ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ยังคง “ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน” เสมอต้นเสมอปลายสำหรับ “รัฐบาลทับซ้อน” ที่นำโดย “คุณหนูอิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ต่อกรณี “บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปซับซ้อนกัน พ.ศ.2544” หรือที่รู้จักกันในชื่อของ “เอ็มโอยู ปี 2544”
เป็น “เอ็มโอยู 2544” ที่ลงนามโดย “นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กับ “นายซก อาน” รัฐมนตรีอาวุโสและรัฐมนตรีสำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และมี “Joint Communique ปี 2544 หรือแถลงการณ์ร่วม ที่ไปรับรองพันธะตามเอ็มโอยูปี 44 ซึ่งลงนามโดย “นายทักษิณ ชินวัตร” กับ “สมเด็จฯ ฮุนเซน” เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 สำทับอีกชั้นหนึ่งในวันเดียวกัน
ทั้งนี้ ในขณะที่หลากหลายภาคส่วนของสังคมนำเสนอข้อมูลเพื่อตรวจสอบภยันตรายของเอ็มโอยูฉบับดังกล่าวในทุกมิติ พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลนี้ “ยกเลิกอย่างเป็นทางการ” เพราะ “ไม่มีพื้นที่ทับซับ” มีแต่อาณาบริเวณที่เป็นของไทย ซึ่งการมี MOU 2544 สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เสียดินแดนใต้ทะเลอันอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติมหาศาล แต่ทั้งตัว “นายกฯ แพทองธาร” รวมทั้ง “มือขวาของพ่อ” อย่าง “เดอะอ้วน-ภูมิธรรม เวชชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กลับพยายามบูลลี่ประเด็นนี้ว่าเป็น “แผ่นเสียงตกร่อง” เอาเรื่องเก่ามาปั่นใหม่ บอกว่ายกเลิกไม่ได้ แต่กลับก็ไม่มีคำชี้แจงดีๆ ที่ทำให้คนไทยสบายใจออกมาเลย
แถมยังออกแนวดูหมิ่นดูแคลนต่อกรณีที่ “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาชน ที่เสนอให้ใช้กลไกรัฐธรรมนูญมาตรา 152 เพื่อเปิดประชุมรัฐสภาให้ สส. ฝ่ายรัฐบาล, ฝ่ายค้าน และ สว. อภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) อีกต่างหาก
ตรงกันข้ามกับบทวิเคราะห์ของ “ประจิตต์ โรจนพฤกษ์” อดีตคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ ที่มีความปริวิตกเกี่ยวกับ MOU 2544 จนมีความเห็นเอาไว้ว่า
“บันทึกความเข้าใจฯ นี้ทำให้เกิดพื้นที่ทางทะเลที่อ้างสิทธิทับซ้อนอย่างกว้างขวางถึงประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งจากข้อมูลปรากฏว่ามีทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่มีชีวิต ได้แก่ น้ำมัน โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติปริมาณมากมีมูลค่ามหาศาล และยังไม่สายเกินไปที่จะดำเนินการแก้ไขประโยชน์ของประเทศชาติ จึงหวังว่า ผู้ที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงจะพิจารณาทบทวนแก้ไขในเรื่องนี้ มิฉะนั้นแล้ว จะเป็นกรณีศึกษาวิชากฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศเจ้าของเกาะยอมให้ประเทศอื่นลากเส้นแบ่งเขตทางทะเลแบ่งเกาะของตนและเขตทางทะเลของเกาะตน เท่ากับเป็นการเสียเขตทางทะเลซึ่งส่วนหนึ่งเป็นน่านน้ำภายในและทะเลอาณาเขต ซึ่งเป็นเขตที่อยู่ในอำนาจอธิปไตย (Sovereignty) เสมือนดินแดนบนบกของประเทศ และส่วนอื่น ซึ่งเป็นเขตไหล่ทวีปและเขตเศรษฐกิจจำเพาะซึ่งเป็นเขตที่อยู่ในสิทธิอธิปไตย (sovereignty right) ของตน”
นอกจากนี้ ยังมีกรณีแปลกๆ ที่มีการพิจารณาตั้งคณะกรรมการร่วมทางเทคนิค (JTC) เพื่อจัดสรรผลประโยชน์ร่วมทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชา เหมือนที่เคยทำกับมาเลเซีย และเวียดนาม ที่ปัจจุบันก็แบ่งปันประโยชน์ในอ่าวไทยอย่างไม่มีปัญหา
กลับปรากฎว่า “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังาน กลับบอกว่า ตัวเองไม่ได้รับแจ้งเกี่ยวกับการตั้งคณะกรรมการ JTC ทั้งที่หลักใหญ่ใจความการจัดสรรผลประโยชน์ในอ่าวไทยล้วนแล้วแต่เกี่ยวกับ “พลังงาน” แต่รัฐมนตรีที่ดูแลโดยตรงกลับไม่ถูกดึงเข้าไปมีส่วนร่วม
กลายเป็นการเพิ่มน้ำหนักความหวาดระแวงต่อ “รัฐบาลเพื่อไทย” ที่มีประวัติศาสตร์ “เจ๊งคามือ” กับเรื่องผลประโยชน์มาโดยตลอด
แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ การที่ “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ที่นำเสนอข้อสังเกตเกี่ยวกับ “บัตรพระราชทานพร ส.ค.ส.2547 ซึ่งจัดทำขึ้นในปลายปี พ.ศ.2546 อันเป็นระยะเวลาประมาณ 3 ปีนับแต่วันที่ประเทศไทยมีเอ็มโอยู 2544
ปานเทพอธิบายว่า เป็นบัตรพระราชทาน ส.ค.ส.2547 ที่จัดทำโดยใช้คอมพิวเตอร์ โดยมีภาพแผนที่โลกเป็นจุดระเบิดตามที่ต่างๆทั่วโลกในทะเลรอบประเทศไทย โดยมีพระอักษรซึ่งเป็นภาพลายแรเงาในภาพแผนที่โลกด้านซ้ายว่า “มีระเบิดเกือบทั่วโลก“ และมีพระอักษรด้านบนขอบัตรว่า “ส.ค.ส. พ.ศ. ๒๕๔๗ สวัสดีปีใหม่“ และพระอักษรด้านล่างว่า “ขอมีความสุขความเจริญ Happy New Year”
ส่วนบนแผนที่โลกที่มีลายแรเงานั้น ได้มีภาพประเทศไทยที่แม้จะเป็นภาพวาดฝีพระหัตถแบบคร่าวๆให้ได้พอทราบว่าเป็นรูปแผนที่ “แผ่นดินประเทศไทย” แต่ก็เว้นเป็นพื้นที่สีขาวบนแผ่นดินประเทศไทย และมีพระอักษรว่า “สามัคคี เป็นพลัง ค้ำจุน แผ่นดินไทย“
อย่างไรก็ตาม เมื่อสังเกตพื้นที่ในทะเลด้านอ่าวไทย ก็เห็นชัดเจนว่าภาพฝีพระหัตถ์นี้ยังได้เว้นพื้นที่สีขาวต่อเนื่องจากแผ่นดินไทยตามแผนที่ซึ่งปรากฏตาม “พระบรมราชโองการประเส้นไหล่ทวีปประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ.2518” ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชา ตาม MOU 2544 แต่ประการใด
