ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - WHA ตั้งเป้าเร่งใช้พลังงานสะอาด 100% ตอบโจทย์ลูกค้าต่างชาติ พร้อมเดินหน้าใช้ EV ช่วยลดคาร์บอน ขณะที่ “กรุงไทย” ส่งเสียงเตือน หากไทยไม่ปรับเรื่องสิ่งแวดล้อม-น้ำ อาจส่งผลกระทบจีดีพีติดลบ 4% พร้อมย้ำ 3 แกนหลักในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจยั่งยืน
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA กล่าวในงานสัมมนา iBusiness Forum “2025 Net Zero กับความท้าทายของเศรษฐกิจโลกยุคใหม่” ระบุว่า 3 เมกะเทรนด์ที่ WHA ให้ความสำคัญและนำมาพิจารณาปรับใช้ในการลงทุน ได้แก่ Geopolitical Tension , Sustainability และ Technology Infrastructure
ทั้งนี้ที่ผ่านมา จากปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่โลกต้องประสบ เช่น Rain Bomb ซึ่งลูกค้าของ WHA ในปัจจุบันเป็นต่างชาติมากกว่า 85% และประสบปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมมาไม่น้อย ดังนั้น หลายปีมานี้ พบว่านักลงทุนที่เข้ามา จะถามหาพลังงานสะอาด 100% ทำให้บริษัทต้องใส่ใจกับพลังงานสะอาด 100% และปรับเปลี่ยนการทำงานเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า
“เมื่อเร็ว ๆ นี้ WHA ไปออกบูธที่เซี่ยงไฮ้ พบว่านักลงทุนสนใจเข้ามากว่า 500 ราย ขณะที่ยุคทรัมป์ 2.1 มีการเคลื่อนย้ายฐานการลงทุนจากทั่วโลก และในรอบนี้ทรัมป์ 2.0 เตรียมรับการเคลื่อนย้ายฐานการงลงทุนจากต่างประเทศ แต่รอบนี้คือ New Economy ทำให้เราใส่ใจว่าจะปรับตัวอย่างไร ต้องลงทุนระบบสาธารณูปโภคของเราเพื่อรองรับการย้ายฐานการลงทุน
“ดังนั้น WHA ได้ปรับเปลี่ยนการทำงานทุกสายธุรกิจ อย่างการสร้างศูนย์กระจายสินค้า เพื่อดึงนักลงทุน เพราะหากเราไม่ทำ เงินทุนจะไหลไปที่อื่น ส่วนในธุรกิจขนส่ง WHA ได้เดินหน้าสู่การใช้รถ EV เพื่อลดปริมาณคาร์บอน เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็น Global และส่วนมากเป็นบริษัทขนส่งขนาดใหญ่ ขณะที่ในเมืองไทยมีรถขนส่งกว่า 4 ล้านคัน ก็ต้องมาคิดร่วมกันว่าจะช่วยให้มีการใช้รถขนส่งให้เป็น EV ได้อย่างไรใน 3 ปีนี้เพื่อให้เกิด กรีน โลจิสติกส์”
“WHA จึงมุ่งไปที่กรีน โลจิสติกส์ เพราะเป็น End to End Process ตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมารองรับและเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันและลดต้นทุนการดำเนินงานได้ด้วย อีกกลุ่มคือนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งในส่วนของเราจะไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอน แต่ลูกค้าของเราในนิคมยังมีการปล่อย ก็ต้องมาพิจารณากันว่าเราจะทำอย่างไร” นางสาวจรีพร กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของเมืองไทยที่ติดหนึ่งในท็อป 10 ของโลก ดังจะเห็นได้จากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น จึงถือเป็นภารกิจที่ทุกคนจะต้องช่วยกัน
นายธวัชชัย ชีวานนท์ ประธานผู้บริหาร Product & Business Solutions ธนาคารกรุงไทย (KTB) ให้ข้อมูลว่า จากรายงานของธนาคารโลก ได้มีการเสนอแนะแนวทางในการดำเนินให้ประเทศไทยในหลายส่วน เช่น การนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาใช้เพื่อให้สามารถใช้ข้อมูลและบริหารจัดการด้านอากาศและน้ำได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นต้น เนื่องจากประเทศไทยให้ความสำคัญกับเกษตรกรรมและการประมง ทั้งนี้ หากประเทศไทยยังคงไม่ปรับตัวในเรื่องดังกล่าวจนถึงปี 2050 อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อจีดีพีถึง -4% และคาดว่าจะสร้างผลกระทบต่อภาคการเกษตรและประมงได้ถึง 3.16 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจยั่งยืนต้องใช้วงเงินลงทุนสูง โดยคาดการณ์ว่าน่าจะอยู่ที่ 1.84 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ปัจจุบัน เราเพิ่งมีเม็ดเงินลงทุนไปเพียง 400 ล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้น เรื่องของเม็ดเงินลงทุนเป็นอีกปัจจัยที่ต้องพิจารณา
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่ท้าทายต่อ Green Transition ในอีกมิติ คือ การจัดการในเรื่องเศรษฐกิจนอกระบบซึ่งประเทศไทยมีเศรษฐกิจนอกระบบในสัดส่วนที่สูงถึง 48% ของจีดีพี แต่เนื่องจากข้อมูลที่ไม่ได้ถูกบันทึก ส่งผลให้กำกับดูแลเป็นเรื่องที่ยาก รวมทั้งถึงการเข้าไปช่วยเหลือดูแลในเรื่องต่าง ๆ เมื่อเกิดปัญหา เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก รวมถึงการเข้าถึงแหล่งเงินทุนด้วย
“การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจยั่งยืน เป็นสิ่งที่ 3 แกนหลัก ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ต้องร่วมมือกัน โดยภาครัฐจะต้องดูแลในเรื่องปัจจัยพื้นฐานที่เอื้ออำนวย รวมถึงแรงจูงใจต่าง ๆ ในการลงทุนเพื่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจยั่งยืน ส่วนเอกชนรายใหญ่ก็ต้องช่วยดูแล Supply Chain ของตนเองให้สามารถเปลี่ยนผ่านได้เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ขณะที่ภาคประชาชนก็คงต้องตระหนักและปรับตัวพัฒนาทักษะที่มีประโยชนต่อการเปลี่ยนผ่านต่อไป”