xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ทนายตั้ม” ฝีแตก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ถึงต้องซี้ดปากไปตามๆ กันสำหรับการออกมาปะฉะดะของ “พี่อ้อย-จตุพร อุบลเลิศ” ที่เดินหน้าแจ้งความ “ทนายตั้ม-ษิทรา เบี้ยบังเกิด” ในข้อหาฉ้อโกงเงินจำนวน 71 ล้านบาท ที่ สภ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ด้วยหลังจากนั้นก็มีสารพัดข้อมูลออกมาแฉอย่างต่อเนื่อง

ทั้งจากตัว “พี่อ้อย” เอง และบรรดา “ลูกความ” ที่ลุกขึ้นมา “แฉ” ซึ่งแม้จะไม่เอ่ยตรงๆ ว่า “ทนายความคนดัง” เป็นใคร แต่สังคมก็ตาลุกโพลงด้วยเกี่ยวพันกับคดีดังหลายต่อหลายคดี

ไม่ว่าจะเป็นคดีที่เกี่ยวพันกับการเสียชีวิตของดาราสาว “แตงโม-นิดา พัชรวีระพงษ์” จากการออกมาเปิดเผยของ “ไฮโซปอ”-นายตนุภัทร เลิศทวีวิทย์ และ “แซน” - วิศาพัช มโนมัยรัตน์

การออกมาแฉของ “หนึ่ง บางปู” หรือ วรัชญากรณ์ อ่อนธรรม ที่ทำเอาโลกโซเชียลฯ ต้องร้องโอ้โห เพราะเสียเงินค่าทนายไป 10 ล้านบาทแต่ไม่มีมรรคผลอะไรเกิดขึ้น สุดท้ายตัวเองกับสามีต้องเคลียร์กันเอง

ไม่เว้นแม้แต่ “บอสพอล” วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ที่สั่งจากในคุกให้จัดการกรณี “ตบทรัพย์” ซ้ำไปอีก 1 ดอก

แถมยังไปพัวพันกับ “3 นักการเมืองคนดัง” อีกต่างหากคือ “เสี่ยหนู อนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย “นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ “นายสมศักดิ์ เทพสุทิน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จนต้องออกมาชี้แจงกันวุ่น

จะเรียกว่า “ฝีแตก” หรือ “ไฟลามทุ่ง” ก็คงจะว่าได้

กล่าวสำหรับ “พี่อ้อย-จตุพร” นั้น พื้นเพเป็นคนโคราช มีสามีชาวฝรั่งเศส และอาศัยอยู่ที่ฝรั่งเศส แต่ได้เดินทางกลับไทยพร้อมสามีเสมอๆ โดยมักมาทำบุญ บริจาคเงินและสิ่งของต่างๆ กระทั่งได้มารู้จักกับ “ทนายตั้ม” และนำไปสู่การว่าจ้างบริษัทของทนายตั้มดูแลผลประโยชน์ทางธุรกิจ กระทั่งเกิดปัญหาและแจ้งความดำเนินคดีข้อหาฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท

ทั้งนี้ จากการเปิดเผยของ “พี่อ้อย” ผ่านรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” เธอปฏิเสธชัดเจนว่า เงิน 71 ล้านบาทนั้นคือเงินที่ให้มาลงทุน มิใช่ให้โดยเสน่หาอย่างที่ “ทนายตั้ม” กล่าวอ้างและพยายามใช้ประเด็นนี้ในการต่อสู้

“ไม่เคยพูดเลยว่าให้โดยเสน่หา ไม่ได้ให้โดยเสน่หาแน่นอน ให้ไปร่วมลงทุนเท่านั้น ชวนไปลงทุน เขาอ้างผู้ใหญ่คนหนึ่งว่าจะต้องเอาเงินตัวนี้ไปให้ผู้ใหญ่ เพราะรับปากกับผู้ใหญ่คนหนึ่งไว้ ไม่มีคำพูดที่ว่าเออพี่ให้ตั้มนะ ตั้มเอาไปลงทุนนะ ตั้มเอาไปใช้ ไม่เคยพูด ไม่เคยเขียน”พี่อ้อยยืนยันพร้อมระบายความรู้สึกออกมาด้วยว่า “ใจสลายเพราะเรารักเขาและครอบครัวมาก”

ขณะที่ความคืบหน้าของคดีนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีคำสั่งให้ย้ายคดีจาก สภ.ปากช่องตามข้อเสนอของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 มาให้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางรับผิดชอบเป็นที่เรียบร้อย โดยมี “พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม” รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นหัวหน้าคณะทำงาน