“เมื่อสงสัยเช่นนี้ ผมจึงทดลองนำภาพแผนที่พระบรมราชโองการประเส้นไหล่ทวีปประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ.2518 โดยให้มีความทึบเหลือร้อยละ 70 เพื่อทาบลงในแผนที่ตามบัตรพระราชทานพร ส.ค.ส.2547 เพื่อดูว่าเส้นเขตไหล่ทวีปที่ทรงวาดรูปในบัตรพระราชทานพร ส.ค.ส.2547 นั้น มีความใกล้เคียงกับภาพแผนที่พระบรมราชโองการประเส้นไหล่ทวีปประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ.2518 มากน้อยเพียงใด แม้ว่าจะทรงวาดให้เห็นภาพประเทศไทยคร่าวๆ เท่านั้น
“ผลปรากฏว่าภาพเส้นเขตไหล่ทวีปของราชอาณาจักรไทย ตามบัตรพระราชทานพร ส.ค.ส.2547 นั้น ทรงวาดเกือบสนิทกับแผนที่เส้นเขตไหล่ทวีปพระบรมราชโองการประเส้นไหล่ทวีปประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ.2518 แม้จะเป็นภาพคร่าวๆ ก็ตาม”ปานเทพอธิบาย
นอกจากนี้ปานเทพยังชี้ให้เห็นด้วยว่า การที่เป็นเช่นนั้นย่อมแสดงให้เห็นว่า “ทรงตั้งพระทัย” ในการกำหนดเส้นเขตไหล่ทวีปของราชอาณาจักรไทยในบัตรพระราชทานพรดังกล่าวให้มีความใกล้เคียงเกือบแนบสนิทกับภาพแผนที่พระบรมราชโองการประเส้นไหล่ทวีปประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ.2518 อย่างน่าอัศจรรย์
ขณะเดียวกัน เมื่อหันกลับไปพิจารณาคำให้สัมภาษณ์ของ “นายกฯ อิ๊งค์” เมื่อวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา เรื่อง MOU 2544 โดยมี “ภูมิธรรม” ยืนอยู่ข้างๆ ก็ยิ่งเห็นภาพชัดของคำว่า “นายกฯ ทับซ้อน” ดังที่ “ปานเทพ” ตั้งคำถามเอาไว้ว่า “ตกลง 2 คนนี้เป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของประเทศไทยหรือกัมพูชากันแน่”
ทั้ง 2 คนบอกว่า
“1. เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ “ประชิด” เกาะกูดรุกล้ำทะเลภายในของราชอาณาจักรไทย ด้านทิศตะวันออกของเกาะกูด เหนือเส้นฐานตรงซึ่งลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 ถึงทิศใต้ปลายสุดของเกาะกูดตามกฎหมายทะเลสากล
2. เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ “ประชิด”เกาะกูดรุกล้ำทะเลอาณาเขตของราชอาณาจักรไทย 12 ไมล์ทะเลรอบเกาะกูด
ทั้งนี้ทะเลภายในราชอาณาจักรไทยมีฐานะเป็นดินแดนของราชอาณาจักรไทยทุกประการ ส่วนทะเลอาณาเขตของราชอาณาจักรไทยย่อมต้องเป็นพื้นที่ซึ่งมีอำนาจอธิปไตย และ สิทธิอธิปไตย เป็นของราชอาณาจักรไทยตามกฎหมายทะเลสากล”
ในขณะที่รัฐบาลมีท่าทางไม่ยี่หระต่อ MOU 2544 ถ้าหากลองไปสดับตรับฟังเสียงของคนกัมพูชาในเวลานี้ ก็จะพบความจริงประการหนึ่งว่า ชาวแขมร์จำนวนไม่น้อยเชื่อว่า “เกาะกูด” หรือที่เขาเรียกว่า “เกาะกจ” เป็นของกัมพูชาซึ่งถูกรัฐไทยแย่งชิง ดังนั้น จึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องแย่งกลับคืนมา
