xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ใต้เงาจีน ภาค 2 (12) อุบัติเหตุที่สิบสองปันนา (ต่อ)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล


หลังอาหารมื้อเย็นแล้ว ทาง ตม.สิบสองปันนาก็พาเราสี่คนไปพักที่โรงแรมของเมือง ตอนที่ไปถึงนั้นฟ้ามืดแล้ว ผมจึงมองไม่เห็นตัวโรงแรม แต่พอวันรุ่งขึ้นจึงพบว่า โรงแรมนี้สร้างคล้ายๆ กับรีสอร์ตที่เมืองไทย คือสร้างอาคารห้องพักแยกออกเป็นหลังๆ บนเนื้อที่นับสิบไร่ แต่ละหลังมีสองชั้นและมีนับสิบห้อง งานตกแต่งภายนอกและภายในมีการนำศิลปะของชาวไตสิบสองปันนามาแซมแทรกแต่พองาม ซึ่งรวมถึงต้นไม้ที่เลือกปลูกไม้เมืองร้อนเป็นส่วนใหญ่

วันรุ่งขึ้น หัวหน้า ตม.มารับพวกเราเพื่อไปเยี่ยมน้องจัง รถที่มารับเป็นรถยี่ห้อโฟล์กสวาเก้น รุ่นซาตาน่า จำนวนสองคัน โดยเราคนไทยสองคนนั่งหนึ่งคันกับหัวหน้า ตม. ส่วนคนจีนสองคนนั่งอีกคันหนึ่ง รถใช้เวลาไม่นานก็ถึงบ้านน้องจัง พอไปถึงและพบหน้ากันแล้วเราต่างก็ดีใจ คุณพ่อของน้องจังต้อนรับเราตามอัตภาพที่เห็นได้ถึงน้ำใจอันงดงาม

เราอยู่คุยกับน้องจังนานนับชั่วโมง จนแน่ใจว่า หลังกลับมาถึงบ้านแล้วน้องจังปรับตัวได้ค่อนข้างดี แต่ด้วยเหตุที่จบการศึกษาชั้นมัธยมฯ และพูดจีนกลางได้ น้องจึงได้งานทำที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่งในตัวเมือง ซึ่งก็คือผับบาร์ที่มีการร้องรำทำเพลงแบบบ้านเรา ดูไปแล้วน่าจะถูกใจน้องจังที่เป็นวัยรุ่นที่กำลังกินกำลังเที่ยว

ว่าแล้วน้องจังก็ถือโอกาสชวนพวกเราสี่คน (ไทยสองจีนสอง) ไปเที่ยวบาร์ของเธอในคืนวันนั้นด้วย เราคนไทยสองคนรีบตอบตกลง เพราะนี่คือโอกาสที่จะได้รู้สภาพสังคมจีนยุคปฏิรูปว่าตามตะวันตกไปถึงไหนกันแล้ว โดยเฉพาะสิบสองปันนาที่เป็นต่างจังหวัด ส่วนคนจีนสองคนได้ตอบปฏิเสธไป ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะทั้งสองคนเป็นข้าราชการจึงต้องวางตัวให้เหมาะสม

เราคุยกับน้องจังและครอบครัวจนถึงเวลาเที่ยงจึงไปทานมื้อเที่ยง อาหารโดยหลักแล้วมีผสมกันระหว่างอาหารจีนกับอาหารพื้นเมือง  แต่สิ่งที่ผมเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรกก็คือ การที่คนขับรถของ ตม.มานั่งทานด้วยกันกับผู้บังคับบัญชาของตนและพวกเรา 

พวกเราคนไทยไม่ติดใจอะไร แต่ผมซึ่งศึกษาเรื่องจีนรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง เพราะได้ยินเรื่องนี้มานานแล้ว แต่เพิ่งจะมาเห็นกับตาจริงๆ ก็คราวนี้เอง

ทำไมต้องตื่นเต้นด้วย? นี่ย่อมเป็นคำถามที่น่าสนใจสำหรับคนต่างชาติที่ไม่มีธรรมเนียมปฏิบัติแบบนี้