ในเบื้องต้นจากการเปิดเผยของ “พ.ต.อ.ธงชัย อยู่เกษ” รองผู้บังคับการกองปราบปรามที่นำคณะพนักงานสอบสวนเดินทางไปจ.นครราชสีมา เพื่อสอบปากคำ น.ส.จตุพร พบว่า คดีค่อนข้างซับซ้อนและมีรายละเอียดมาก รวมไปถึงพยานบุคคลที่ต้องสอบปากคำมีจำนวนหลายปาก ซึ่งนอกจากคดีหลอกเงินลงทุนแพลตฟอร์มหวยออนไลน์ 71 ล้านบาท อันเป็นคดีหลักแล้ว พนักงานสอบสวนยังได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการซื้อรถเบนซ์ G-Class สีดำ ที่ผู้เสียหายฝากให้ทนายตั้มซื้อให้เพื่อใช้ตอนที่กลับมาไทย หลังพบว่าทนายตั้มมีการเบิกเงินจากผู้เสียหายไปจำนวน 13-14 ล้านบาท เพื่อนำไปซื้อรถ แต่ราคารถคันดังกล่าวจริง ๆ นั้นราคาเพียงแค่ 8 ล้านบาท ทำให้เกิดส่วนต่าง 5-6 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการหลอกให้นำเงินไปช่วยใช้หนี้ให้กับคนใกล้ชิดอีกจำนวน 39 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของกรณีนี้ยังพบว่ามีการอุปโลกน์หรือสร้างตัวละครเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือด้วยอีกหลายคน

“หากผู้เสียหายมีความประสงค์ที่จะดำเนินคดีกับกรณีรถเบนซ์ รวมไปถึงกรณีหลอกให้ช่วยใช้หนี้ให้กับคนใกล้ชิดของทนายตั้มเพิ่มเติมอีก 2 คดี ก็จะทำให้พฤติกรรมของทนายคนดังเข้าข่ายความผิด ฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ อันเข้าลักษณะเป็นความผิดมูลฐาน แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งจะมีเรื่องของการยึดทรัพย์ที่ได้จากการกระทำผิดตามมา”รองผู้บังคับการกองปราบปรามกล่าว

นอกจากเรื่องคดีความแล้ว “พี่อ้อย” ยังเปิดเผยด้วยว่า “ทนายตั้ม” อ้างถึงนักการเมืองไทย 3 คน นั่นคือ “นายสมศักดิ์ เทพสุทิน” ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม โดยบอกว่า สามารถช่วยเหลือในการทำลอตเตอรี่ออนไลน์ได้ และมีการโทรศัพท์ไปหาด้วย รวมถึงยังเคยพาไปฮ่องกงและพบกับ “เสี่ยหนู-นายอนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย โดยพักโรงแรมเดียวกัน (ซึ่ง “ทนายตั้ม” เป็นคนจองให้) คือโรงแรมเดอะ เพนนินซูลา ฮ่องกง ก่อนที่นายอนุทินจะพาไปทานข้าว พร้อมกับนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ

สำหรับนายสมศักดิ์นั้น ปฏิเสธเสียงดังฟังชัดว่า ไม่เคยคุยและไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นประการใด โดยยืนยันว่า “รู้จักในฐานะนักการเมือง ที่รู้จักผู้คนทั่วๆไป เวลามีเรื่องร้องเรียน เขาก็ไปที่กระทรวง แต่ที่กระทรวงก็มีหลายคนเข้ามา ไม่ใช่ทนายตั้มคนเดียว”

ขณะที่นายอนุทินยอมรับว่า เคยพบกับทนายตั้มที่ฮ่องกงจริง น่าจะประมาณหลังเลือกตั้งปีที่แล้ว ปลายเดือนพฤษภาคม หรือต้นมิถุนายน โดยเดินทางไปกับครอบครัว และเพื่อนฝูง เป้าหมายไปไหว้เจ้าหลังเลือกตั้ง และบังเอิญเจอทนายตั้มที่โรงแรม

“วันนั้น ทนายตั้มอยู่กับสุภาพสตรี 2 ท่าน เขาแนะนำให้รู้จัก ว่า ประกอบธุรกิจอยู่แถวยุโรป และพอดีว่า วันนั้นมีเวลาว่างอยู่ จึงชวนกันไปรับประทานอาหารที่ภัตตาคาร ...แล้วก็ทักทายกันปกติเพราะคุณตั้มก็เป็นคนดังอยู่แล้ว คุ้นหน้าคุ้นตารู้จักกัน แต่ไม่ได้ไปด้วยกัน ไม่ได้มีกำหนดการจะพบกัน” นายอนุทินแจกแจง