หนักไปกว่านั้นคือ มีการปั่นกระแสในทางการเมืองด้วยว่า “ตระกูลฮุนเซน” กำลังร่วมมือกับ “เพื่อนรักทักษิณ” ในการยกเกาะกูดให้กับไทยเพื่อแลกผลประโยชน์มหาศาลที่อยู่ในทะเล ซึ่งแม้จะยังไม่ขยายวงกว้าง แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่มีนัยสำคัญไม่น้อยเช่นกัน
กล่าวสำหรับเฉพาะตัว “นายกฯ อิ๊งค์” เองนั้น จากสมญา “นายกฯฝึกงาน-นายกฯ ไอแพด” หรือกระทั่ง “นายกฯ ฟันน้ำนม” ที่เจ้าตัวรับไม่ได้ วันนี้มี “ฉายาใหม่” ที่แสนสันต์หนักไปกว่าเก่า เมื่อมีการนำไปเปรียบเปรยกรณี MOU 2544 ว่า “ไม่มีหรอกพื้นที่ทับซ้อน มีแต่นายกฯ ทับซ้อน” ด้วยเห็นชัดว่า แทบจะทุกเรื่องเธอไม่ได้ตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง
กรณี MOU2544 ก็ดำเนินไปในร่องรองนั้นอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนสิ่งที่เธอตัดสินใจทำเองก็ล้วนแล้วมี “คำถามตัวโตๆ” ตามมาเสมอยกตัวอย่างเช่นกรณีเดินทางไปประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ หรือ ครม.สัญจร ครั้งแรกของรัฐบาลที่ จ.เชียงใหม่ ต่อด้วยการลงพื้นที่ จ.เชียงราย ระหว่างวันที่ 29 พ.ย.-1 ธ.ค.67 ที่ผ่านมา ในขณะที่กำลังมีสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้
ในขณะที่มีการฉายภาพความเดือดร้อนสาหัสสากรรจ์ของประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ ก็ตัดภาพมาที่ภารกิจตลอด 3 วันที่ภาคเหนือของ “ท่านนายกฯ” มีทั้งการไปเดินถนนคนเดิน ไปสวนสัตว์ โดยมี “ครอบครัว” เดินทางมาในครั้งนี้ด้วย จนถูกวิจารณ์ว่า เหมือนทุกข์ร้อนอะไรกับสถานการณ์อุทกภัยในภาคใต้
คำวิจารณ์หนักขึ้นอีก เมื่อ “ท่านนายกฯ” ให้สัมภาษณ์ตอบโต้ประเด็นดรามาโดยยืนยันว่า ไม่ได้ละเลยภาคใต้
“โอ้ว… คำว่าละเลยภาคใต้ สามีเป็นคนใต้ ครอบครัวสามีเป็นคนใต้ ถ้าละเลยคนใต้ ไม่รักคนใต้ แต่งงานคนใต้ไม่ได้นะคะ…”
เป็นคำให้สัมภาษณ์ที่เพิ่มดีกรีดรามาขึ้นไปอีก แถมยังกลบรายละเอียดในท่อนหลังๆ ที่เธอแจกแจงว่า ได้ดำเนินการ หรือมอบหมายให้ใครไปดูแลพี่น้องชาวใต้ไปแล้วบ้างด้วย
ทั้งที่ควรเน้นประเด็นในหน้าที่รับผิดชอบเหนือ ”เรื่องส่วนตัว” คือ พูดเฉพาะการดำเนินมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ โดยไม่จำเป็นต้องยกเรื่อง “สามีคนใต้” ขึ้นมาเปรียบเปรย
และแทนที่จะน้อมรับคำวิพากษ์วิจารณ์เพื่อไปปรับปรุงการทำงาน “คุณแม่อิ๊งค์” กลับ “ไม่จบ” ไปโพสต์ผ่านช่องทางโซเชียลเน็ตเวิร์คของตัวเองด้วยข้อความภาษาอังกฤษว่า “Your negativity is a reflection of your own reality“ ที่แปลเป็นไทยได้ความว่า ”ความคิดเชิงลบของคุณ สะท้อนถึงความเป็นจริงของตัวคุณเอง”
และแชร์อีก 1 ข้อความภาษาอังกฤษว่า “INSECURE PEOPLE PUT OTHERS DOWN TO RAISE THEMSELVES UP “ ที่เมื่อแปลเป็นไทยก็ได้ประมาณว่า “คนที่ไม่มีความมั่นใจ กดคนอื่นให้ต่ำลง เพื่อยกตนเองให้สูงขึ้น”
