xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เปิดลับ “พินัยกรรมอำพราง” ฉบับ “ทนายตั้ม”? ตั้งบุตรบุญธรรม - ฝันอร่อย “ผู้จัดการมรดก” พี่อ้อย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - แม้ ณ วันนี้ “ทนายตั้ม-ษิทรา เบี้ยบังเกิด” จะถือว่ายังเป็น “ผู้บริสุทธิ์” ตามกระบวนการยุติธรรม แต่ยิ่งนานวันก็ยิ่งพบเจอ “ความผิดปกติ” ในคดีที่เชื่อมโยงกับ “พี่อ้อย-จตุพร อุบลเลิศ” มากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่า สุดท้ายแล้ว “ปลายทางแห่งคดี” ของ “ทนายแบรนด์เนม” ผู้นี้จะต้องเผชิญกับข้อหาเพิ่มเติมอีกสักกี่มากน้อย
จากจุดเริ่มต้นในคดีฉ้อโกงและฟอกเงิน 71 ล้านบาท ขยายมาสู่กรณีเงิน 39 ล้านบาทที่มี “นุ” คนสนิททนายตั้มและ “สาริณี” แฟนสาวเป็นจำเลยหลัก พร้อมมีหลักฐานที่เชื่อมโยงไปถึง “ลูกพี่” กระทั่งวันนี้ มี “ปมพิสดาร” เกี่ยวกับการติดตั้ง “GPS “ในรถยนต์ของ “พี่อ้อย” และเชื่อมโยงไปถึง “พินัยกรรม-บุตรบุญธรรมและผู้จัดการมรดก” อันน่าสงสัย

แน่นอนว่า ปฐมเหตุแห่งคดีความทั้งหมดเกิดขึ้นหลังจาก “พี่อ้อย” ไว้เนื้อเชื่อใจ “ทนายตั้ม” และนำไปสู่การว่าจ้างเดือนละ 300,000 บาทให้เป็นที่ปรึกษาดูแลผลประโยชน์ธุรกิจเมื่อ 2 ปีก่อน เรื่องราวต่างๆ ก็เกิดขึ้นมากมายดังที่สาธารณชนรับทราบกันแล้ว

ทว่า ไฮไลท์ที่ถือเป็นบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดก็คือ “พินัยกรรม” และการให้ “ทนายตั้ม” เป็น “ผู้จัดการมรดก” รวมถึงความพยายามที่จะให้ “ลูกชายของตนเอง” เป็น “บุตรบุญธรรม” ของพี่อ้อย แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบจาก “ลูกชายตัวจริงของพี่อ้อย” จนต้องล้มพับไป

“สนธิ ลิ้มทองกุล” เปิดเผยข้อมูลที่ได้รับจาก “พี่อ้อย” ผ่านทางายการสนธิเล่าเรื่อง ทางยูทูบ Sondhitalk ว่า หลังได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกแค่ 9 วัน “ทนายตั้ม” ก็เปิดฉากให้ “พี่อ้อยและสามี” ทำพินัยกรรมที่สำนักงานษิทรา ลอว์เฟิร์ม โดยมีทนายตั้มเป็นผู้เขียนและพิมพ์พินัยกรรม
ต่อมาเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2566 มีการทำ “พินัยกรรมฉบับใหม่” ซึ่งแก้ไขจากฉบับแรก แต่พินัยกรรมฉบับนี้มีปัญหารายละเอียดสำคัญว่า สินทรัพย์ที่อยู่ต่างประเทศให้ลูกชายคนเดียว โดยมีทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก
จากนั้น “พี่อ้อย” ได้ซื้อรถเบนซ์ โดยมี “ทนายตั้ม” เป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อให้ และมีจุดผิดสังเกตตรงที่ “ทนายตั้ม” ได้ติด GPS เอาไว้ที่รถเบนซ์คันดังกล่าว พร้อมกับเชื้อเชิญให้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ เช่น ไปทำบุญที่วัดห้วยปลากั้ง จังหวัดดเชียงราย และชวนไปล่องแพที่เขื่อนรัชประภา จ.สุราษฎร์ธานี ทว่า “พี่อ้อย” ก็ไม่ได้ไปทั้งสองที่




