xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“อนุทิน” ตัดจบ “เอกสายไหม” “ลุงป้อม” ตัดจบ “สามารถ” “พท.-พปชร.” เปิดศึกเทวดา ดิ้นพล่านชิ่งวงจรอุบาทว์ “ดิไอคอน”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เล่นเอาสะเทือนเดือดร้อนไปแทบทุกวงการ กับมหากาพย์ “ดิ ไอคอน กรุ๊ป” ที่วันนี้ ”ตัวการใหญ่” อย่าง “บอสพอล” วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ผู้ก่อตั้งบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด และบรรดาบอสหัวแถวรวม 18 คน แปะสถานะผู้ต้องหา ถูกคุมตัวอยู่ในเรือนจำเป็นที่เรียบร้อย

แถมทำไปทำมาก็วุ่นยิ่งกว่า “ลิงแก้แห” เพราะทำไปทำมาพัวพันแตกแขนกออกไปหลายมิติ ทั้งมิติกระบวนการยุติธรรมที่คดีถูกส่งต่อจาก “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ไปให้ “กรมสอบสวนคดีพิเศษ” เป็นผู้รับผิดชอบแทน รวมไปถึงมิติการเมืองที่มีตัวละครไปพัวกับพรรคการเมืองอย่างน้อย 2-3 พรรค ส่งผลทำให้มีการงัดกระบวนยุทธ์ออกมาแก้เกมและฟาดฟันกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน

นั่นก็คือ พรรคพลังประชารัฐ พรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย

ตัวละครการเมืองซึ่ง “ยืนหนึ่ง” ในความสนใจของสังคมมาอย่างต่อเนื่องคือ “เสี่ยจ๊อบ” สามารถ เจนชัยจิตรวณิช ที่ถูกพาดพิงเรื่องคลิปเสียงคดีดิไอคอน ซึ่งหายเงียบไป พร้อมกับกระแสข่าวการขับพ้น “พรรคพลังประชารัฐ” ก็มีบทสรุปออกมาชัดเจน โดย “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐรัฐ ตั้งโต๊ะแถลงข่าวด้วยตัวเอง

“ลุงป้อม” เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค ถึงกรณีนายสามารถ ซึ่งเป็นอดีตรองโฆษกพรรค พปชร.ถูกพาดพิงเรื่องคลิปเสียงคดีดิไอคอนว่า นายสามารถได้ลาออกจากสมาชิกพรรค พปชร.แล้ว เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

ด้านนายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ที่ถือเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดการปัญหาดังกล่าวก็อ้อมๆ แอ้มๆ ตามน้ำไปในทำนองเดียวกับ “ลุงป้อม” โดยขยายความเพิ่มเล็กน้อยว่า นายสามารถได้ยื่นใบลาออกจากสมาชิกพรรคต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แล้ว ตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 ตุลาคมโดยที่ไม่ได้แจ้งพรรค ขณะที่หนังสือลาออกได้มาถึงพรรคในวันที่ 29 ตุลาคม

แน่นอน การที่ออกมาทรงนี้ตีความได้ไม่ยากว่า เป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับพรรคพลังประชารัฐ และอาจอนุมานได้ว่า “ลุงป้อม” ไม่อยากให้ใช้วิธีขับนายสามารถพ้นพรรค

อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่า พรรคพลังประชารัฐจะไม่สยบยอมเรื่องนี้ง่ายๆ เมื่อทีมงาน “บ้านป่ารอยต่อ” หาทางย้อนศรเอาคืน “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ให้ข่าวถึง “ตัวละครลับ” เจาะจง “โยนบาป” ไปที่พรรคเพื่อไทยแบบซึ่งๆ หน้า

