สำหรับคนที่มีสะตุ้งสตางค์และมีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตแบบ “Off-Road” คงรู้จักและคุ้นเคยกันดีกับ “เมอร์เซเดส-เบนซ์ จี-คลาส (Mercedes-Benz G Class)” ที่โลดแล่นและยืนหนึ่งอยู่บนถนนสาย “Off-Road” มาเป็นเวลาถึง 45 ปี กระทั่งได้รับการขนานนามว่า “King of Off-Road”
นิยามชัดๆ สำหรับ G Class ก็คือ รถเอสยูวีอารมณ์สปอร์ต และเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งดุดัน
ทั้งนี้ จุดเริ่มต้นของเอสยูวีสายพันธุ์คลาสสิกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1970 (พ.ศ. 2513) เมื่อ “โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี” ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Mercedes-Benz แนะนำผู้บริหารให้ทำออกแบบและผลิตรถอเนกประสงค์ขับเคลื่อนสี่ล้อ ซึ่งสามารถขายให้กับกองทัพและพลเรือนได้เช่นเดียวกับค่ายรถของอังกฤษอย่าง British Land Rover
รถที่ผลิตออกมาในรุ่นแรกได้รับการเรียกขานว่า Mercedes G-Wagen จากนั้นได้รับการพัฒนาและผลิตออกมาหลายต่อหลายรุ่น ซึ่งแต่ละรุ่นก็มีคุณสมบัติและความโดดเด่นแตกต่างกันไป กระทั่งในปี 1989 G-Wagen ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น G-Class โดยทำการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ล่าสุดในงาน Frankfurt International Motor Show 1989 และรถคลาสสิกทรงกล่องขนานแท้และดั้งเดิมนี้ยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
ล่าสุด เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ประกาศเสริมทัพไลน์อัพยนตรกรรมระดับ Top-End Luxury 6 รุ่น และหนึ่งในนั้นคือ Mercedes-Benz G 580 with EQ Technology โดยผสมผสานสมรรถนะระดับสูง และความหรูหราตามแบบฉบับของเมอร์เซเดส-เบนซ์ แต่ยังคงความคลาสสิกด้วยรูปลักษณ์สไตล์ “ทรงกล่อง” ได้อย่างลงตัว
ที่สำคัญคือเป็น G Class ที่เป็น “รถไฟฟ้า 100%” อีกต่างหาก
ทั้งนี้ หัวใจสำคัญของ G 580 ก็คือมอเตอร์ไฟฟ้าจำนวน 4 ตัว โดยแยกติดตั้งทั้ง 4 ล้อ ให้กำลังสูงสุด 587 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 1,164 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่งที่ยอดเยี่ยมจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงในเวลา 4.7 วินาที สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขับเคลื่อน 4 ล้อ All-wheel drive วิ่งได้ไกลถึง 473 กิโลเมตร (WLTP) ต่อการชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 1 ครั้ง โดยยังรองรับการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง (DC charge) สูงถึง 200 kWh ใช้เวลาชาร์จเพียง 32 นาทีจาก 10-80% ส่วนการชาร์จแบบกระแสสลับ (AC Charge) รองรับสูงสุด 11 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 0 – 100% ในระยะเวลา 11 ชั่วโมง 45 นาที
ขณะที่โครงสร้างตัวถังนิรภัยถูกออกแบบมาพร้อมความแข็งแรงและทนทานในทุกสภาวะ มอบความปลอดภัยด้วยการใช้เหล็กกล้าที่มีความหนากว่า 3.4 มิลลิเมตร เพื่อปกป้องและลดการบิดตัวของห้องโดยสาร ทั้งยังเสริมความแกร่งด้วยโครงสร้างพิเศษแบบ Carbon-fibre skid plate ที่มีความหนา 3 ซม. ในการปกป้องแบตเตอรี่แบบ high-voltage อย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมตอบสนองทุกการขับขี่ทั้งแบบ on-road และ off-road
โดยการขับขี่แบบ off-road จะมาพร้อม G-TURN ซึ่งเป็นระบบการกลับรถรูปแบบใหม่ที่สามารถหมุนรถได้ถึง 720 องศา หรือ 2 รอบ ช่วยให้ตัวรถสามารถหมุนตัวกลับได้ในทันที และระบบการเข้าโค้งแบบ G-STEERING ช่วยลดรัศมีวงเลี้ยวให้แคบลง โดยสั่งการให้แต่ละล้อเพิ่มหรือลดกำลังอย่างอิสระตามสถานการณ์ ในความเร็วไม่เกิน 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้การเข้าโค้งง่ายดายกว่าที่เคย โดยทั้งสองระบบนี้จะจำกัดให้สามารถทำงานได้บนพื้นถนนที่เป็น off-road แบบถนนทรายหรือถนนเปียกเท่านั้น
นอกจากนี้ G 580 with EQ Technology มาพร้อมกับ ELECTRIC DYNAMIC SELECT โปรแกรมรูปแบบการขับขี่ที่มีให้เลือกมากถึง 5 แบบ ไม่ว่าจะเป็น รูปแบบการขับขี่ on-road มีให้เลือก 3 โปรแกรม ได้แก่ Comfort, Sport และ Individual นอกจากนี้ ยังมีโปรแกรมการขับขี่เฉพาะสำหรับรูปแบบการขับขี่แบบ off-road ให้เลือก 2 โปรแกรม ได้แก่ Trail และ Rock โดยการใช้งานโปรแกรมการขับขี่ LOW RANGE จะสามารถใช้ได้แค่ในโหมด 'Rock’ เท่านั้น
ส่วน “ความล้ำสมัย” อย่างอื่นๆ ก็บรรจุมาให้เต็มสูบ แต่ที่ “เด่นๆ” ก็อย่างเช่น ระบบช่วงล่างแบบ Suspension with adaptive damping adjustment ที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการตอบสนองผ่านโหมดการขับขี่ต่าง ๆ รวมถึงปรับตาม differential locks ที่กำลังใช้งานอยู่ ณ ขณะนั้น ให้เหมาะสมกับสภาพเส้นทาง เมื่อขับขี่บนถนนเรียบ ระบบจะปรับช่วงล่างให้มีการตอบสนองต่ำ เพื่อลดแรงสะเทือนและเสียงดังที่เกิดจากยาง แต่เมื่อขับขี่บนถนนขรุขระ ระบบจะปรับช่วงล่างให้มีการตอบสนองสูงขึ้น เพื่อความรู้สึกนุ่มนวลและสะดวกสบายตลอดการเดินทาง
ขณะที่ระบบความปลอดภัยก็มาแบบจัดเต็ม อาทิ ระบบรักษาระยะห่างจากรถด้านหน้าและควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Active Distance Assist DISTRONIC) ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องทางจราจร (Active Lane Keeping Assist) Active Steering Assist, ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Active Blind Spot Assist) ระบบช่วยควบคุมพวงมาลัย (Active Steering Assist) และ Parking Package พร้อมกล้องรอบคัน 360° ฯลฯ
Mercedes-Benz G 580 with EQ Technology รุ่น “STANDARD” วางจำหน่ายเริ่มต้นในราคา 9,500,000 บาท ส่วนรุ่น “EDITION ONE” ที่เสริมเติมแต่งด้วย “ความพิเศษอีกขั้น” วางจำหน่ายเริ่มต้นในราคา 12,200,000 บาท
….ใครอยากเป็นเจ้าของ King of Off-Road โฉมใหม่ที่มาพร้อกับพลังงานใหม่ก็ไปจับจองกันได้.