ที่ต้องขีดเส้นใต้คือ ในสัญญาติดตั้ง GPS ใช้ชื่อทนายตั้ม ทำสัญญารายปี และมีหลักฐานว่าทนายตั้มแอบดูข้อมูลการเดินทางว่าไปไหนบ้าง นอกจากนี้ เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาหลังมีเรื่อง “นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด” ภรรยาทนายตั้มยังแอบเข้าไปดู GPS ว่ารถพี่อ้อยเดินทางไปที่ไหน

นายสนธิยังได้เปิดเผยข้อมูลด้วยว่า หลังจากทำพินัยกรรมฉบับที่ 2 “พี่อ้อย” และ “พี่น้อย” ซึ่งเป็นเลขาฯ พยายามทวงถามพินัยกรรมคู่ฉบับ แต่ “ทนายตั้ม” ก็ไม่นำมาให้ กระทั่งแตกหักเรื่องรถเบนซ์ จึงทำหนังสือทวงถามพินัยกรรม แต่ “ทนายตั้ม”ตอบกลับว่า ทำลายไปหมดแล้ว ทั้งที่ไม่ได้ถามหรือทำลายต่อหน้า

ขณะเดียวกันก็พบด้วยว่า สัญญามีช่องโหว่ อีกทั้งให้ลงนามเฉพาะหน้าสุดท้าย แทนที่จะลงนามสัญญาทุกหน้า เพราะฉะนั้นจึงเป็นพินัยกรรมปลอมและพินัยกรรมสอดไส้

และนั่นนำไปสู่การที่ “พี่อ้อย” ได้ดำเนินยกเลิกพินัยกรรมที่ทนายตั้มเป็นผู้ดำเนินการทุกฉบับเมื่อต้นปี 2567 และจัดทำพินัยกรรมฉบับใหม่เป็นที่เรียบร้อย

ขณะที่ในทางคดีก็เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น เมื่ออยู่ๆ “ทนายปาเกียว - สายหยุด เพ็งบุญชู ก็ส่งสัญญาณถอย พร้อมให้สัมภาษณ์ผิดไปจากวิสัยของทนายอย่างที่ควรจะเป็น?”

“ทนายสายหยุด” เปิดฉากให้สัมภาษณ์เมื่อวันก่อนว่า ได้ยกหูโทรศัพท์คุยกับ “ทนายพี่อ้อย” บอกว่า “ทนายตั้ม” ษิทรา เบี้ยบังเกิด ยินยอมชดใช้เงินทุกบาททุกสตางค์คืนแก่ “พี่อ้อย” โดยอ้างว่า คดีฉ้อโกง หากไปถึงขั้นศาล ศาลก็ต้องให้ไกล่เกลี่ยอยู่แล้ว ดังนั้น ถ้ามีการเจรจาไว้ก่อนจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับทั้งสองฝ่าย

“สำหรับคดี 71 ล้าน ขณะนี้ได้มีการพูดคุยทนายของเจ๊อ้อยในเรื่องของการไกล่เกลี่ยเพื่อจะเยียวยาเมื่อไปถึงชั้นศาล ซึ่งส่วนตัวมองว่าเป็นหนี้ก็ต้องใช้ หากเป็นหนี้แล้วนายษิทราไม่ใช้นั้น จะสามารถเป็นเหตุผลในการตัดสินใจว่าจะว่าความต่อหรือไม่”ทนายสายหยุดว่าไว้อย่างนั้น พร้อมให้สัมภาษณ์หลังเข้าพบ “ทนายตั้ม” ในเรือนจำด้วยว่า “การทำพินัยกรรมโดยใช้ชื่อของนายษิทราเป็นผู้จัดการมรดกนั้น เจ้าตัวยืนยันว่าได้ทำลายไปแล้ว ส่วนเรื่องที่กล่าวหาว่านายษิทราติด GPS ที่รถของพี่อ้อยนั้น นายษิทราปฏิเสธเช่นกัน”

ทว่า ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า “พี่อ้อย” ไม่ขอเจรจา และจะดำเนินคดีต่อไปให้ “สุดซอย”

“จะไม่มีการเจรจาไกล่เกลี่ยแต่อย่างใด ขอดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด ย้ำไปให้สุดซอย ยอมรับว่ายังเป็นกังวลเรื่องคดี” พี่อ้อยให้สัมภาษณ์หลังให้ปากคำนานกว่า 12 ชั่วโมง

