xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

วาระแห่งชาติกู้ภาพลักษณ์ “นวดไทย” หลังตกเป็นจำเลย ท่าบิดคอคร่าชีวิต

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เพราะ  นวดแผนไทย  ไม่ได้เป็นเพียง  ธุรกิจ แต่ถือเป็น  มรดกทางวัฒนธรรม  ที่สำคัญของชาติ ทำให้กระแสข่าวกรณีการเสียชีวิตของหญิงสาวรายหนึ่งหลังเข้ารับการนวดแผนไทยส่งผลกระทบอย่างรุนแรง สร้างความปริวิตกแก่ผู้บริโภคที่ชื่นชอบการนวด และสะเทือนธุรกิจร้านนวดแผนไทยที่เปิดให้บริการแทบจะทั่วทุกมุมโลก

ทั้งนี้ จุดเริ่มต้นของเรื่องเกิดขึ้นจากการที่  “ผิง ชญาดา”  นักร้องสาวรถแห่ บันทึกเอาไว้ว่า ตนเองมีอาการปวดคอ บ่า ไหล่ และเข้าไปนวดที่ร้านนวดแผนไทยที่ริมหนองประจักษ์ จ.อุดรธานี พร้อมระบุว่าหมอนวดทำการ  “นวดบิดคอ” 

จากนั้น เธอก็มีปวดท้ายทอย ชาแชน และกลับไปนวดร้านเดิมอีก 2 ครั้ง แต่อาการเริ่มแย่ลง มีอาการชา แขนขาอ่อนแรง จนเข้ารับการรักษากับแพทย์แผนปัจจุบันและเสียชีวิตในท้ายที่สุด

อย่างไรก็ดี เมื่อได้สอบสวนทวนความและมีการพิสูจน์สาเหตุการเสียชีวิตด้วยการ  “เอ็กซเรย์และเอ็มอาร์ไอ” กลับพบว่า ผิงไม่ได้กระดูกคอหักหรือเคลื่อน ซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่า “ไม่เกี่ยวข้องกับการนวดแผนไทย” ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตมาจากอาการป่วย   “โรคไขสันหลังอักเสบ” และเกิดภาวะแทรกซ้อนติดเชื้อในกระแสเลือด

 นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี (นพ.สสจ.) เปิดเผยผลการตรวจสอบร้านนวดแผนไทยที่ผู้เสียชีวิตเข้ารับบริการ พบว่า ร้านเข้าข่ายสถานประกอบการนวดเพื่อสุขภาพ หรือนวดผ่อนคลาย ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายกำหนด ส่วนหมอนวดที่มี ณ ปัจจุบันทั้งหมด 7 คนได้ผ่านการอบรมตามหลักสูตรและได้ใบรับรองแล้วเช่นกัน

ทั้งนี้ หมอนวดต้องขึ้นทะเบียนตามระเบียบของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ต้องผ่านการอบรมตามหลักสูตรด้านการบริการเพื่อสุขภาพที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) ให้การรับรองและขึ้นทะเบียนเป็นผู้ให้บริการแล้วเท่านั้น จึงจะประกอบอาชีพในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพได้

สำหรับการนวดมี 2 ประเภท คือ 1. นวดเพื่อสุขภาพ นวดผ่อนคลาย สถานประกอบการสามารถยื่นมาจดแจ้ง เพื่อขึ้นทะเบียนได้ เป็นการนวดทั่วไป ซึ่งต้องผ่านการอบรมหลักสูตรไม่น้อยกว่า 150 ชั่วโมง ซึ่งการนวดเพื่อสุขภาพ ไม่มีการบิดคอ ไม่มีสะบัดคอในหลักสูตร แต่จะมีการทำนอกเหนือจากที่กำหนดหรือไม่ ต้องตรวจสอบ และผู้ประกอบการต้องกำกับดูแล

และ 2. นวดแพทย์แผนไทย ต้องมีการอบรมหลักสูตรอย่างน้อย 372 ชั่วโมง ถือเป็นวิชาชีพ ต้องได้รับใบประกอบวิชาชีพจากสภาวิชาชีพแพทย์แผนไทย คล้ายๆ แพทยสภา

สำหรับเรื่องการดัดคอดัดกระดูกนั้นตามหลักสูตรไม่มีการสอน โดยการนวดจะมี “นวดราชสำนัก” ใช้แค่อุ้งมือ ฝ่ามือ และ “นวดเชลยศักดิ์” ใช้ศอก เข่า ดัด ซึ่งจะพบในหมอพื้นบ้าน แต่ในหลักสูตรอบรมเป็น “นวดราชสำนัก”

ทั้งนี้ ผู้ที่การเข้ารับการนวดต้องสังเกตว่าร้านนวดว่ามีใบจดแจ้งหรือไม่ หมอนวดต้องผ่านการอบรมหรือไม่ ที่สำคัญต้องไม่ให้นวดดัดคอ

“การดัดกระดูก จะเป็นวิชาชีพเฉพาะ เป็นในส่วนหมอกระดูก ก่อนจะทำต้องให้คนไข้เซ็นยินยอม ซึ่งไม่ใช่ทำกันง่ายๆ แต่สถานประกอบการนวดทั่วไป จะเป็นนวดเพื่อสุขภาพ ไม่สามารถทำแบบนี้” นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา กล่าว

