xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เพื่อไทย หลายเหลี่ยม? แก้หนี้ “เป้าหลอก” ล้วงเงินทุนสำรองออกมาถลุง “เป้าจริง”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -  การแก้หนี้ครัวเรือน ภายใต้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” อวดผลงาน “รัฐบาลอิ๊งค์” ที่ตีฆ้องร้องป่าวกันใหญ่โตแบบแห่นาคเข้าวัด แต่เอาเข้าจริงจะเหมือนแห่ศพขึ้นเมรุ หรือไม่ อีกไม่นานคงได้รู้กัน 

แต่ที่น่าจับตาต่อจากนี้ก็คือ กระทรวงการคลังเล็งดึง  “เงินทุนสำรองประเทศ”  ออกมาใช้ หลังดันสุดขั้วเพื่อส่ง “บิ๊กโต้ง” นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ขึ้นสู่ตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ แม้ว่าขณะนี้จะติดปัญหาเรื่องคุณสมบัติจนไม่อาจนำชื่อ “บิ๊กโต้ง” เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อมีมติแต่งตั้งก็ตามที

“ภาครัฐมีงบประมาณ เช่น เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งมีกว่า 4-5 ล้านล้านบาท ก็จะหาวิธีการนำออกมาใช้ เพื่อดูแลประชาชน” นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในวันแถลงมาตรการแก้หนี้ฯ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา

อย่างที่รู้กันดีว่า เม็ดเงินที่รัฐบาลจะนำมาใช้จ่ายในโครงการต่าง ๆ โดยเฉพาะโครงการประชานิยม ที่เป็นจุดขายของพรรคเพื่อไทยนั้น อยู่ในสภาพตึงมือเป็นอย่างยิ่ง งบประมาณรายจ่ายประจำปี ไม่ต้องพูดถึงเพราะจัดสรรลงไปในโครงการลงทุนภาครัฐและรายจ่ายประจำ เช่น เงินเดือนข้าราชการ เบี้ยหวัด บำนาญ เป็นส่วนใหญ่

ครั้นจะหันไปหาเงินกู้ ตัวเลขหนี้สาธารณะก็เบ่งบานใกล้ชนเพดานเต็มที ปัจจุบันอยู่ที่ราว 65-66% ของจีดีพี หรือคิดเป็นมูลค่าเกือบ 12 ล้านล้านบาท จากเพดานหนี้สาธารณะซึ่งขีดเส้นไว้ที่ 70% ของจีดีพี ทำให้เหลือความสามารถในการกู้เพิ่มได้อีกราว 3-4% หรือคิดเป็นวงเงินประมาณ 3 ล้านล้านบาท ภายใน 4 ปี เท่านั้น

ดังนั้น  “เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ”  ซึ่งมีกว่า 4-5 ล้านล้านบาท จึงเป็นเป้าหมายใหญ่ที่กระทรวงการคลัง อยากล้วงออกมาใช้ในการทำโครงการประชานิยมต่าง ๆ เพื่อเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ให้เติบโตเฉลี่ยอย่างต่ำปีละ 5% ตามที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงเอาไว้ ขณะที่สภาพเศรษฐกิจจริงตามคาดการณ์ปี 2567 สภาพัฒน์ คาดว่าจีดีพีจะขยายตัว 2.6% และแนวโน้มปี 2568 คาดว่าจะขยายตัว 2.3%-3.3% (ค่ากลางของการประมาณการอยู่ที่ 2.8%) ซึ่งยังห่างเป้าครึ่งต่อครึ่ง

การตีปี๊บนโยบายแก้หนี้ที่เป็นปัญหาใหญ่ของประชาชนทุกหมู่เหล่า มาสร้างฉันทมติทางการเมือง โดยรัฐบาลวาดหวังว่าหากสามารถผลักเรื่องนี้ให้ขยับขับเคลื่อนได้ จึงเสมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกทั้งฝูง พรรคเพื่อไทยได้คะแนนนิยม ประชาชนได้เฮกันถ้วนหน้า

 ถ้าย้อนดูผลงานของ “รัฐบาลอิ๊งค์” 3 เดือนที่ผ่านมา แม้จะแจกเงินหมื่นซึ่งเป็นเงินก้อนใหญ่ไปแล้ว 145,000 ล้านบาท แต่หนี้ครัวเรือนไทยกลับไม่ลดลง ซ้ำยังเพิ่มขึ้นอีก 0.5% เป็นยอดหนี้รวม 16.32 ล้านล้านบาท เป็นหนี้ NPLs หรือหนี้เสีย 1.2 ล้านล้านบาท ปัญหาหนี้ครัวเรือนท่วมหัว จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องแก้เร่งด่วนหากต้องการให้เศรษฐกิจขยายตัว 

