คำที่ทรัมป์ประกาศช่วงหาเสียง ตอกย้ำแบบแผ่นเสียงตกร่อง ว่าเป็นคำที่ไพเราะเสนาะหูมากที่สุด ก็คือ ภาษีนำเข้า (หรือ Tariff)ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ได้ค้นคิดขึ้นมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ในการชักภาษีสินค้าที่นำเข้ามาในเขตแดนของตน เพื่อนำมาขายแก่ประชาชนหรือเป็นสารตั้งต้นที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในการผลิตสินค้าต่างๆ ในประเทศ
ด้วยความไพเราะของคำนี้ ทรัมป์ได้นำมาเป็นอาวุธสำคัญสำหรับการค้าขายระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่ต้องการมีโอกาสเข้ามาขายของในสหรัฐฯ
ในช่วงเข้ามาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ในครั้งแรกนั้น เขาก็ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน โดยมีข้อกล่าวหาว่า จีนทำการค้าแบบไม่เป็นธรรม คือ ทำให้ค่าของเงินอ่อนเกินจริง หรือราคาสินค้าจากจีนเป็นแบบ Dump ราคาคือ ราคาขายต่ำกว่าต้นทุนผลิตเสียอีก เพื่อใช้เป็นวิธีโค่นทำลายผู้ผลิตในสหรัฐฯ ให้ล้มหายตายจากไป แล้วในที่สุด สินค้าที่เคยถูกแสนถูก แต่เมื่อคู่แข่งถูกทำลายจนหมดสิ้น ก็จะเป็นทีของสินค้าจีนที่อยู่ในลักษณะผูกขาดและเรียกราคาได้ตามใจชอบ
เขาฉีกกฎการค้าของโลก ด้วยการเดินสวนทางกับกฎการค้าเสรี เพราะเขาเน้นว่า การค้าไม่ใช่แค่เสรี (Free) อย่างเดียว แต่ต้องเป็นธรรม (Fair) ด้วย ซึ่งในสมัยแรกที่เขาเป็น ปธน.เขาได้เริ่มต่อต้านการค้าเสรี โดยได้ปลุกปั่นคนงานอเมริกัน ทั้งผิวขาวและผิวสีว่า ต้องเสียตำแหน่งงานมหาศาลไปให้แก่ประเทศเม็กซิโก (และสินค้าบางอย่างให้แก่แคนาดา) จากข้อตกลง NAFTA ข้อตกลงการค้าเสรีที่เริ่มเจรจาในสมัย ปธน.บุชผู้พ่อ และมาลงนามในสมัยของ ปธน.คลินตัน…โดยคิดภาษีนำเข้าสินค้าจากทั้ง 3 ประเทศเป็นศูนย์...ซึ่งมีส่วนสำคัญทำให้ทรัมป์ชนะเลือกตั้งปธน.ในครั้งแรกที่ลงสมัคร เพราะเขาโจมตีนางฮิลลารีว่าเป็นเพราะสามีเธอ และรวมทั้งตัวเธอที่สนับสนุนการค้าเสรีทำให้คนงานอเมริกันตกงาน
ช่วงสมัยแรกที่ทรัมป์เป็น ปธน.เป็นช่วงที่จีนได้เติบใหญ่ด้านเศรษฐกิจ จนมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ซึ่งปธน.โอบามาได้เสนอการจัดตั้งกลุ่มการค้า TPP เพื่อสกัดกั้นการเติบโตของจีน ได้รวมเอาเขตเศรษฐกิจ 12 แห่ง (จากสมาชิก APEC 21 เขตเศรษฐกิจ) มาผนึกกำลังทำการค้าเสรีโดยไม่มีจีน
ด้วยความเป็นทรัมป์ที่ต้องยิ่งใหญ่ที่สุดคนเดียว เขาฉีกข้อตกลง TPP ทิ้งดื้อๆ แต่หันไปใช้นโยบายตั้งกำแพงภาษีสูงกับสินค้าของจีน โดยต้องการให้บริษัทอเมริกันที่ไปลงทุนในจีนต้องหันกลับมาลงทุนในอเมริกา และกล่าวหาว่าจีนส่งสินค้าราคาถูกมาที่สหรัฐฯ และทำให้คนงานสหรัฐฯ ตกงานมากขึ้น
การหาเสียงครั้งที่สามของทรัมป์ ยิ่งตอกย้ำว่า จะต้องลงโทษจีนมากยิ่งขึ้น ที่ค้าไม่เป็นธรรม และหวังร้ายกับสหรัฐฯ เพราะจีนกำลังไล่กวดสหรัฐฯ ขนาดหายใจรดต้นคอ และกำลังจะแซงหน้าสหรัฐฯ ภายในอีกไม่กี่ปีนี้
ทรัมป์เสนอนโยบายช่วงหาเสียงครั้งที่สามไม่ต่างกับครั้งแรก...เพราะใช้ได้ผล (ครั้งที่สอง เขาแพ้ไบเดนเพราะโควิด ทำให้คนอเมริกันตายจำนวนมาก เปิดช่องให้ไบเดนเสนอเข้ามาจัดการกับโควิดอย่างได้ผล)...นั่นคือ จะใช้กำแพงภาษีนำเข้าสูงๆ กับทุกประเทศทั่วโลก เรียกว่าเป็น Universal Tariffs ทีเดียว โดยจีนจะโดนหนักที่สุด ถ้าสินค้าผลิตในประเทศจีน…จะโดนกำแพงภาษีนำเข้าสหรัฐฯ สูงถึง 60% แต่ถ้าเป็นสินค้าที่ไม่ได้ผลิตในแผ่นดินจีน แต่ผลิตด้วยทุนจีนในที่ต่างๆ ทั่วโลก ก็จะโดนกำแพงภาษีสูงมากเช่นกัน
