xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ปตท. เดินหน้าโครงการ CCS และไฮโดรเจน มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -  ซีอีโอ ปตท. เดินหน้ามุ่งสู่เป้าหมาย NET ZERO ปี 2050 ลุยโครงการCCS-ไฮโดรเจน พร้อมเร่งบูรณาการในกลุ่ม ปตท. สู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำเพื่อความยั่งยืน หนุน ปตท.สผ. นำร่องแซนด์บ็อกซ์โครงการ CCS ในแหล่งอาทิตย์ กักเก็บคาร์บอนได้ 1 ล้านตัน ย้ำ Net Zero ไม่ใช่ต้นทุน (Cost) แต่เป็นโอกาสทางธุรกิจ 

 ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  กล่าวในงานสัมมนา iBusiness Forum “2025 Net Zero กับความท้าทายของเศรษฐกิจโลกยุคใหม่” ระบุถึงทิศทางของโลก ทั้ง Climate Change การมุ่งใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น รวมทั้ง Digital Transformation ของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ล้วนมีบทบาทสำคัญต่อทิศทางเศรษฐกิจและการใช้พลังงานเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ เนื่องจากพลังงานเป็นพื้นฐานการพัฒนาเศรษฐกิจโลก และปริมาณการใช้พลังงานที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงขึ้นถึง 46% จากปี 2000 ขณะที่ประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียง 1% ของโลก แต่เป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากสุดติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก ดังนั้น การพัฒนาเศรษฐกิจ การใช้พลังงานต้องทำควบคู่กับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ดร.คงกระพัน มองว่า ในช่วงการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ก๊าซธรรมชาติจะยังคงมีการใช้ในอัตราที่สูงอยู่ เพราะเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่สะอาดสุด ทำให้ก๊าซธรรมชาติยังมีความสำคัญในอีก 20-30 ปีข้างหน้า และเนื่องจากประเทศไทยมีการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า จึงจำเป็นต้องลดการปล่อยคาร์บอนควบคู่กันไปเพื่อเป็นพลังงานสะอาดขึ้น

ทั้งนี้ ปตท. มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี ค.ศ.2050 เช่นเดียวกับประเทศไทย โดยหนึ่งโครงการสำคัญที่จะทำให้ ปตท. และประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้ตามกำหนดหรือเร็วกว่า คือ โครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Carbon Capture and Storage (CCS)

โครงการ CCS นี้ ปตท. จะเป็นผู้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ถังเก็บคาร์บอนและท่อฯ รวมทั้งประสานกับภาครัฐเพื่อออกกฎหมายรองรับ ขณะที่ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. จะเป็นแกนนำดำเนินโครงการ โดยในเฟสแรกจะเริ่มต้นทำภายในกลุ่ม ปตท. ก่อน เมื่อประสบความสำเร็จแล้ว จะดึงพันธมิตรและบริษัทเอกชนอื่น ๆ เข้ามาร่วมด้วย อาทิ กลุ่ม WHA กลุ่มปูนซีเมนต์

นอกจากนี้ ปตท. ยังพร้อมเดินหน้ารุกธุรกิจไฮโดรเจนที่เป็นพลังงานสะอาด ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพที่สามารถทำได้ โดยปัจจุบันมีการใช้ไฮโดรเจนสีเทา (Gray Hydrogen) ในบางอุตสาหกรรม อีกทั้งแผน PDP (Power Development Plan) ฉบับใหม่ ระบุให้มีการใช้ไฮโดรเจนสัดส่วน 5% ในโรงไฟฟ้า ก๊าซธรรมชาติ แม้ปัจจุบันไฮโดรเจนจะมีราคาแพง แต่ในอนาคตจะค่อย ๆ ถูกลง ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปได้และควรทำ

ดร.คงกระพัน กล่าวว่า CCS และไฮโดรเจน ต้องทำควบคู่กันไป แต่คาดว่าไฮโดรเจนจะเห็นความชัดเจนก่อน เนื่องจากโครงการ CCS ต้องใช้เวลา มีกฎหมายรองรับ

ทั้งนี้ ภายใต้วิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” ดร.คงกระพัน ระบุว่า ในฐานะที่ ปตท. เป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติ เมื่อ ปตท. แข็งแรง ประเทศชาติก็แข็งแรงด้วย ดังนั้น ปตท. จึงเน้นการโตในต่างประเทศ แต่ต้องเป็นการโตอย่างยั่งยืน โดยสัดส่วนรายได้ของ ปตท. มากกว่า 50% มาจากต่างประเทศ


โดย ปตท. ได้บูรณาการ Sustainability เข้าสู่การทำธุรกิจและสร้างสมดุล ESG ให้เหมาะสมกับการทำธุรกิจ ผ่าน C3 Approach คือ 1.Climate Resilience Business 2.Carbon Conscious Asset และ 3 Coalition, Co-Creation and Collection Efforts for All

ขณะเดียวกัน ปตท. ยังมุ่งมั่นในการผลิตพลังงานที่ช่วยลดคาร์บอน เช่น การผลิตไฟฟ้าของ GPSC เชื้อเพลิงที่นำมาใช้จะเริ่มเป็นคาร์บอนต่ำ มีสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนและไฮโดรเจนมากขึ้น ส่วนธุรกิจในเครือ ปตท. ที่ปล่อยคาร์บอนก็ให้มีการจัดเก็บ โดย ปตท.จะสร้างถังเก็บคาร์บอนบนฝั่ง ก่อนต่อท่อนำไปฝังเก็บในอ่าวไทยต่อไป

ทั้ง 2 ข้อรวมกัน กลุ่ม ปตท. ก็ลดคาร์บอนได้ 50% ส่วนที่เหลือเป็นการทำโครงการ CCS การปลูกป่า นับเป็นการ Integrate ในกลุ่ม ปตท. ทั้งการลดคาร์บอน ความยั่งยืน และการทำธุรกิจให้ไปด้วยกัน โดยมองว่าการลงทุนเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero ไม่ใช่ต้นทุน (Cost) แต่เป็นโอกาสทางธุรกิจ

 “วันนี้คงไม่ต้องมีคำถามว่า ทำไมต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่เป็นสิ่งที่เราต้องทำ เพื่อช่วยโลก รวมทั้งช่วยตัวเราเองเพื่อให้มนุษยชาติอยู่ได้” ซีอีโอ ปตท. กล่าวย้ำในตอนท้าย


กำลังโหลดความคิดเห็น