แต่เดี๋ยวก่อน...เพราะเรื่องไม่ได้มีเพียงแค่นั้น ด้วยเป็นที่น่าสังเกตว่าในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ราวเดือนพฤษภาคม 2566 ที่ “นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์” ออกมาโจมตีพรรคภูมิใจไทยอย่างหนักในประเด็นเกี่ยวกับ “นโยบายกัญชา และที่ดินเขากระโดง” อยู่ๆ “ทนายตั้ม” ก็เปิดหน้าแฉกลับนายชูวิทย์อย่างดุเด็ดเผ็ดมัน

ที่ฮือฮา ก็คือ เรื่องถุงเงิน 6 ล้านบาทของ “สารวัตรซัว” พ.ต.ท.วสวัตติ์ มุครสกุล ผู้อยู่เบื้องหลังเว็บพนันออนไลน์รายใหญ่ ก่อนที่นายชูวิทย์ตอบโต้โดยชพุ่งเป้าไปที่ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป ทั้งกินหรูอยู่แพง แบรนด์เนมทั้งตัว แถมยังมีคลิปที่ทนายตั้มมีตำรวจไปรอต้อนรับที่สนามบิน จนทำให้ “ทนายตั้ม ษิทรา” เงียบไปพักใหญ่

อย่างไรก็ดี การออกมาปะฉะดะกับ “เสี่ยอ่าง” ในครั้งนั้น ว่ากันว่า เป็นที่ถูกอกถูกใจของผู้ใหญ่ของพรรคภูมิใจไทยเป็นอย่างมาก เพราะกำลังเสียรังวัดทางการเมืองอย่างหนัก ส่วนจะมีการตบรางวัลอะไรให้หรือไม่ ไม่ทราบได้

กระนั้นก็ดี เมื่อเรื่องถูกโยงระหว่าง “เสี่ยหนู” กับ “ทนายตั้ม” จึงทำให้สังคมอดตั้งคำถามถึงระดับความสัมพันธ์ของทั้งสองคน เพราะแค่รู้จักกันผิวเผินหรือบังเอิญเจอกัน จะถึงขนาดชวนไปร่วมโต๊ะอาหารเชียวหรือ

ส่วนคดีความที่เกี่ยวกับ “แตงโม-นิดา” นั้น “แซน-วิศาพัช” ไม่ได้เอ่ยชื่อ “ทนายตั้ม” ออกมา แต่เล่าว่า เธอได้พูดคุยกับปอ และนัดหมายกับทนายความคนหนึ่ง เพื่อปรึกษาเรื่องคดีความ โดยทนายคนดังกล่าวให้รอก่อน ทำให้เข้าพบพนักงานสอบสวนช้า และบอกว่าอย่าเพิ่งให้การอะไรแต่ให้รอทนายก่อน ซึ่งตนและคนบนเรือทั้งสี่ก็รอจนกระทั่งเวลา 17.00 น. ทำให้ทั้งสี่คนบนเรือตกเป็นจำเลยสังคม ณ ตอนนั้น

ต่อมาเมื่อได้พบกัน ทนายคนดังกล่าวกลับให้คำแนะนำกับปอในทางที่ผิดว่า เรื่องนี้ต้องมีคนผิดซึ่งคนนั้นคือตน เนื่องจากอยู่ท้ายเรือและใกล้แตงโมที่สุด ณ ตอนนั้นทั้งสี่คนเลยตัดสินใจไม่ได้ให้ทนายคนดังทำคดี แต่ทนายคนดังกล่าวออกไปก็ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่าไม่รับทำคดีให้คนบนเรือ

“ทนายคนดัง (มาก) บอกว่าเค้าให้โดยเสน่หา เอิ่มม เอาอะไรมามั่นอ่ะ แค่ที่เค้าให้เดือนละสามแสน กล้ารับก็นับว่าสุดๆ แล้วนะ คุณคิดว่าศักยภาพคุณถึงราคานั้น? วันนั้น 25/02/65 ให้พวกเรารอคุณกลับจากโคราชจนเกือบค่ำ เลยตกเป็นจำเลยสังคม วันนี้ถึงบางอ้อ คุณคงจำเป็นต้องไปหาเงิน เพื่อมาซื้อของแบรนด์เนมใส่ไปโหนกระแสสินะ” แซน วิศาพัช ได้โพสต์ข้อความผ่าน สตอรี่อินสตาแกรม จากนั้นก็ไปเล่าอย่างละเอียดใน “รายการโหนกระแส” อีกครั้ง

นอกจากนี้ ยังมี “หนึ่ง บางปู” หรือ วรัชญากรณ์ อ่อนธรรม ที่ทำเอาโลกโซเชียลฯ ต้องหยุดดู หลังเธอปล่อยคลิประบายความในใจ ที่อัดอั้นมากว่า 3 ปี ว่าจ่ายเงินค่าทำคดีฟ้องหย่าสามี 10 ล้าน โดยเงิน 10 ล้านที่จ่ายไปทนายคนดัง(ซึ่งเธอก็ไม่ได้เอ่ยชื่อตรงๆ ว่าเป็นใคร) อ้างว่านำไปจ่ายให้ “บิ๊กตำรวจ จ.”

