ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก
นับเป็น “สุภาษิตไทย” ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่ “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร” ต้องเผชิญในเวลานี้ เพราะเพิ่งจะเคลียร์คัทในประเด็นเรื่องขึ้น “ภาษีมูลค่าเพิ่ม 15%(VAT)” ที่ออกมาจากปาก “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และยังไม่สะเด็ดน้ำซักเท่าไหร่ ก็ต้องมาเผชิญกับเรื่อง “ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม (ฉบับที่…) พ.ศ. …” ซ้ำเข้าไปอีกดอก
ที่สำคัญคือ ทั้งสองเรื่องล้วนแล้วแต่กระทบต่อคะแนนนิยมและเสถียรภาพของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น
เรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม 15% ที่ดำเนินไปภายใต้แนวคิด “การปรับโครงสร้างภาษีใหม่ภายใต้สูตรเสมอ 15-15-15” ทำให้ “นายกฯ อิ๊งค์” ต้องเรียก “นายพิชัย” พร้อมด้วยคณะที่ปรึกษา นำโดย “พันศักดิ์ วิญญรัตน์” และ “ศุภวุฒิ สายเชื้อ” เป็นอาทิ มาประชุมด่วน เพราะสังคมทุกภาคส่วนแม้แต่คนของพรรคเพื่อไทยด้วยกันเองก็มีความเห็นตรงกันว่าคือ เป็นการ “ขึ้นภาษีคนจน แต่ลดภาษีคนรวย”
เพราะนอกจากการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม 15% แล้ว การปรับโครงสร้างภาษีอีก 2 ประเภทคือ การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลงมาเหลือ 15%” จากปัจจุบันที่เก็บเป็นขั้นบันได 20–35% ทำให้คนรวยคนจนเสียภาษีเท่ากันหมดคือ 15% เช่นเดียวกับการลดภาษีนิติบุคคลลงมาเก็บขั้นตํ่า 15% ก็คือการลดภาษีคนรวย เพราะเดิมต้องเสียต้องเสียภาษีในอัตราสูงสุด 35%
สุดท้ายนายกฯ อิ๊งค์ก็ต้องโพสต์ชี้แจงเป็นฉากๆ ว่า
“1.ไม่มีการปรับ VAT เป็น 15% 2.กระทรวงการคลังกำลังศึกษาการปรับโครงสร้างภาษี ซึ่งต้องมองทั้งระบบให้ครบทุกมิติและเป็นธรรม เพื่อลดความเหลื่อมลํ้า และสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 3.การปรับโครงสร้างภาษีประเทศอื่นๆ ใช้เวลาศึกษาและปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป บางประเทศใช้เวลาปรับเปลี่ยนกว่า 10 ปี 4.นโยบายหลักของรัฐบาลคือ ลดรายจ่ายของประชาชน ลดรายจ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพของภาครัฐ ควบคู่ไปกับการหาโอกาสจากการสร้างรายได้ใหม่ให้ประชาชน ทั้งหมดนี้เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของพี่น้องประชาชนค่ะ”
งานนี้คงทำให้ “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจอย่างพิชัย ชุณหวชิร” คงต้องสงบปากสงบคำไปอีกนาน เผลอๆ อาจส่งผลทำให้หลุดเก้าอี้ถ้าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) ครั้งต่อไปอีกต่างหาก เพราะสร้างความเสียหายกับทั้งตัวนายกฯ และรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างมาก
ส่วนเรื่อง “ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม (ฉบับที่…) พ.ศ. …” นั้น นับเป็น “ความควาย” ที่สร้างความสั่นสะเทือนต่อเสถียรภาพของรัฐบาลไม่แพ้กัน
