเป็น  ความมั่นใจเกินเหตุ (Overconfidence) มันจะเป็นเหมือนดาบสองคมที่ไม่เพียงทำร้ายแต่ตัวผู้นำเอง แต่ยังทำลายประเทศชาติและประชาชนที่อยู่ภายใต้การบริหารปกครองของเขา ในหน้าประวัติศาสตร์โลกมีตัวอย่างมากมายที่บอกเล่าถึงความสูญเสีย ความขัดแย้ง และบาดแผลที่ยากจะลืมเลือนจากการตัดสินใจผิดพลาดที่เกิดจากความมั่นใจของผู้นำ

ผู้นำผู้ครองอำนาจมายาวนาน วันแล้ววันเล่าที่เสียงสรรเสริญและความสำเร็จหลั่งไหลเข้ามาเป็นเกราะกำบังให้เขา เขาเริ่มเชื่อว่าตนเองคือผู้ที่ไม่มีวันพลาด ไม่มีใครเทียบเทียม ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเล็กน้อยอาจถูกมองข้ามไปอย่างไม่ใส่ใจ เพราะผู้นำเช่นนี้มั่นใจเสียเหลือเกินว่าการตัดสินใจของเขาย่อมถูกต้องเสมอ แม้ว่าเสียงคัดค้านและคำเตือนจากรอบข้างจะดังแค่ไหนก็ตาม มันกลับถูกปัดตกด้วยความคิดที่ว่า  “พวกเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉันทำ”

เหตุผลที่ผู้นำตกหลุมพรางความมั่นใจเกินเหตุมีหลายประการด้วยกัน

 ประการแรก การมีอำนาจที่ยาวนานสร้างความรู้สึกว่าไร้ผู้ใดเทียบเท่า เมื่อผู้นำอยู่ในอำนาจเป็นเวลานาน ความรู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าคนอื่นย่อมเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว สถานะและบทบาทของพวกเขาทำให้ทุกคำพูด ทุกการตัดสินใจถูกยอมรับโดยไม่มีข้อกังขา ในระบบการปกครองที่ขาดการตรวจสอบและถ่วงดุล การเผชิญกับคำวิจารณ์ที่จริงใจย่อมน้อยลงอย่างมาก ผู้นำที่มองเห็นตนเองเป็นผู้ไร้เทียมทานจึงก้าวสู่การตัดสินใจที่เสี่ยง โดยประเมินความสามารถของตนสูงเกินไป ดัง จักรพรรดินโปเลียน โบนาปาร์ต ที่เคยยิ่งใหญ่เหนือผู้นำยุโรป กลับตกหลุมพรางความมั่นใจของตนเองจนตัดสินใจบุกโจมตีรัสเซียอย่างหุนหันพลันแล่น สุดท้ายกองทัพของเขาถูกบดขยี้โดยความหนาวเหน็บและความอดทนของฝ่ายตรงข้าม

 ประการที่สอง การมีปรากฏการณ์ห้องสะท้อนเสียง (Echo Chambers) ลองนึกถึงห้องหนึ่งที่เต็มไปด้วยเสียงสะท้อนซ้ำ ๆ ทุกคำพูด ทุกความเห็น ล้วนเป็นเสียงที่ยืนยันความถูกต้องของสิ่งที่ผู้นำคิดและเชื่อ ผู้ติดตามที่รายล้อมอยู่รอบตัวต่างกล่าวยกย่อง แสดงความจงรักภักดี และปิดกั้นเสียงวิจารณ์จากภายนอก ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่รู้ แต่บางครั้ง “กลัว” ที่จะบอกความจริง

ด้วยเหตุนี้ผู้นำจึงเดินหน้าด้วยความมั่นใจอย่างเต็มที่ โดยที่ไม่รู้ว่าข้างหน้านั้นมีหลุมพรางรออยู่ ดังผู้นำหลายคนในยุคปัจจุบันรวมทั้งผู้นำประเทศไทยที่รายล้อมด้วยผู้สนับสนุนและสื่อที่ตอกย้ำแต่ความสำเร็จ ผลที่ตามมาคือการตัดสินใจที่ขาดการตรวจสอบรอบด้าน นำไปสู่การพังทลายของแผนนโยบายที่กำลังพยายามผลักดัน

 ประการที่สาม การติดกับดักของความสำเร็จในอดีต  ชัยชนะในอดีตเป็นเสมือนเกียรติยศที่ทำให้ผู้นำรู้สึกว่าตนเอง  “ไม่มีทางผิด” ความสำเร็จทำให้พวกเขาเชื่อว่าทุกอย่างที่ทำล้วนถูกต้อง และอนาคตก็จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน พวกเขาลืมไปว่า สถานการณ์ที่เปลี่ยนไป และความซับซ้อนใหม่ ๆ ในโลก ย่อมไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยแนวทางเดิมเสมอไป ดังเห็นได้จากการบริหารในยุค จอมพลแปลก พิบูลสงคราม (ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง)

จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นหนึ่งในผู้นำที่โดดเด่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ด้วยความสามารถในการสร้างแนวคิด  “รัฐนิยม” และความพยายามในการพัฒนาประเทศ เช่น การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมการศึกษา และการสร้างความภาคภูมิใจในความเป็นไทย นโยบายเหล่านี้ทำให้เขาได้รับการยอมรับในฐานะผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ เมื่อเข้าสู่ยุคหลังสงคราม จอมพลแปลกยังคงใช้แนวคิด “รัฐนิยม” แบบเดิม โดยเน้นการควบคุมประชาชนและการสร้างภาพลักษณ์ของความเป็นไทยที่เขาคิดว่าดีที่สุด

 จอมพลแปลก พิบูลสงคราม

 นายทักษิณ ชินวัตร
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์หลังสงครามโลกได้เปลี่ยนแปลงไป เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ยุคใหม่ และประชาชนเริ่มเรียกร้องสิทธิเสรีภาพมากขึ้น แต่นโยบายของเขากลับไม่ได้ปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ผลที่ตามมาทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มปัญญาชนและคนรุ่นใหม่ สุดท้ายจอมพลแปลกถูกกดดันจนต้องออกจากตำแหน่ง

นโยบายประชานิยมและการบริหารของพรรคการเมืองของตระกูลชินวัตร (ยุค 2544-2557) ในช่วงต้นทศวรรษ 2540 พรรคการเมืองที่นำโดยนายทักษิณ ชินวัตร ประสบความสำเร็จอย่างมากในเชิงนโยบาย โดยเฉพาะนโยบายประชานิยม เช่นโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค โครงการกองทุนหมู่บ้าน นโยบายพักชำระหนี้เกษตรกร นโยบายเหล่านี้สร้างความนิยมในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มรากหญ้า และทำให้พรรคการเมืองนี้ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย

ด้วยความมั่นใจในความสำเร็จของนโยบายประชานิยมในอดีต ผู้นำของพรรคการเมืองยังคงเดินหน้านโยบายประชานิยมอย่างต่อเนื่องโดยไม่ประเมินความเสี่ยงในระยะยาว ตัวอย่างสำคัญคือ  โครงการรับจำนำข้าว ซึ่งผู้นำเชื่อว่าการแทรกแซงตลาดจะนำไปสู่การควบคุมราคาข้าวโลกและยกระดับชีวิตของเกษตรกร แต่ความซับซ้อนของตลาดข้าวโลกและปัญหาทุจริตในระบบทำให้โครงการนี้ประสบความล้มเหลว ส่งผลให้เกิดความเสียหายทางการคลังมหาศาล ประชาชนเสื่อมศรัทธาและโครงการกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งทางการเมืองที่ลุกลามจนถึงปัจจุบัน

 ประการที่สี่ การขาดกลไกการตรวจสอบและถ่วงดุล ในระบบที่กลไกการตรวจสอบอ่อนแอ ผู้นำทางการเมืองสามารถตัดสินใจโดยไม่ถูกท้าทาย พวกเขามองว่าตนเองมีเสรีภาพอย่างไม่มีขอบเขตในการออกคำสั่ง การตัดสินใจจึงขาดความรอบคอบ เสียงวิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญหรือฝ่ายค้านมักถูกมองว่าเป็น “ศัตรู” มากกว่า “คำเตือน” ดังเห็นได้จากผู้นำหลายคนในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบอำนาจนิยมที่มักจะผลักดันโครงการขนาดใหญ่ที่สิ้นเปลืองทรัพยากรโดยไม่มีการศึกษาความเสี่ยงอย่างรอบคอบ สุดท้ายกลับนำมาซึ่งหนี้สินและปัญหาให้กับประเทศ

สำหรับผู้นำระดับโลกที่มีความมั่นใจเกินเหตุจนสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศอย่างรุนแรงมีหลายคน ที่เห็นได้ชัดเจนคือ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และการรับมือกับ COVID-19 (สหรัฐอเมริกา)

  โดนัลด์ ทรัมป์

 โกตาบายา ราชปักษา
เมื่อการระบาดของไวรัส COVID-19 เริ่มต้นขึ้นในปี 2563 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แสดงความมั่นใจเกินเหตุในความสามารถของตนและรัฐบาลในการควบคุมการแพร่ระบาด ทรัมป์กล่าวหลายครั้งว่า COVID-19 จะหายไปเองภายในเวลาไม่นาน และลดทอนความรุนแรงของโรค พร้อมทั้งปฏิเสธข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ในช่วงแรก ๆ การประเมินสถานการณ์ต่ำเกินไปส่งผลให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดในโลก มีผู้เสียชีวิตหลายแสนคน และระบบสาธารณสุขเผชิญกับวิกฤตใหญ่

อีกกรณีที่ใกล้ประเทศไทยคือ วิกฤตเศรษฐกิจของศรีลังกา และการบริหารของราชปักษา (ปี 2565) โกตาบายา ราชปักษา อดีตประธานาธิบดีศรีลังกา เป็นอีกตัวอย่างของผู้นำที่แสดงความมั่นใจเกินเหตุในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ ราชปักษาดำเนินนโยบายตัดลดภาษีครั้งใหญ่ โดยเชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่กลับขาดการประเมินผลกระทบต่อการเงินของประเทศ