ด้าน พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(รอง ผบช.ก.) กล่าวว่า การสอบปากคำ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ เป็นการสอบเก็บตกประเด็นที่เคยสอบไปแล้วก่อนหน้านี้ ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะเจ้าตัวจะเดินทางกลับต่างประเทศ และเกรงว่าจะมีความยากลำบากในการสอบหากยังมีประเด็นตกหล่น

สำหรับประเด็นหลักๆ ที่สอบส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องพฤติการณ์หลักๆ ของ 4 เส้นเงิน คือ เงิน 71 ล้าน, 9 ล้าน, 13 ล้าน และ 39 ล้าน ซึ่งเป็นการสอบถามเพิ่มเติมเพื่อให้สำนวนการสอบสวนครบถ้วนสมบูรณ์

ขณะที่กรณีการติดตั้ง GPS นั้น รอง ผบช.ก.ระบุว่า เบื้องต้นได้รับข้อมูลมาว่า เป็น GPS ที่มีในรถอยู่แล้ว หากใครซื้อรถก็จะได้ ID ในการล็อกอิน อย่างรีก็ดี พนักงานสอบสวนกำลังตรวจสอบเพิ่มเติมอยู่

“เท่าที่ได้คุยกับพนักงานสอบสวนพบว่า หลักฐานทางคดีในเรื่องเส้นเงินทั้ง 4 ประเด็นค่อนข้างชัดเจนพอสมควรในทุกเรื่อง ตอนนี้ก็อยู่ที่พยานหลักฐานและนำมาวิเคราะห์กันอีกทีว่า ใครมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดเพิ่มเติมหรือไม่ และจะพยายามสรุปสำนวนให้เสร็จภายในฝาก 3 และส่งอัยการในฝาก 4 เพื่อให้อัยการได้ตรวจดูสำนวนต่างๆ เพราะคดีนี้มีความผิดหลายกรรม”รอง ผบช.ก.กล่าว

นอกจากประเด็นดังกล่าวข้างต้นแล้ว เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายปานเทพพัวพงษ์พันธ์ พร้อมทนายความ เดินทางมาที่สภาทนายความ เพื่อยื่นหนังสือร้องเรียนให้พิจารณาสอบมรรยาททนายความกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด และนายเดชา กิตติวิทยานันท์ โดยมีนายสุชาติ ชมกุล อุปนายกฝ่ายกิจการพิเศษ กำกับดูแลงานมรรยาททนายความ เป็นผู้รับ

ทั้งนี้ นายสนธิกล่าวด้วยว่า สิ่งที่นายษิทราทำกับน.ส.จตุพร หรือพี่อ้อย ไม่ใช่การฉ้อโกงหรือฟอกเงินอย่างเดียว แต่เป็นกระบวนการของคนที่รู้กฎหมาย แล้วใช้ความรู้ทางกฎหมายเอารัดเอาเปรียบคนที่ไม่รู้กฎหมาย

นอกจากนั้น ภายในเดือนธันวาคมจะไปยื่นให้กรมสรรพากรตรวจสอบ ประเด็นเรื่องเงิน 71 ล้านบาท ที่นายษิทราได้มามีการเสียภาษีที่ถูกต้องหรือไม่เพราะว่าไม่ใช่เงินที่ได้มาโดยเสน่หา เป็นรายได้ที่จะต้องเสียภาษี 35 เปอเซ็นต์ และตนจะไปร้องเรียนประเด็นค่าจ้างที่น.ส.จตุพรโอนให้นายษิทรา เดือนละ 3 แสนบาท เป็นระยะเวลา 1 ปี เป็นจำนวนเงิน 3.6 ล้านบาท แต่นายษิทราหรือ ทนายตั้มกลับโอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีพี่สาว จึงต้องการให้ตรวจสอบว่ามีการเสียภาษีหรือไม่ รวมทั้งอยากให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินของพี่สาวนายษิทรา เพราะทราบมาว่ามีแม่บ้านเป็นผู้ถือบัญชีรับโอนเงินจากนายษิทราว่าเงินที่เข้าออกจากบัญชีดังกล่าว ได้เสียภาษีอย่างถูกต้องหรือไม่

และทั้งหมดนั้นคือ เรื่องราวของนายษิทราหรือทนายตั้มที่งวดเข้ามาทุกที และจำต้องพิสูจน์ให้สิ้นกระแสความกันต่อไป เพราะ “ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว”.


กำลังโหลดความคิดเห็น