ตามคิวที่ “บิ๊กต๊ะ” พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ ได้แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคถึงกรณี ดิ ไอคอน กรุ๊ป ว่า ยังมี “เทวดา” ที่อยู่เบื้องหลังอีกรายคน เชื่อมโยงกับเบอร์ 2 ของเครือข่าย คือ “บอสแซม” ยุรนันท์ ภมรมนตรี หนึ่งในผู้ต้องหา ที่เป็นอดีตผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. และอดีตผู้สมัคร สส. ของพรรคเพื่อไทย โดยมี “บอส ก.” อดีตผู้สมัคร สส.พรรคเพื่อไทย ที่เป็นหนึ่งในผู้ให้การสนับสนุน ดิ ไอคอน กรุ๊ป
โดยจัดรายการหนึ่งเกี่ยวข้องกับ “คนอายุน้อย” และเคยเชิญผู้บริหาร ดิ ไอคอน กรุ๊ป มาออกรายการ ให้การสนับสนุนเชิญชวนให้ประชาชนสมัครเป็นสมาชิก

“พล.ต.ท.ปิยะ” ไล่ไปอีกว่า ขบวนการ ดิ ไอคอน กรุ๊ป ถูกเพิกเฉยมาตลอดตั้งแต่ปี 2561-67 โดยที่กลไกของ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร ไม่ทำอะไร เกี่ยวเนื่องไปถึง “เทวดา ม.” 2 คนที่เคยมีตำแหน่งใน กมธ. โดน ม.คนหนึ่งอยู่ชัยภูมิเป็นประธาน กมธ. และอีกคนหนึ่งเป็นเลขานุการ กมธ. ขณะนี้ได้เป็นรัฐมนตรีช่วยใน ครม.แพทองธาร ด้วย

“ผู้ที่เกี่ยวข้องคล้ายๆ กับเทวดา ยังมีบุคคลที่มีชื่ออักษรย่อ ก. ธ. ส. ต. อ. และจ่าคนหนึ่ง ซึ่งบุคคลทั้ง 6 คนนี้มีความใกล้ชิดและเกี่ยวข้องกับนักการเมืองที่ร่วมรัฐบาล เป็นนักการเมืองอยู่ในพรรคเพื่อไทบเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะ ส. อ. ด. เดาง่ายๆ ว่า เทวดาอยู่ข้างหลังเป็นใคร ที่สำคัญคือ จากประวัติของนายสามารถเมื่อปี 2557 เป็น ผอ.ศูนย์อำนวยการร้องทุกข์ของกลุ่มสามมิตร และปี 62 ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วย รมว.ยุติธรรม เสียงในคลิปต่างๆ จะเห็นว่า สามารถแต่งตั้ง ดีเอสไอ (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) ได้ในขณะนั้น ซึ่งนายสามารถ เป็นผู้ช่วย รมว.ยุติธรรม ย่อมสามารถหาได้ง่ายๆ ว่า ใครเป็น รมว.ยุติธรรม”

เดาไม่ยากว่าที่ “พล.ต.ท.ปิยะ” ในฐานะกระบอกเสียงของพรรคพลับประชารัฐ ต้องออกมาทิ้งบอมบ์ใส่พรรคเพื่อไทย ก็เพื่อจะลากให้ลงมาตกพุ่มเดียวกัน หลังมีชื่อ “ท่าน ส.” เข้าไปพัวพัน ปรากฎเป็นคลิปเสียงเรียกรับผลประโยชน์จาก “บอสพอล” แล้วลุกลามมาถึง “ลุง” เกี่ยวกับเงิน 31 ล้านบาท

 เอกภพ เหลืองประเสริฐ

สามารถ เจนชัยจิตรวณิช
สำหรับชื่อย่อ-ตัวละครลับ ที่ “พล.ต.ท.ปิยะ” ปล่อยออกมาหยุบหยับยิ่งเสียกว่าข่าวบันเทิง ก็เดาไม่อยากว่า ใครเป็นใคร โดยเฉพาะ 2 ม. ที่เมื่อไล่เช็กชื่อ กมธ.คุ้มครองผู้บริโภคชุดที่แล้ว ก็ชัดเจนว่า เป็น “เสี่ยนะ” มานะ โลหะวณิชย์ อดีต สส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธาน กมธ.ชุดดังกล่าว ส่วน “รมช.” ในรัฐบาลนี้ ก็ไม่พ้น “เจ๊เดือน” มนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม ซึ่งเป็นเลขานุการ กมธ.ชุดเดียวกัน