นอกจากนี้ เขายังประกาศนโยบายห้ามใช้ปุ๋ยเคมีในภาคเกษตรกรรมอย่างกะทันหันโดยไม่มีการเตรียมพร้อม ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ รายได้จากภาษีของรัฐบาลลดลงอย่างหนัก ประเทศเผชิญปัญหาหนี้สาธารณะพุ่งสูง ประชาชนขาดแคลนอาหารและน้ำมัน เกิดการประท้วงครั้งใหญ่จนรัฐบาลล่มสลาย

สำหรับในประเทศไทย นอกเหนือจากโครงการจำนำข้าวแล้ว ก็ยังมีโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่จำนวนมากของรัฐบาลหลายยุคหลายสมัย เช่น บ้านเอื้ออาทร การสร้างสนามบินในต่างจังหวัด สนามกีฬา ท่าเรือน้ำลึก หรือเขื่อนบางแห่งในอดีต โครงการเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ผู้นำทางการเมืองแสดงความมั่นใจเกินเหตุในศักยภาพของโครงการ ซึ่งทำให้โครงการหลายแห่งกลายเป็น “โครงการร้าง” ที่ไม่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการสูญเสียงบประมาณแผ่นดินอย่างมหาศาลโดยไม่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ตามที่คาดหวัง

อีกเรื่องที่กำลังจะเป็นปัญหาในปัจจุบันคือ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจผ่านนโยบายประชานิยมที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยแจกเงินจำนวน 10,000 บาท ให้ประชาชนจำนวนหลายสิบล้านคน เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้า โดยผู้นำพรรคเพื่อไทยแสดงความมั่นใจว่านโยบายเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในทันที แต่ในที่สุดผลลัพธ์ก็ไม่ได้เกิดขึ้นตามที่คาดหวัง ทำให้ประเทศต้องสูญเสียโอกาสในการพัฒนา และยังต้องรับภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น

ยิ่งกว่านั้นนโยบายแจกเงิน 10,000 บาทหรือนโยบายประชานิยมอื่น ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นก็ไม่ได้แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจแต่อย่างใด ซึ่งหมายความว่าปัญหาความเหลื่อมล้ำยังคงไม่ได้รับการแก้ไขอย่างแท้จริง

จะเห็นได้ว่าผลลัพธ์ของความมั่นใจเกินเหตุไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบระยะสั้นเท่านั้น หากแต่ยังสร้างความเสียหายในระยะยาวอีกด้วย การตัดสินใจที่ผิดพลาดทำให้ทรัพยากรของชาติถูกใช้ไปอย่างสูญเปล่า ทั้งบางกรณียังอาจสร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างไม่อาจประมาณได้ โดยเฉพาะในการตัดสินใจที่เกี่ยวกับสงคราม การแก้ปัญหาความไม่สงบภายในประเทศ หรือโครงการขนาดใหญ่ (เช่น การตัดสินใจที่ผิดพลาดของผู้นำรัฐบาลในการแก้ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในช่วงปี 2546-2547 และโครงการจำนำข้าว เป็นต้น)

การตัดสินใจที่ผิดพลาดอันเกิดจากความมั่นใจเกินเหตุยังบั่นทอนความไว้วางใจจากประชาชนจนยากจะฟื้นคืนกลับมาได้ และทำให้ประเทศต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่ที่ยืดเยื้อหลายทศวรรษ

ความมั่นใจของผู้นำเป็นดั่งเชื้อเพลิงที่ขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า แต่เมื่อความมั่นใจนั้นขาดการตรวจสอบ ขาดความรอบคอบ และขาดการรับฟัง ตัวผู้นำเองก็กลายเป็นผู้ที่หยิบไฟแห่งหายนะขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว การตัดสินใจที่ผิดพลาดจากความมั่นใจเกินเหตุ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่บทเรียนส่วนตัวของผู้นำ หากแต่คือบทเรียนของทั้งประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงจำเป็นต้องมีแนวทางแก้ไขที่ชัดเจน โดยอาศัยทั้ง การปรับเปลี่ยนทัศนคติของผู้นำ และ การเสริมสร้างระบบที่เข้มแข็ง เพื่อตรวจสอบและถ่วงดุลการใช้อำนาจ

 คุณสมบัติที่แท้จริงของผู้นำที่ดีคือ การที่พร้อมยอมรับว่าตนเองไม่ได้รู้ทุกอย่าง รับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลาย ตระหนักถึงความไม่แน่นอน พร้อมที่จะยอมรับความผิดพลาดและรับผิดชอบต่อการกระทำของตน ขณะเดียวกันกลไกตรวจสอบและการมีส่วนร่วมของสังคมคือเกราะป้องกันสำคัญที่จะช่วยให้ผู้นำไม่ตกหลุมพรางของความมั่นใจเกินเหตุ และทำให้การบริหารประเทศเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง 


กำลังโหลดความคิดเห็น