ซึ่งก็อ่านเป็นอื่นไม่ได้ว่า ต้องการย้อนศรตอกกลับกระแสดรามาทั้งในโซเชียลฯ และฝ่ายตรงข้ามนั่นเอง
หรือจะเป็นครั้งให้สัมภาษณ์เวที Forbes Global CEO กับผู้บริหาร Forbes Media เมื่อไม่นานมานี้ ที่ผู้ร่วมฟังในวันนั้นมีแต่นักธุรกิจใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ แต่กลับ “ถามช้าง ตอบม้า“ ทั้งที่มีการส่งสคริปต์เอาไว้ล่วงหน้าแบบ “ชงหวาน” จนไม่ได้สาระอะไรจากคำตอบ และหมกมุ่นวนเวียนอยู่กับคำว่า “ซอฟต์พาวเวอร์” หรือบางข้อมูล บางตัวเลข ก็ผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย
ทำให้มี “ทัวร์ลง” ที่ช่องยูทูป “ไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล” ซึ่งเป็นของรัฐบาลเอง ที่นำคลิปวิดีโอการสัมภาษณ์มาเผยแพร่ โดยความเห็น 99% แสดงความผิดหวังและหนักไปในทางก่นด่าตัว ”แพทองธาร“
หรือกรณีการพบปะหารือกับ นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ในระหว่างการประชุมอาเซียนซัมมิต ที่ สปป.ลาว เมื่อเดือน ต.ค.67 ที่บันทึกถอดคำสนทนาอย่างเป็นทางการที่เผยแพร่โดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า นายบลิงเคนได้พูดถึงความร่วมมือในการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ, การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด รวมถึงความร่วมมือในด้านต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน
แต่ว่า “นายกฯ ไทย” กลับตอบว่า ตอนนี้ภาคเหนือของประเทศไทยมีน้ำท่วมทุกวัน แถมคำตอบเพียงย่อหน้าเดียวของ “นายกฯ อิ๊งค์” กลับเต็มไปด้วยคำกำกับ (inaudible) ที่แปลว่า “จับความไม่ได้” ที่อาจต้องมาย้อนถึงทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษที่เธอมักจะ “แสดง” โดยพูดอย่างฉะฉานว่า ควรต้องคิดถึงเรื่องการใช้ล่ามดีกว่าหรือไม่
หนักกว่านั้นกรณีกองทัพเรือเมียนมา ยิงเรือประมงของไทย เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บ-เสียชีวิต และถูกจับกุมอีกจำนวนหนึ่ง ก็ไม่เคยมีคำประท้วงใดๆ ออกจากปาก “นายกฯ อิ๊งค์” ที่ระบุเพียงได้รับรายงานแล้วเท่านั้น
มาจนถึงกรณีการได้รับพักโทษของ “เสี่ยฮุก” บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ผู้ต้องขังในคดีทุจริตระบายข้าวแบบจีทูจี ที่มีการเชื่อมโยงถึงการปูทางให้ “อาปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีโทษจำคุกจากผลพวงของคดีนี้เช่นกันกลับประเทศไทย
เรื่องนี้แทนที่ “นายกฯ อิ๊งค์” จะตอบปฏิเสธเพียงว่า ไม่เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด ยังขยายความไปอีกว่า “ท่านบุญทรงเป็นผู้ต้องขัง ท่านยิ่งลักษณ์ไม่ได้เป็น ไม่น่าจะเกี่ยวกัน” พร้อมระบุว่า “อาปู” ไม่ได้ประสานเพื่อขอกลับประเทศ มีเพียงการโทรคุยกันเฉยๆ