สำหรับเฟสแรกในการแก้ปัญหาหนี้ ภายใต้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย ปิดหนี้ได้ไว ไปต่อได้เร็ว” ที่คลัง แบงก์ชาติ สภาพัฒน์ สมาคมธนาคารไทย ธนาคารนานาชาติ และผู้ประกอบการธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-Banks) ร่วมแถลงความร่วมมือช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและเอสเอ็มอี โดยภาครัฐและสถาบันการเงินจะร่วมสนับสนุนเม็ดเงินฝ่ายละครึ่ง

ทั้งนี้ เงินที่นำมาช่วยลดภาระหนี้ มาจากการลดเงินนำส่งเข้ากองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) จากที่เคยส่ง 0.46% ก็ลดเหลือ 0.23% อีก 0.23% นำไปจัดตั้งเป็นกองทุนแก้หนี้ และแบงก์เจ้าหนี้ก็ต้องร่วมรับผิดชอบครึ่งหนึ่ง

ตามโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” มีสองมาตรการ คือ มาตรการแรก “จ่ายตรง คงทรัพย์”  ช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อบ้าน รถ และ SMEs ขนาดเล็กที่มีวงเงินไม่สูงมาก เพื่อปรับโครงสร้างหนี้แบบลดค่างวดและพักชำระดอกเบี้ย 3 ปี โดยค่างวดที่จ่ายจะนำไปตัดชำระเงินต้นทั้งหมด ทำให้ภาระค่างวดและหนี้โดยรวมลดลง

มาตรการที่สอง  “จ่าย ปิด จบ” ช่วยลดภาระหนี้บุคคลธรรมดาที่เป็นหนี้เสีย หรือ เอ็นพีแอล ที่มียอดหนี้ค้างไม่เกิน 5,000 บาท หากลูกหนี้ชำระบางส่วนจะเปลี่ยนสถานะจากหนี้เป็นปิดจบหนี้ เปิดสินเชื่อใหม่ได้เร็วขึ้น

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คาดหวังว่า โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและ SMEs ขนาดเล็ก ครอบคลุมลูกหนี้รวมจำนวน 2.1 ล้านบัญชี เป็นลูกหนี้ 1.9 ล้านราย มียอดหนี้รวมประมาณ 8.9 แสนล้านบาท

 นายผยง ศรีวณิช  ประธานสมาคมธนาคารไทย คาดว่าโครงการนี้ จะสามารถให้การช่วยเหลือลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ รวมถึงบริษัทลูกในกลุ่มได้ราว 1.5 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดหนี้กว่า 4 แสนล้านบาท

ส่วน  นายวิทัย รัตนากร  ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาหนี้สิน กรณีลูกหนี้เสียที่มีมูลหนี้ไม่เกิน 5,000 บาท ส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้จากแบงก์รัฐ รวมประมาณ 1.3 แสนบัญชี มูลหนี้ 300 ล้านบาท และเป็นลูกหนี้ออมสินประมาณ 1.1 แสนบัญชี

ทางด้าน นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ย้ำว่าโครงการนี้มีจุดสำคัญที่ต่างจากที่ผ่านมาคือ ปรับโครงสร้างหนี้ เน้นตัดเงินต้น ลดภาระผ่อนชำระใน 3 ปี เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ลูกหนี้ และร่วมสมทบเงินจากภาครัฐและสถาบันการเงิน เพื่อช่วยลดภาระของลูกหนี้

 นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์  ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” มีธนาคารพาณิชย์เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 15 แห่ง บริษัทลูกธนาคารพาณิชย์ (นอนแบงก์) ที่ประกอบธุรกิจด้านสินเชื่ออีก 27 แห่ง และธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) อีก 6 แห่ง รวมทั้งสิ้น 48 แห่ง

สำหรับมาตรการ “จ่ายตรง คงทรัพย์” ที่เป็นการช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอี สินเชื่อบ้าน วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท และสินเชื่อรถยนต์ วงเงินไม่เกิน 8 แสนบาท สินเชื่อรถจักรยานยนต์ วงเงินไม่เกิน 5 หมื่นบาท โดยการเข้าโครงการจะสามารถแก้หนี้ได้ 1 สัญญา ต่อประเภทสินเชื่อ ต่อหนึ่งสถาบันการเงิน