ทั้งนี้ ร่างกฎหมายฉบับนี้นำเสนอโดย “หัวเขียง-นายประยุทธ์ ศิริพาณิชย์” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และคณะ ซึ่งสาระสำคัญคือ การให้อำนาจคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีหน้าที่และอำนาจพิจารณาแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล เพื่อสกัดการรัฐประหาร
ไม่ว่าจะเป็น มาตรา 35 ที่ระบุว่า ห้ามใช้กำลังทหารเพื่อกระทำการที่มิชอบด้วยกฎหมายบางประการ เช่น ยึดอำนาจจากรัฐบาล ก่อกบฏ ขัดขวางการปฏิบัติราชการ เพื่อธุรกิจ หรือกิจการที่เป็นประโยชน์ส่วนตัวของผู้บังคับบัญชา เป็นต้น
ขณะที่การใช้กำลังทหารเพื่อการปราบปรามการจลาจลให้เป็นไปตามที่กระทรวงกลาโหมกำหนด โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
อีกทั้ง เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่านายทหารชั้นสัญญาบัตรผู้ใด ได้กระทำการ หรือตระเตรียมการเพื่อกระทำการตามมาตรา 35 วรรคหนึ่ง (1)ให้นายกรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจให้นายทหารผู้นั้นหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้เป็นการชั่วคราวในระหว่างรอการสอบสวน โดยไม่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนการสั่งพักราชการตามที่กฎหมายกำหนดไว้
นอกจากนี้ มาตรา 42 ในส่วนของ “สภากลาโหม”จากเดิมที่ให้ “รมว.กลาโหม”เป็นประธานสภากลาโหม เปลี่ยนเป็น “นายกรัฐมนตรี” เป็นประธานสภากลาโหม รวมทั้งยังมีกรณี การแต่งตั้งนายทหาร “ชั้นนายพล” ที่ต้องเสนอ ครม.เห็นชอบ และครม.สามารถสั่งทบทวนรายชื่อใหม่ได้
เป็น “นายประยุทธ์” คนเดียวกับที่เคยเสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย จนนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเมืองในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรมาแล้ว
ที่น่าสนใจก็คือคนที่ออกโรง “ค้าน” ร่างกฎหมายฉบับนี้อย่างดุดันก็มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลแพทองธารเอง
เริ่มจาก “เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกธูล” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่แสดงความคิดเห็นแรงๆ ออกมาว่า “ในมุมมองของพรรคภูมิใจไทย ขณะนี้ปัญหาใหญ่ของประเทศคือ ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาใหญ่ของประชาชนคือปัญหารายได้ และความยากจน ปัญหาโครงสร้างพื้นฐานยังเป็นปัญหาเร่งด่วนที่รัฐต้องเร่งดำเนินการ พรรคภูมิใจไทยให้ความสำคัญกับปัญหาเหล่านี้มากกว่าการจัดระเบียบ หรือการจัดโครงสร้างการบริหารราชการกลาโหม”
“เสี่ยหนู” พูดด้วยน้ำเสียงปกติ แต่เนื้อหาบ่งบอกชัดเจนว่า ไม่เห็นด้วยขั้นสุด เพราะแทนที่จะไปแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนเพื่อสร้างคะแนนนิยม กลับไปทำเรื่องที่สุ่มเสี่ยงจะทำให้รัฐบาลพังเร็วขึ้นกว่าเก่า