ทรัมป์ประกาศจะคิดภาษีสินค้าจากทุนจีนที่ผลิตในเม็กซิโก...จะโดนภาษีนำเข้าสหรัฐฯ สูงถึง 100%, 200%, 500% 1,000%, 2,000% เพราะขณะนี้ทุนจีนได้มาตั้งหลักที่เม็กซิโกมหาศาล เพื่อใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าใหม่ที่ทรัมป์ทำขึ้นชื่อว่า USMCA ที่มาแทน NAFTA
ทรัมป์ได้รับสมญาใหม่ว่าเป็น Tariff Man หรือมนุษย์ขึ้นภาษีนำเข้า ขณะที่เขาเรียกกมลา แฮร์ริส ว่า ราชินีภาษี (ขึ้นภาษีรายได้ในกลุ่มผู้มั่งคั่งและบริษัทยักษ์)
แม้จะมีนักเศรษฐศาสตร์อเมริกันที่เคยได้รับรางวัลโนเบล (ที่ยังมีชีวิตอยู่) 16 คน รวมทั้งอดีต รมต.คลังของเดโมแครต (เช่น ลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส) ออกมาวิพากษ์ฟันธงว่า การเก็บกำแพงภาษีนำเข้าสูงๆ นี้ จะไม่สามารถทดแทนรายรับของรัฐบาลที่จะหายไปมหาศาลจากการลดภาษีรายได้แก่คนรวย (จะคิดอัตราภาษีรายได้ใหม่เหลือแค่ 15% จาก 21%)
โดยเฉพาะเงินเฟ้อในสหรัฐฯ จะพุ่งสูงขึ้นเพราะราคาสินค้าและวัตถุดิบที่นำเข้าจะมีราคาสูงขึ้น เนื่องจากผู้นำเข้าจะผลักภาระภาษีไปยังผู้บริโภคนั่นเอง...และดอกเบี้ยที่กำลังทำท่าจะลดลง (เนื่องเพราะเศรษฐกิจกำลังชะลอความร้อนแรงลง) ก็ไม่สามารถลดดอกเบี้ยได้ เนื่องจากเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับสูง (จากภาษีนำเข้าอัตราสูงๆ)
เมื่อวันจันทร์ที่ 25 พ.ย.ทรัมป์ได้ประกาศจะขึ้นภาษีทันทีในวันที่ 20 มกราคมปีหน้า ซึ่งเป็นวันแรกที่เข้าทำงานที่ทำเนียบขาว...ด้วยอัตรา 25% สำหรับสินค้าจากเม็กซิโก และแคนาดา;และขึ้นอีก 10% สำหรับสินค้าจากจีน
เป็นเรื่องแปลกที่บอกล่วงหน้าจะขึ้นภาษีถึง 2 เดือนเต็ม...ซึ่งแสดงว่าทรัมป์จะให้บริษัทอเมริกันมีเวลาเตรียมตัวรีบสั่งสินค้าจากจีน, เม็กซิโก, แคนาดา เพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายอัตราภาษีนำเข้าสูงๆ ในทันที ซึ่งสมาคมขนส่งทางเรือก็ออกมาประกาศว่า หลังทราบผลเลือกตั้งปธน.สหรัฐฯ ผู้นำเข้าสินค้าจากจีนและเม็กซิโก รีบสั่งซื้อสินค้า และจองเรือเดินสมุทรกันจ้าละหวั่น ซึ่งอัตราค่าระวางทางเรือจะสูงขึ้นในเดือนมกราคมเป็นต้นไป และอาจเกิดปัญหาเรือขนส่งสินค้าจะไม่พอ เพราะจะมีจำนวนมากไปแออัดที่ท่าเรือสหรัฐฯ เพื่อรอขึ้นท่า จนขาดเรือเดินสมุทรที่แถบเอเชีย (แหล่งต้นทางของสินค้า)
แน่นอนว่า ข้อตกลงการค้า USMCA ก็จะถูกขยี้ทิ้งลงตะกร้าไปแล้ว ในเมื่อทรัมป์ไม่เคารพกับข้อตกลงให้คิดภาษีเป็นศูนย์
แม้ว่าที่รมต.คลังคนใหม่ของทรัมป์จะออกมาให้อรรถาธิบายปลอบใจตลาดว่า ภาษีนำเข้าของทรัมป์ อาจไม่ไปถึงอัตราสูงๆ ที่เขาได้หาเสียงไว้ เพราะมันคือยุทธวิธีที่จะนำไปสู่การเจรจาทางการค้า เพื่อให้อเมริกาลดการขาดดุลการค้าด้วยการสามารถผลักดันการขายสินค้าของสหรัฐฯ ได้มากยิ่งขึ้น เพื่อลดภาวะขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ที่มีต่อประเทศต่างๆ ทั่วโลกนั่นเอง
เป็นหลักการ Art of the Deal ที่ทรัมป์ได้ใช้มาตลอด กับทุกๆ เรื่องจะนำมาต่อรองได้หมด