ถอดรหัสจากคำตอบ “หลานอิ๊งค์” ที่ดูจะพยายามสื่อสารว่า “อาปู” ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ ขณะที่ “บุญทรง” เป็นผู้ต้องขัง ทั้งที่สถานะที่แท้จริงวันนี้ของ “ยิ่งลักษณ์” คือผู้ต้องหาหลบหนีโทษจำคุก 5 ปี ที่ในความเป็นจริงรัฐบาลต้องทำหน้าที่ในการติดตามตัวเพื่อให้กลับมารับโทษด้วยซ้ำ แต่นี่กลับบอกว่า มีการโทรศัพท์พูดคุยกัน
เอาแค่ประโยคนี้ก็เชื่อว่า ไม่ช้าไม่เร็วคงมีผู้ไปร้อง “นายกฯ อิ๊งค์” ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ที่ไม่ติดตามตัวผู้ต้องหาผิดอาญาแผ่นดินกลับมารับโทษ
ยังไม่นับรวมกรณี “ที่ดินเขากระโดง” ที่หากมีรายการ “ล้มมวย” ค้านสายตาประชาชน ท้าทายคำพิพากษาเป็นที่สุดของศาลฎีกา “เกี๊ยะเซี้ยะ” กันระหว่าง 2 พรรคร่วมรัฐบาล “เพื่อไทย-ภูมิใจไทย” น่าจะเป็นการโหมสถานการณ์ให้สุกงอมเร็วยิ่งขึ้น
ต้องไม่ลืมว่า วันนี้แม้ พรรคเพื่อไทย จะเป็นแกนนำรัฐบาลก็จริง แต่ความแข็งแรงของพรรค การสนับสนุนของมวลชน เทียบไม่ได้กับสมัยรัฐบาลทักษิณปี 2548 หรือรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ปี 2554 เลย
แถมมีบาดแผลฉกรรจ์ว่าเป็นรัฐบาล “ตระบัดสัตย์-ผสมพันธุ์ข้ามขั้ว” แปะหน้าผากอยู่ด้วย
ที่ว่าไปก็สะท้อนให้เห็นแล้วว่า ใกล้จะครบ 120 วันในฐานะ “นายกฯ อิ๊งค์” ที่หากเป็นการทำงานทั่วไปก็เป็นระยะทดลองงาน (Probation) ซึ่งหากพูดในแง่ผลงานที่แทบไม่มี รวมกับวีรกรรมที่ผ่านมา หากซาวเสียงคนไทยตอนนี้ก็คงหนักไปทาง “ไม่ผ่านโปร” มากกว่าจะได้ไปต่อ
แต่ด้วยเป็นตำแหน่งทางการเมือง ก็คงต้องทนกับ “นายกฯ ทับซ้อน” คนนี้กันต่อไปอีกซักระยะ แต่อาจจะไม่นานด้วย “ภูมิคุ้มกัน” ที่ต่ำติดดิน ไม่มีผลงานชูหน้าชูตา นโยบายเรือธงอย่างแจกเงินหมื่นเฟส 2 ก็ทำท่าจะสะดุด แล้วก็ว่ากันว่า ที่สะดุดไม่ใช่เกิดจากนายกฯ อิ๊งค์ แต่เป็นคำสั่งที่มาจาก “นายกฯ ตัวจริง” ที่ “ทับซ้อน” อยู่บนเก้าอี้ของเธออีกต่างหาก
มาถึงวันนี้ก็เชื่อว่า “ทีมงาน-คนใกล้ชิด” ก็น่าจะรู้แล้วว่า “คุณอิ๊งค์” มือไม่ถึง ดังที่ถูกปรามาส ยิ่งหากปล่อยให้เป็น “ตัวของตัวเอง” อย่างที่ผ่านมาก็จะไม่เพียงแค่ “บ้ง” แต่จะพาพังครืนกันไปทั้งคณะ
สภาพแบบนี้ กับฉายาใหม่ “นายกฯ ทับซ้อน” ถือเป็นเรื่องที่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง และมีการปักธงกันแล้วว่า ในวันที่ 9 ธันวาคม 2567 ซึ่ง “สนธิ ลิ้มทองกุล” จะเดินหน้าไปยื่นหนังสือที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อขอให้ชี้แจงกรณี MOU ไทย-กัมพูชา 2544 พร้อมกับกล่าวหารัฐบาลชุดนี้ด้วยว่า ให้ระวังว่ากำลังจะมีการกระทำที่เป็นการยกอธิปไตยรอบเกาะกูดให้กัมพูชาอย่างไม่ถูกต้องนั้น คือจุดเริ่มต้น “นับถอยหลัง” อย่างเป็นทางการของ “นายกฯ ทับซ้อน” คนนี้.