ประเทศสหรัฐฯ อาจจะเป็นประเทศสุดท้ายในกลุ่มประเทศมั่งคั่ง หรืออาจเป็นประเทศสุดท้ายในโลกก็ได้ ที่จะมีผู้นำสูงสุดเป็นผู้หญิง
ขณะที่ยุโรปได้ก้าวไปล่วงหน้ากว่าสหรัฐฯ ถึง 20 ปี ไม่ว่าจะเป็นผู้นำหญิงแกร่งอย่างนางอังเกลา แมร์เคิล แห่งเยอรมนี ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกฯ ถึง 4 สมัย 20 ปี, ที่อังกฤษก็มีมาแล้วถึง 3 คน และคนแรกคือ มาร์กาเรต แทตเชอร์ ก็อยู่ได้นานถึง 3 สมัยนานถึง 12 ปีกว่า...รวมทั้งที่ยุโรปเหนือก็มีผู้นำหญิงแทบทุกประเทศ
แม้ในเอเชียเองที่อินโดนีเซียก็มีผู้นำหญิงมาแล้วคือ ลูกสาวปธน.ซูการ์โน หรือที่อินเดีย, ศรีลังกา, บังกลาเทศ, อิสราเอล
สหรัฐฯ อาจยังไม่พร้อมกับการมีผู้หญิงเป็นผู้นำ ส่วนหนึ่งคือ เป็นสังคมที่อนุรักษ์มากกว่าที่หลายคนคิด แม้จะมีการทำลายเพดานแก้วในทางธุรกิจก่อนประเทศอื่นๆ แต่ด้านสิทธิด้านการเมืองนั้น นักต่อสู้สตรีของสหรัฐฯ อย่าง ซูซาน บี. แอนโทนี ต้องต่อสู้อย่างแสนสาหัสกว่าสตรีอเมริกันจะได้สิทธิในการลงคะแนนเสียง ซึ่งชายผิวดำยังได้สิทธินี้ก่อนหญิงอเมริกันด้วยซ้ำ
แม้แต่หญิงไทยก็ยังได้สิทธิในการลงคะแนนเสียงพร้อมๆ กับผู้ชายไทย หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475
อีกส่วนหนึ่งที่กมลา แฮร์ริส ต้องแพ้แก่ทรัมป์ก็เป็นเพราะเธอเองก็ไม่มีหมัดน็อกเด็ด และการเป็นนักรบสุขสันต์อาจไม่ชนะใจสังคมอเมริกันที่กำลังแตกแยกและมีผู้ตั้งความหวังเอาไว้มากกว่าจะได้จากนักรบสุขสันต์
ประกอบกับการประกาศถอนตัวช้ามากของไบเดน จนทำให้กมลาเข้ามารับไม้ต่อ โดยไม่มีการเลือกผู้จะเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตอย่างแท้จริง
ศ.จอห์น เมียร์ไชเมอร์ นักรัฐศาสตร์คนดังแห่งม.ชิคาโก ได้ออกมาวิเคราะห์ก่อน 5 พ.ย.เพียง 2 วันว่า ทรัมป์จะชนะ และเขาไม่ลงคะแนนให้ทั้งทรัมป์และแฮร์ริส โดยมองว่า ทรัมป์จะนำความยุ่งเหยิงไม่แน่นอนมาสู่สหรัฐฯ และโลก เช่นสมัยแรกที่เขาอยู่ทำเนียบขาว ส่วนกมลานั้น ศ.เมียร์ไชเมอร์ บอกว่าจะให้คะแนนเธอไม่ได้ เพราะเธออยู่กับไบเดนในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่กาซา เธอก็ยังปักหลักสนับสนุนอิสราเอลในการยึดครองปาเลสไตน์ และไม่ผลักดันสู่การมีสองรัฐให้เป็นจริง ทั้งๆ ที่สหรัฐฯ สามารถทำได้
ศ.เมียร์ไชเมอร์ วิเคราะห์ว่า ทรัมป์มองเห็นโอกาสเมื่อเขาเห็นประชาชนอเมริกันส่วนใหญ่ที่ถูกทอดทิ้งไว้จำนวนมาก และใช้ช่องทางนี้เป็นเครื่องมือที่จะให้คนที่ถูกทอดทิ้งหันมาตั้งความหวังจากตัวทรัมป์เองคือ การชูประเด็นการปิดพรมแดนไม่ให้ผู้อพยพเข้ามาอย่างหละหลวม
ในการเลือกตั้งปธน.ในปี 2012 ทรัมป์ชนะฮิลลารี ซึ่งทางเดโมแครตก็มีการสมคบกัน (โดย Super Delegates) ให้ฮิลลารีเป็นตัวแทน ทั้งๆ ที่ สว.เบอร์นี แซนเดอร์ ได้มีนโยบายที่จะแก้ปัญหาให้แก่ประชาชนส่วนใหญ่ (ทั้งผิวขาว, ดำ, ละติน) ที่กำลังคุกรุ่นไม่พอใจสภาพเศรษฐกิจและสังคมอย่างมาก