โดย “มนพร” ออกมาตอบโต้ทันควัน โดยมี ประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ซึ่งเป็น กมธ.ในขณะนั้น ร่วมให้ยืนยันข้อเท็จจริงว่า มีเรื่องร้องเรียนดิ ไอคอน กรุ๊ป มาที่ กมธ.จริง และได้ตรวจสอบหน้าตามกระบวนการ ไม่มีการดองหรือเร่งให้จบเรื่อง ซึ่งคนให้ข่าวคงไม่เข้าใจระบบทำงานของ กมธ.ที่ไม่สามารถชี้ถูกชี้ผิดได้

ขณะเดียวกัน “พี่บรู๊ค“ ดนุพร ปุณณกันต์ สส. แบบบัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทยก็ออกมาชี้แจงตัวละครที่ถูกอ้างถึงว่าเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยนั้น ก็มี อาทิ “บอสแซม”ซึ่งสิ้นสภาพการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2565 หรือกว่า 3 ปีแล้ว ส่วน ”บอส ก.” ที่ถูกเชื่อมโยงว่าคือ ”ก้อง“ อรรฆรัตน์ นิติพน พิธีกรรายการ อายุน้อยร้อยล้าน ซึ่งเป็นผู้สมัคร สส.กทม. ของพรรคเพื่อไทยนั้น ก็ทำรายการสัมภาษณ์ผู้บริหาร ดิ ไอคอน กรุ๊ป ในช่วงก่อนที่จะสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย

ส่วนชื่อย่ออื่นๆ ก็คงเดาไม่ยาก เพราะจากข้อมูลที่ “บิ๊กต๊ะ” บอก ก็ตามหาได้มียากว่าเป็นใคร โดยเฉพาะรายที่เกี่ยวข้องกับ “อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม” ที่วันนี้ “ทั้งย้ายพรรคและย้ายกระทรวง” ซึ่งนอกจาก “ท่าน ส.” ก็มี “ท่าน ธ.” ที่ถือเป็นมือทำงานคนสนิท และก็มีบทบาทในช่วงต้นของการกวาดล้างขบวนการดิ ไอคอน กรุ๊ป พอสมควร มีการออกรายการต่างๆ แฉถึงพฤติกรรมฉ้อโกงหลอกลวง

ทว่า หลังเรื่องราวชัดบานปลาย “ท่าน ธ.” ก็ดูจะเงียบๆ และลดการเดินสายออกสื่อลงอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ดี สิ่งที่พรรคพลังประชารัฐปัดสวะไม่พ้นก็คือ “ท่านส.” นั้น มิใช่คนของอดีตรมว.ยุติธรรม หากแต่เป็นโควตาที่ “ลุง” ส่งไปทำหน้าที่นี้เอง

ดังนั้น จงอย่าแปลกใจที่ “สรวงศ์ เทียนทอง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) จะทนไม่ไหวถึงกับประกาศว่า “ขออย่าตีกินทางการเมืองเช่นนี้ เราจะไม่ยอมแล้ว เพราะทนมาหลายครั้งกับการเอ่ยชื่อพรรคเช่นนี้ อีกทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นก็เกิดในสมัยที่พรรคเขาเป็นรัฐบาล ชื่อที่อ้างมาก็เคยอยู่ในพรรคเขาทั้งสิ้น จะมาโยนว่าตอนนี้อยู่พรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อไทยเกี่ยวอะไร จากนี้จะให้ฝ่ายกฎหมายตั้งคณะกรรมการเพื่อเอาผิดอย่างแน่นอน และขอพูดตรงๆ ว่าการกระทำแบบนี้เป็นเครื่องยืนยันที่ชัดเจนว่าด้วยนิสัยแบบนี้ เราจึงร่วมงานกันไม่ได้”