ที่สำคัญคือ การนวดแผนไทยได้กำหนดข้อห้ามของผู้บริการเพื่อความปลอดภัย ดังนี้ ห้ามนวดบริเวณที่เป็นมะเร็ง, ผู้ที่มีไข้สูงเกิน 38.5 องศา, บริเวณที่มีอาการอักเสบ บวม แดง ร้อน, ผู้ที่มีภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ, กระดูกแตก หัก ปริ ร้าว ที่ยังไม่หายดี และโรคติดเชื้อทางผิวหนังทุกชนิด ส่วนข้อควรระวัง ได้แก่ สตรีมีครรภ์, ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง, ใส่อวัยวะเทียมหลังผ่าตัดกระดูก, ผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุน กระดูกบาง และผู้ที่เพิ่งกินอาหารอิ่มใหม่ๆ (ไม่เกิน 30 นาที)

สำหรับธุรกิจนวดและสปาของไทยเติบโตต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าธุรกิจอยู่ที่ประมาณ 35,000 ล้านบาท เฉลี่ยมีการเติบโตอยู่ที่ปีละ 5-7% จากพื้นฐานด้านความต้องการด้านสุขภาพและความงามที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งแรงหนุนของภาคการท่องเที่ยวทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ ตลอดนโยบายของรัฐที่ส่งเสริมการลงทุนในด้านการบริการเพื่อสุขภาพ

ข้อมูลจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เปิดเผยว่าการท่องเที่ยวเชิงส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Tourism) เช่น การนวด อบหรือประคบสมุนไพร สปาเพื่อสุขภาพ สุวคนธบำบัด (Aromatherapy) วารีบำบัด (Hydrotherapy) ฯลฯ ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยว สามารถสร้างรายได้มูลค่ามหาศาลต่อปี

โดยในปี 2565 ประเทศไทยถูกจัดให้เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่น่าเดินทางไปเยือนมากที่สุดในโลก (อันดับที่ 4) จากผลสำรวจเกี่ยวกับแผนการท่องเที่ยวระดับโลกของวีซ่า (Visa Global Travel Intentions Study) และหนึ่งในกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวสนใจมากที่สุด คือ นวดแผนไทย

นอกจากนี้ ข้อมูลของกรมสนับสนุนบริการเพื่อสุขภาพ ณ เดือน ต.ค. 2567 เปิดเผยตัวเลขจำนวนธุรกิจนวดในประเทศไทย สถานประกอบการเพื่อสุขภาพทั้งหมด 17,897 แห่ง ร้านนวดเพื่อสุขภาพ 16,609 แห่ง สปา 1,092 แห่ง และนวดเพื่อความงาม 196 แห่ง

ขณะที่ ข้อมูลการใช้บริการนวด อบ ประคบสมุนไพรในสถานพยาบาลของรัฐทั่วประเทศ มีผู้เข้ารับบริการ 15,619,599 ครั้ง คิดเป็นมูลค่ากว่า 3 พันล้านบาท

อย่างไรก็ดี รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุน “นวดไทย” เป็น “Soft Power” โดยมาองว่าอาชีพนวดแผนไทย เป็นอัตลักษณ์ของไทย เป็นที่รู้จักของนานาประเทศ ซึ่งต่างประเทศมีความต้องการแรงงานกลุ่มนี้จำนวนมาก และยังเป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพ, อาหารไทย ,ผลิตภัณฑ์สมุนไพร การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และตั้งเป้ารายได้จากเศรษฐกิจสุขภาพด้านสมุนไพรและนวดไทยปีละมากกว่าหนึ่งแสนล้านบาท ภายในปี 2570

โดยกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ขับเคลื่อนการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเวลเนส นวดไทย และสมุนไพร รวมทั้งได้มอบหมายให้กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ผลิตแรงงานด้านการนวดไทยที่มีมาตรฐานเพื่อสร้างความเชื่อมั่น เป็นหมอนวดมือทองที่มีประสิทธิภาพในการดึงเม็ดเงินในธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

ที่ผ่านมามีการการพัฒนาและผลิตบุคลากรให้บริการนวดไทย โดยได้มีการอบรมและมีบุคลากรนวดไทยผ่านการรับรองจาก สธ. โดยขึ้นทะเบียนผู้ให้บริการกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพแล้วกว่า 200,000 คน ทั้งในภาครัฐและเอกชน

ทั้งนี้ หลักสูตรการนวดแผนไทยได้รับการยอมรับจากทั้งชาวไทยและต่างประเทศ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ขององค์การยูเนสโก เป็นความรู้ความสามารถภูมิปัญญาของไทย และเป็นการสร้างงานสร้างอาชีพ ซึ่งเป็น 1 ใน 13 นโยบายของ สธ. ในการขับเคลื่อนนโยบายด้านเศรษฐกิจสุขภาพ ส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ โดยผลักดันอุตสาหกรรมสาธารณสุขให้เป็นศูนย์ดูแลสุขภาพครบวงจร

ขณะที่กระทรวงแรงงาน เปิดศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานเพื่อผลักดันนวดแผนไทยให้ไปไกลระดับโลก หวังสร้างอาชีพคนไทยให้มีกินมีใช้ สอดรับนโยบาย Soft Power รัฐบาล เรียกว่าเป็นการสนับสนุนการนวดไทย เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างแท้จริง

ท้ายที่สุดกระแสข่าวการเสียชีวิตหลังรับบริการนวดกระทบความเชื่อมั่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ชัดเจนว่ากรณีที่เกิดขึ้นไม่ได้มีสาเหตุมาจากการนวดแผนไทย อย่างไรก็ตาม นับเป็นบทเรียนให้ผู้คนหันมาตระหนักเรื่องสุขภาพและเตรียมตัวเพื่อความปลอดภัยต่อตนเองก่อนเข้ารับการนวด

ส่วนธุรกิจนวดแผนไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง นับเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ภาครัฐผลักดันอย่างเต็มกำลัง สู่ Soft Power ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ.


กำลังโหลดความคิดเห็น