ครั้งนั้น (2012) ถ้าเบอร์นีได้เป็นตัวแทนก็น่าจะต้านทรัมป์อยู่ ไม่ให้เข้ามาทำเนียบขาวเป็นสมัยแรกได้
ปี 2016 ทรัมป์แพ้ไบเดน และทำให้เขาแค้นมาก เพราะเขาจะ “แพ้” ไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้เพิ่งมีหนังออกมาฉายเมื่อ 11 ตุลาคมนี้เอง “หลังต่อสู้ในศาล” เพราะทีมหาเสียงของทรัมป์ได้ขอศาลห้ามฉายหนังเรื่องนี้ เนื่องจากมีเนื้อหาถึงการดำเนินธุรกิจอย่างอำมหิตของทรัมป์ จนสร้างให้เขาเป็นมหาเศรษฐีของสหรัฐฯ ทั้งการชนะคู่แข่งในการประมูลที่ดินของมหานครนิวยอร์ก รวมทั้งการชนะเลือกตั้ง ปธน.ปี 2012 ด้วย...ในที่สุดฝ่ายผู้สร้างหนังได้ต่อสู้ในศาลด้วยประเด็นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น จึงสามารถนำออกมาฉายได้
หนังเรื่องนี้ ได้เล่าประวัติของทรัมป์ ซึ่งพ่อเป็นคนที่พร่ำสอนให้ทรัมป์ต้องชนะเท่านั้น ห้ามแพ้เด็ดขาด และชนะด้วยวิธีใดก็ได้; และถ้าเกิดต้องแพ้ขึ้นมาก็ต้องห้ามออกมายอมรับความพ่ายแพ้
ทรัมป์จะคุยโอ้อวดถึงความเก่งกาจทางธุรกิจของเขา ที่สามารถมาสร้างตัวที่เกาะแมนฮัตตัน เพราะพ่อเขาก็แค่เป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ท้องถิ่นที่ควีนส์
เขาได้ยินกิตติศัพท์ของนักกฎหมายมือเคี่ยวและอำมหิตชื่อ Roy Cohn ที่เป็นทนายความของ สว.โจเซฟ แมคคาร์ธี ที่ทำให้ สว., สส. และรัฐบาลสหรัฐฯ ถึงกับสั่นคลอนจากการกล่าวหาว่า คนเหล่านั้นพยายามทำลายสหรัฐฯ โดยนิยมชมชอบระบอบคอมมิวนิสต์ที่กำลังระบาดในยุโรป
ทนายรอย โคห์น ได้สอนเขาให้อำมหิตด้วยกฎเหล็ก 3 ข้อเพื่อได้ชัยชนะในธุรกิจ และอาจถึงครองโลกได้ นั่นคือ
ข้อหนึ่ง : รุกเข้าโจมตีก่อน, โจมตีและโจมตีลูกเดียว ด้วยข้อกล่าวหาต่างๆ ทั้งจริงหรือไม่จริงก็ตาม เพื่อเอาไว้ต่อรอง
ข้อสอง : ปฏิเสธข้อกล่าวหาทุกอย่าง ไม่ต้องยอมรับความจริงที่ตัวเองเคยก่อขึ้น; ไม่ยอมรับความผิดใดๆ ทั้งสิ้น
ข้อสาม : ทำทุกๆ วิถีทาง (ทั้งบนดิน, ใต้ดิน รวมทั้งวิถีทางผิดศีลธรรม) เพื่อชัยชนะเท่านั้น
เป็นการต่อยอดจากที่พ่อของทรัมป์เคยสอนไม่ให้เขายอมแพ้ ต้องชนะเท่านั้น นั่นคือ การโจมตีก่อนและการทำทุกๆ วิถีทางเพื่อชัยชนะ (จะด้วยความถ่อย, เถื่อน, ดิบ, สารพัดพิษอย่างสุดๆ)
ข้อสามนี้ รวมทั้งการข่มขู่จะแก้แค้นถ้าเขาชนะ เพื่อทำให้คู่แข่งและศัตรูหรือคนที่ไม่ชอบเขา เกิดอาการหวาดกลัวว่าเขาจะแก้แค้น (ด้วยวิถีทางทั้งสกปรกก็จะทำ) ซึ่งเมื่อทรัมป์ชนะเลือกตั้งครั้งแรกในชีวิตเมื่อ 2012 เขาเริ่มแก้แค้นเจฟฟ์ เบโซส ในการตรวจสอบแอมะซอนและคิดบัญชีกับสื่อที่ไม่สนับสนุนเขาเมื่อเขาแข่งกับฮิลลารี
การชนะปี 2024 นี้ ก็อยู่บนหลักการกฎเหล็ก 3 ข้อนี้ทั้งสิ้น...และทั้งยุโรป, จีน, อิหร่าน รวมทั้งทุกๆ ประเทศในโลกต้องเตรียมตัวกับการเป็นผู้นำอำมหิตไร้คุณธรรมคนนี้
คนไทยน่าจะชินพอควรกับความอำมหิตไร้ศีลธรรมของทรัมป์ เพราะพวกเราก็ได้เผชิญกับ “ทรัมป์เมืองไทย” มาตลอด 23 ปีที่ผ่านมา...ก็คนที่แกล้งตบตาเป็นป่วยหนักที่ชั้น 14 นั่นไง...แม้ผมจะไม่ใช่สีทอง แต่พิษสงไม่แพ้ทรัมป์ตัวจริงเลย