 อนุทิน ชาญวีรกูล

 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
ถัดจากการปะฉะดะกันของ “พรรคพลังประชารัฐและพรรคเพื่อไทย” ก็มาถึงคิวของ “พรรคภูมิใจไทย” กันบ้าง กับ “เอ๋” เอกภพ เหลืองประเสริฐ แห่งเครือข่ายสายไหมต้องรอดที่เข้าไปร่วมปรากฎตัวหน้าสื่อร่วมกับทีมทนายที่ตั้งตนว่าเป็น “ทนายอเวนเจอร์” นำเหยื่อในคดีดิไอคอนกว่า 100 คนเข้าร้องทุกข์ต่อกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ก่อนโดนเกมเอาคืนจาก “บอสพอล” สั่งตรงมาจากเรือนจำ เอาผิดกลุ่มทนายตบทรัพย์ และมีชื่อ “เอ๋-เอกภพ“ ในกรณีนำพยานเท็จไปให้การเกี่ยวกับเส้นทางเงินผิดปกติเกี่ยวกับขบวนการดิ ไอคอน กรุ๊ป โดยพบว่ามีการโอนก้อนใหญ่ 8-9 พันล้านบาทผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล ในระหว่างจับกุมบอสคนหนึ่ง

กลายเป็นเอฟเฟกต์ไปถึงต้นสังกัดคือ พรรคภูมิใจไทยทำให้ ”เสี่ยหนู“ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคออกมา “ตัดหาง” ทันที โดยยืนยันว่า การดำเนินการใดๆ ของ “เอกภพ” เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับพรรค และไม่ได้แต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในรัฐบาลชุดนี้แล้ว

“นายเอกภพไม่สามารถใช้ตำแหน่งที่ปรึกษา รมว.มหาดไทยได้แล้ว เพราะหมดไปตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว ตอนนี้เปลี่ยนรัฐบาลใหม่ เพียงแต่ผมยังอยู่ที่เดิม และยังไม่ได้ตั้งใครเป็นที่ปรึกษา”นายอนุทินกล่าวและไม่ยอมตอบคำถามที่ว่านายเอกภพยังเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทยอยู่หรือไม่ โดยเฉไฉไปว่า “ความเป็นสมาชิกใครก็เป็นได้”

 สรวงศ์ เทียนทอง

 มนพร เจริญศรี

 พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานภาพของนายเอกภพเป็นอย่างไร คงต้องสืบเสาะกันต่อไป แต่การประกาศชิ่งของพรรคภูมิใจไทยโดย “หัวหน้าหนู” ทำให้ภาพลักษณ์ของนายเอกภพพินาศหนักยิ่งไปกว่าเก่าอีก เพราะในการเคลื่อนไหวที่ผ่านมา เขาพ่วงเก้าอี้ “ที่ปรึกษามท.หนู” มาโดยตลอด

ที่สำคัญคือทำให้ “เอ๋ เอกภพ” กลายเป็นอีกรายที่อาจจะพูดได้ว่าหมดอนาคตไปกับปมดิ ไอคอน กรุ๊ป ทั้งที่จริงๆ แล้วหากไม่เกิดเรื่องก็คงได้รับการเสนอปต่งตั้งเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยตามเดิม

ส่วนกรณีที่คดีดิไอคอนถูกย้ายจาก “ตำรวจสอบสวนกลาง” ไปอยู่ในมือของ “กรมสอบสวนคดีพิเศษ” หรือดีเอสไอ ที่เป็นหน่วยงานขึ้นตรงกระทรวงยุติธรรม ภายใต้การกำกับดูแลของ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รมว.ยุติธรรม ก็เป็นอีกประเด็นใหญ่ที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนัก

เพราะหากยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้นายเอกภพ เหลืองประเสริฐเป็นผู้ออกมาแฉเองมีว่า หนึ่งใน “เทวดา” ที่กินเครื่องเซ่นไหว้ในคดีดิไอคอน ถูกส่งเข้ามามีตำแหน่งใหญ่โตในกรมสอบสวนคดีพิเศษ

และหนึ่งในผู้ที่สงสัยอย่างเป็นทางการก็คือ นายชิบ จิตนิยม สมาชิกวุฒิสภาสายสื่อมวลชนที่ได้ตั้งกระทู้ถามนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถึงมาตรการการแก้ไขปัญหากรณีความเสียหายจากปัญหาธุรกิจเครือข่าย “ดิ ไอคอน กรุ๊ป”