“เป็นการเรียกเงิน 10 ล้านได้ถ่ายรูปคู่แค่ 2 รูป แต่คุณภาพในการทำงานไม่ถึง 2 แสน และสุดท้ายตนกับสามีเก่าต้อง เคลียร์กันเองแบบไม่จำเป็นต้องมีทนาย แถมเงิน 10 ล้านที่ให้ก็ไปกู้มาจ่ายและตอนนี้กำลังรอที่จะกลายเป็นบุคคลล้มละลาย”หนึ่ง บางปูเล่าให้ฟัง

แม้แต่ “พี่อัจ” นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ที่เคยจับไม้จับมือยุติคดีความต่อกัน ก็ยังออกมามาให้สัมภาษณ์เป็นฉากๆ ถึงคดีความที่ “ทนายคนดัง” เคยเจอในอดีตว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

ทั้งคดีที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีที่เกี่ยวข้องกับลูกตำรวจที่เป็นเยาวชน ร่วมกับบุคคลอื่น รวม 4 คน โดย 3 คนถูกออกหมายจับ ส่วนทนายตั้มมอบตัวเอง แต่คดีที่เกิดขึ้นอัยการสั่ง “ไม่ฟ้อง” คดีจึงถึงที่สุด และออกกฎหมายลบล้างมลทินจนลบประวัติออกไป ทำให้สามารถรับใบอนุญาตทนายความได้เมื่อปี 2547

นอกจากนี้ ยังมีคดีถูกกล่าวหาเรื่องเรียกรับผลประโยชน์ช่วยเหลือทางคดีเกี่ยวกับยาเสพติดที่ “พี่อัจ” เคยร้องเรียนเมื่อปี 2561 ว่าร่วมมือกับตำรวจ สภ.แห่งหนึ่งใน จ.สมุทรสาคร เรียกรับผลประโยชน์ในคดียาเสพติด ซึ่งคดียังค้างอยู่ที่อัยการทุจริตภาค 7 มานานถึง 4 ปี

ก่อนที่จะฟันธงว่า “น่าจะโดนออกหมายจับในระยะเวลาอันใกล้คดีเกี่ยวกับฉ้อโกง ซึ่งได้พูดให้กำลังใจทนายคนนั้นเพียงแค่ว่าอาจจะได้เข้าไปอยู่กับ นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล ในเรือนจำ”

ส่วน “ลูกพี่ใหญ่” คือ “บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษษฐ์ หักพาล” อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึง “น้องตั้ม” ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นสั้นๆ แต่กระทบใจคนฟังขั้นสุดว่า “กรรมใครก็กรรมมัน”

งานนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะสงสารเจ้าของฉายา “เบี้ยของโจ๊ก” ดีไหม เพราะในยามที่ “พี่โจ๊ก” เผชิญคดีความต่างๆ “น้องตั้ม” เปิดหน้าสู้เต็มที่ แต่ในยามที่ตนเองเดือดร้อนหนัก คำตอบที่ได้รับคือ “กรรมใครก็กรรมมัน” อันสะท้อนให้เห็นว่า ในขณะที่ “ทนายตั้ม” มองคนอื่นเป็นแค่ “เบี้ย” ตนเองก็เป็นแค่ “เบี้ยในกระดานของบิ๊กโจ๊ก” เช่นเดียวกัน

ดังนั้น จงอย่าแปลกใจว่า ทำไม “ทนายตั้ม” ถึงกับต้องโพสต์ระบายความในใจว่า “ใครใครก็ไม่รักผม ขนาดพัดลมยังส่ายหน้าเลย เฮ้อ…ชีวิต”

...และเมื่อประมวลเหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้คงไม่คำใดเหมาะสมเท่า “ทนายตั้มฝีแตก” อีกแล้ว..นะครับนะ

แต่ที่หนักไปกว่า “ฝีแตก” ก็คือนอกจากเส้นทางทำมาหากินจะต้องมีอันสะดุดแล้ว โอกาสที่จะถึงขั้นย้ายสถานที่พำนักจากเคหะสถานอันหรูหราก็จัดว่ามีเปอร์เซ็นต์สูงเลยทีเดียว


กำลังโหลดความคิดเห็น