รูปแบบในการช่วยเหลือ จะลดค่างวดเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยปีแรกจะลดค่างวดที่ 50% ปีที่สอง 70% และปีที่สาม 90% โดยจะนำค่างวดทั้งหมดไปตัดเงินต้น และจะพักดอกเบี้ย 3 ปี และจะยกเว้นทั้งหมดให้ หากลูกหนี้ปฏิบัติตามเงื่อนไขได้ตลอดสัญญาในช่วงที่อยู่ในมาตรการ

สำหรับบัญชีที่สามารถเข้าโครงการได้ จะต้องทำสัญญาก่อน 1 มกราคม 2567 และต้องมีสถานะหนี้ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 อย่างใดอย่างหนึ่ง และต้องเป็นหนี้ค้างชำระเกินกว่า 30 วัน แต่ไม่เกิน 365 วัน หรือ 1 ปี เงื่อนไขการเข้าโครงการ ลูกหนี้ต้องทำสัญญาไม่ก่อหนี้ใหม่ในช่วง 12 เดือนแรก ยกเว้นสินเชื่อธุรกิจที่มีความจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่อง ซึ่งขึ้นอยู่กับเจ้าหนี้จะพิจารณา

ส่วนมาตรการ “จ่าย ปิด จบ” ช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย ที่เป็นหนี้เสียต่อบัญชีไม่เกิน 5,000 บาท โดยไม่จำกัดสินเชื่อ สามารถเข้าร่วมโครงการได้มากกว่า 1 บัญชี โดยต้องเป็นลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสียเกิน 90 วัน ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567

ทั้งนี้ จำนวนลูกหนี้ที่เข้าข่ายราว 3.4 แสนบัญชี มีวงเงินรวมราว 1,000 ล้านบาท เป็นหนี้ทั้งธนาคารพาณิชย์ แบงก์รัฐ หรือนอนแบงก์ ซึ่งเป็นกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่รู้ว่าเป็นหนี้ค้างชำระ เนื่องจากธนาคารอาจจะไม่ติดตามเพราะไม่คุ้มค่า หากลูกหนี้ติดต่อธนาคารเจ้าหนี้ และชำระหนี้บางส่วน ลูกหนี้ก็มีโอกาสปิดจบหนี้เพื่อล้างและเคลียร์ประวัติออกจากระบบได้

นอกจากโครงการดังกล่าวข้างต้นแล้ว “ขุนคลัง” ยังเล็งแก้หนี้กลุ่มลูกหนี้นอนแบงก์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน สินเชื่อบุคคล บัตรเครดิต ซึ่งอาจต้องมีเงื่อนไขหรือปรับโครงสร้างหนี้ที่แตกต่างจากสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ เพราะดอกเบี้ยสูงกว่าประมาณ 25% จึงต้องรวบรวมข้อมูลเพื่อหาเงื่อนไขที่ยอมรับกันได้ทั้งผู้ประกอบการและลูกหนี้ รวมทั้งเม็ดเงินที่จะนำมาชดเชย ซึ่งแบงก์ชาติกำลังหารือกันอยู่

นอกจากนี้ รัฐบาลกำลังเตรียมทำเฟส 2 โดยจะอัดเงินเข้าสู่ระบบอีกประมาณ 1 ล้านล้านบาท กระจายไปสู่ชนบททั้งภาคธุรกิจเอสเอ็มอีและภาคประชาชนที่เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน โดยผ่านกลไกธนาคารของรัฐ ส่วนเม็ดเงินจะมาจากไหนนั้น ขณะนี้สภาพคล่องอยู่ในระบบจำนวนมากกว่า 4-5 ล้านล้านบาท ซึ่งรัฐบาลกำลังหาทางนำเม็ดเงินดังกล่าวออกมากระจายให้ทั่วถึง

 โครงการแก้หนี้ที่วาดเป้าสวยหรู ยังไม่รู้ว่าจะสำเร็จสักกี่มากน้อย เพราะหากย้อนกลับไปดูผลงานการแก้หนี้เรื้อรังที่จ่ายดอกมากกว่าต้น ที่ลูกหนี้มีอยู่อาจถึงหลักแสนบัญชี มูลหนี้หลายหมื่นล้าน แต่แก้ได้จริงกลับมีบัญชีเข้าร่วมแก้ไขเพียง 7 พันกว่าบัญชี จำนวนเงิน 354 ล้านบาท ห่างเป้าแบบสุดกู่ ตามที่ สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ตั้งข้อสังเกตได้
 
 อย่าให้โครงการแก้หนี้รอบนี้ จบแบบว่ากันว่าตอนต้นก็คิดแบบเดินบนถนน Oxford Street เวลาทำจริงกลับอยู่บนถนนสามเสนตอนขุดรถไฟฟ้าก็แล้วกัน  


กำลังโหลดความคิดเห็น