“การโยกคดีไปอยู่ในความรับผิดชอบของดีเอสไอในครั้งนี้ มีคำสั่งจากใครหรือไม่ที่เห็นช่องว่าจะทำให้ผู้ต้องหาในคดีนี้รอด แม้ว่าดีเอสไอจะแถลงว่ารับเป็นคดีพิเศษเฉพาะความผิดอาญาฐานฟอกเงินเท่านั้น ซึ่งเป็นการดำเนินคดีกับผู้ที่โอนหรือรับโอนทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิด ส่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติยังคงสอบสวนความผิดอาญาฐานฉ้อโกงประชาชนและความผิดอื่น ขณะที่ ปปง. จะรับดำเนินการเรื่องทรัพย์สิน” นายขิบ ระบุ

สอดรับกับ “อี้”- แทนคุณ จิตต์อิสระ อดีต สส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ที่ตั้งข้อสงสัยเรื่องย้ายการดำเนินคดีจากกองปราบปราม ไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่า ความสงสัยนี้ไม่อาจคลี่คลายไปด้วยเหตุผลที่ว่า ดีเอสไอมีอำนาจสอบสวน เพราะตำรวจก็มีอำนาจสอบสวนเหมือนกัน คดีที่กำลังดำเนินการไปได้ด้วยดี สงสัยอะไรไม่ได้เลย นอกจากมีอำนาจมืด หรือเป็นอำนาจของเทวดาหรือไม่ เรื่องนี้คงไม่ใช่เจ้าหน้าที่มาตอบ แต่ควรจะต้องเป็นผู้มีความคิดริเริ่มที่จะโยกย้ายคดี

ใครเป็นคนสั่งตามข้อสงสัยของ สว.ชิบและอี้-แทนคุณณ์ คงไม่สามารถจับให้มั่นคั้นให้ตายได้ เพราะคำตอบก็คงเป็นไปตามหลักการของกฎหมายอย่างที่มีความพยายามจะอธิบายจากรัฐบาลมาโดยตลอด

แต่ที่แน่ๆ คือ การย้ายคดีเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการหลังจาก “บิ๊กก้อง พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช” ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้เข้าพบ นายภูมิธรรม เวชชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อรายงานความคืบหน้าและประชุมร่วมกันในคดีดิไอคอนกรุ๊ปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีข้อสรุปว่า จะโอนสำนวนคดีทั้งหมดในส่วนของตำรวจสอบสวนกลางไปให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เป็นผู้ดำเนินคดีต่อ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ดีเอสไอได้แถลงว่าจะรับเพียงเฉพาะข้อหา พ.ร.บ.ฟอกเงิน ไปดำเนินการท่านั้น

ส่วน “เทวดา สคบ.” จำเนียรกาลผ่านไปหลายสัปดาห์ การตรวจสอบก็ยังไม่มีบทสรุป มีแต่คำให้สัมภาษณ์ของ “ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม” ที่บอกสั้นว่า “ได้เรียกบุคคลภายนอก มาสอบเพิ่ม 6 คน และบุคคลภายใน 11 คน ซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินการอยู่ โดยยอมรับว่าอาจจะต้องขยายเวลาออกไป เพราะยิ่งสอบยิ่งเจอ”

...เอาเป็นว่า คงต้องติดตามเรื่องนี้กันต่อไปอย่างไม่กระพริบตา เพราะเห็นแล้วว่า “เพียบพูนด้วยเล่ห์” อยู่ไม่น้อย แถมยังอาจนับเป็นความชวนหัวของมหากาพย์ “ดิ ไอคอน กรุ๊ป” ที่แทบทุกตัวละครพยายามดิ้นพล่านเพื่อให้พ้นวงจรอุบาทว์ เพราะเชื่อมโยงไปถึงการใช้อำนาจหน้าที่ทั้งราชการ-เอกชนในการเรียกรับผลประโยชน์โดยมิชอบจนแทบจะกลบความก้าวหน้าของคดีที่มีผู้เดือดร้อนแจ้งความแล้วนับหมื่นคนไปเลย.


กำลังโหลดความคิดเห็น