ตามต่อด้วย “พรรคดีเอ็นเอของลุงตู่” คือ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ที่ตั้งโต๊ะแถลงข่าวชัดเจนว่า “ไม่เอาร่างกฎหมายฉบับนี้” พร้อมอธิบายด้วยว่า พรรคเห็นด้วยกับการทำให้กองทัพมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ แต่ต้องไม่กระทบกับความมั่นคงโดยเฉพาะการให้การเมืองเข้าไปแทรกแซงกิจการของกระทรวงกลาโหม
ไม่นับรวม “พรรคฝ่ายค้าน” อย่าง “พรรคพลังประชารัฐ” ของ “ลุงป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ที่ต่อต้านอย่างแข็งขันเป็นปกติวิสัย
ขณะที่ “เนติบริกร” อย่าง “วิษณุ เครืองาม” ผู้มีความสัมพันธ์อันดีกับพรรคเพื่อไทย และ “นายใหญ่” ไม่ตอบแบบตรงไปตรงมา แต่ก็ยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า “ขนาดตำรวจยังไม่มา ครม. คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เขาทำเสร็จแล้วจบ และกราบบังคมทูลฯ มีแต่พลเรือนที่ต้องมา ครม. เนื่องจากรัฐธรรมนูญไปเขียนเอาไว้”
ความจริงถ้า “ถอดรหัส” จากสิ่งที่นายวิษณุพูดก็อาจตีความน้ำเสียงที่ซ่อนอยู่ระหว่างบรรทัดได้ว่า นายวิษณุไม่เห็นด้วยกับการที่การเมืองเข้าไปแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ทั้งข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจและข้าราชการพลเรือน ไม่เช่นนั้นคงไม่พูดว่า “มีแต่พลเรือนที่ต้องมา ครม. เนื่องจากรัฐธรรมนูญไปเขียนเอาไว้”
นอกจากนี้ ถ้าหากย้อนหลังไปดูเหตุการณ์ในอดีตก่อนที่กฎหมายของกระทรวงกลาโหมจะให้อำนาจในการพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการทหารจบลงที่ “สภากลาโหม” ก็จะพบว่า เป็นผลมาจากการเมืองเข้าไปแทรกแซงการแต่งตั้งข้าราชการทหาร
ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือในยุคที่ “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี กับการประเคนเก้าอี้ “ผู้บัญชาการทหารบก” ให้กับ “บิ๊กตุ้ย-พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร” ผู้เป็นเครือญาติของตัวเอง เพราะเมื่อไล่เรียงเส้นทางของ “บิ๊กตุ้ย” ตามธรรมเนียมปฏิบัติที่เคยเกิดขึ้นในอดีต จะไม่มีทางก้าวขึ้นสู่เบอร์หนึ่งในกองทัพบกได้เลย
กล่าวคือ พล.อ.ชัยสิทธิ์นั้น เป็นนายทหาร“เหล่าช่าง”และอยู่นอกไลน์“5 เสือ ทบ.” แต่สามารถข้ามห้วยจากกองบัญชาการทหารสูงสุด ในตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษ กองบัญชาการทหารสูงสุด มาเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกในปี 2545 แบบ “เหาะเกินลงกา” เพื่อขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกในปี 2546 ก่อนจะถูกเด้งพ้นในปีถัดมาให้ไปนั่งเก้าอี้ “ผู้บัญชาการทหารสูงสุด”
และคนที่เข้ามานั่งเก้าอี้แทน พล.อ.ชัยสิทธิ์ ก็มิใช่ใครอื่น หากแต่คือ “ลุงป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ผู้ให้กำเนิด “บูรพาพยัคฆ์” และ “3ป.” ที่หากยังจำกันได้ “นายทักษิณ” เคยเหน็บแนมว่า “มาเกาะโต๊ะขอเป็น ผบ.ทบ.”
อย่างไรก็ดี แม้สุดท้ายแล้ว “นายประยุทธ์” ตัดสินใจที่จะถอนร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวกลับมาปรับปรุงแก้ไขใหม่ พร้อมให้เหตุผลว่า “เป็นกฎหมายที่ตนและคณะเป็นผู้เสนอในนามส่วนตัว ไม่ใช่ความเห็นพรรคเพื่อไทย” ขณะที่ “บิ๊กอ้วน-ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ก็ออกตัวไปในทำนองเดียวกัน แต่ว่ากันตามจริง ก็ต้องบอกว่า พรรคเพื่อไทยปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้
เป็นไปได้อย่างไรที่จะมีการปล่อยให้สมาชิกพรรคดำเนินการกับกฎหมายสำคัญได้ตามใจชอบ โดยที่พรรคไม่รู้ไม่เห็น
ที่สำคัญคือ ร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านขั้นตอนต่างๆ มาจนกระทั่ง “เว็บไซต์ของรัฐสภา” ได้มีการออกประกาศรับฟังความเห็นอย่างเป็นเรื่องเป็นราว โดยกำหนดการรับฟังความเห็นตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค.2567-1 ม.ค.2568 ดังนั้น การปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็นทั้งรัฐบาล นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พรรคเพื่อไทยและทักษิณ ชินวัตรจึงเป็นเรื่องตลกสิ้นดี
ถ้า “หัวเขียง” ทำตามลำพัง ทำไมถึงจะถอนร่างโดยนำเข้าสู่การประชุมของพรรคเพื่อไทยในวันที่ 12 ธันวาคม
ยิ่งเป็นการดำเนินงานโดย “หัวเขียง” ด้วยแล้ว ยิ่งชัดเสียยิ่งกว่าชัด เพราะครั้งที่แล้วก็เสนอกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย ซึ่งสังคมฟันธงตรงกันว่า รับคำสั่งมาจาก “นายใหญ่” ดังนั้น ครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน
นอกจากนั้น หนึ่งในสิ่งที่พิสูจน์ได้เป็นอย่างดีก็คือ การที่ “เสี่ยเต้น-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ที่ปรึกษานางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ประกาศต่อสาธารณชนว่า เห็นด้วยกับร่างกฎหมายฉบับนี้
“ท่านเต้น” โพสต์เฟซบุ๊กเอาไว้ว่า “โดยส่วนตัวผมเห็นด้วยกับร่างแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหมของ สส.พรรคเพื่อไทย ไม่ใช่เพราะเชื่อหรือคาดหวังว่าจะสกัดการรัฐประหารได้ แต่เห็นว่าเป็นความพยายามทำให้กองทัพทำงานสอดคล้องกับรัฐบาลจากการเลือกตั้งมากขึ้น”
เป็นความคิดที่สอดคล้องกับท่าทีของ “พรรคประชาชน” ที่ยืนหนึ่งในเรื่อง “การปฏิรูปกองทัพ” มาตลอดควบคู่กับเรื่อง “การปฏิรูปสถาบัน” ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็คงหยั่งรู้อยู่แล้วว่า การเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวจะได้รับการสนับสนุนจากพรรคส้มร้อยเปอร์เซ็นต์
ดังเช่นที่ “ตัวตึง” ของพรรคประชาชนอย่าง “วิโรจน์ ลักขณาอดิสร” แสดงความเห็นเอาไว้ว่า จุดร่วมกันจุดหนึ่งของร่างกฎหมายของพรรคเพื่อไทยกลับพรรคประชาชนก็คือ “ต้องการให้กองทัพอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน”
ทว่า เมื่อ “ไปไม่รอด” ความซวยจึงมาเยือน “หัวเขียง” ไปเต็มๆ โดยเฉพาะตัว “ทักษิณ ชินวัตร” เองที่เพิ่งมา “หงายการ์ด” เอาในตอนท้ายว่าไม่รู้ไม่เห็นและปกป้องนายกฯ ผู้เป็นลูกสาวว่า “ตกใจ เพราะเรื่องนี้ไม่ได้เข้ากระบวนการของพรรคเพื่อไทย”
นอกจากนี้ ยังเหน็บแหนมไปที่ “เสี่ยหนู-อนุทิน” อีกต่างหากว่า “ภูมิใจไทย รีบหล่อเร็วไปนิด ขอให้หล่อช้าๆ หน่อย”
...ถึงตรงนี้ เห็นได้ชัดว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยมีความพยายามที่จะแก้กฎหมายดังกล่าวจริง แต่ไม่ใช่ด้วยเพราะกลัวการรัฐประหารจากประสบการณ์ตรงที่เคยผ่านมาแล้วถึง 2 ครั้งในยุคของ “ทักษิณ ชินวัตร” และ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เพียงประการเดียว หากมีความเป็นไปได้สูงที่ต้องการไปจัดวาง “คนของตนเองในกองทัพ” เหมือนที่เคยทำมาในอดีต