 เรื่องของเรื่องก็คือว่า ตั้งแต่ที่จีนเป็นคอมมิวนิสต์เมื่อ ค.ศ.1949 เป็นต้นมา การมุ่งสู่สังคมที่เสมอภาคเท่าเทียมถือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายพัฒนาประเทศ ดังนั้น หน่วยงานรัฐต่างๆ แม้จะมีสายบังคับบัญชาที่ชัดเจนตามลำดับชั้น แต่เวลาปฏิบัติต่อกันในยามที่ไม่เป็นทางการจะไม่มีการแบ่งชั้น การทานข้าวด้วยกันแบบนี้ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนความเสมอภาคดังกล่าว 

หลังมื้อเที่ยงผ่านไป คณะของเราจึงได้สนทนาแลกเปลี่ยนกับคณะผู้บริหารของ ตม.สิบสองปันนา เกี่ยวกับปัญหาการล่อลวงหญิงจีนที่เกิดขึ้น การสนทนามีหลายประเด็นด้วยกัน ถ้าเป็นรูปแบบการล่อลวงแล้ว ข้อมูลจะตรงกับที่เราฝ่ายไทยได้รับจากคำบอกเล่าของหญิงจีน

 แต่ถ้าเป็นสาเหตุของปัญหาแล้วฝ่ายจีนที่เมืองนี้จะสรุปว่า ส่วนหนึ่งเกิดจากการเปิดประเทศ อีกส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาความยากจน ในส่วนแรกนั้น ตม.ทางนี้บอกว่า หากไม่เปิดประเทศก็ไม่มีปัญหานี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าการเปิดประเทศไม่ดี จีนยังคงเห็นว่า การเปิดประเทศเป็นนโยบายที่มาถูกทางแล้ว ส่วนปัญหาความยากจนนั้นต้องค่อยๆ แก้กันไป พร้อมกับป้องกันมิให้ปัญหาการล่อลวงเกิดขึ้นได้อีก 

การสนทนายังลงไปในรายละเอียดอื่นๆ อีกประมาณหนึ่งจนถึงเย็นจึงก็เลิกรากันไป แล้วพวกเราก็พาไปทานมื้อเย็นแล้วกลับเข้าที่พัก พอตกกลางคืนเราคนไทยสองคนก็ไปที่ผับบาร์ที่น้องจังทำงานอยู่ตามที่นัดกันไว้ ภายในบาร์ดูคึกคักไปด้วยวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว พอคนคุมเพลงเปิดเพลงฮิต คนในบาร์ก็พากรี๊ดสนั่นแล้วเต้ารำกันอย่างสนุกสนาน

เราสองคนอยู่ที่บาร์แห่งนั้นนานนับชั่วโมงเหมือนกัน ทำให้ได้คุยกับน้องจังแบบยาวๆ และทำให้แน่ใจว่า น้องจังคงไม่มีปัญหาอะไรอีกแล้ว โดยเฉพาะทางด้านจิตใจ ซึ่งถึงตอนนั้นจิตใจที่เคยบอบช้ำของน้องจังก็กลายเป็นแผลเป็นที่คอยเตือนความทรงจำ ปัจจุบันต่างหากที่น้องจังจะต้องอยู่กับมันให้ได้

เราสองคนกลับมาถึงที่พักราวสี่ห้าทุ่ม พอวันรุ่งขึ้นก็ถึงกำหนดการที่จะไปเยือนหมู่บ้านชาวไตที่อยู่ห่างจากตัวเมืองไปราว 50 กิโลเมตร ตอนที่ไปเห็นก็ให้รู้สึกประทับใจ ด้วยสภาพบ้านเรือนคล้ายกับหมู่บ้านทางภาคเหนือของไทย เห็นแล้วก็นึกว่าอยู่เมืองไทย

อย่างไรก็ตาม หลังจากการเยือนหมู่บ้านชาวไตครั้งนั้นแล้ว ผมยังคงได้มาอีกหลายครั้ง มาแต่ละครั้งก็เห็นการเปลี่ยนแปลงไปครั้ง จึงคิดว่า เรื่องนี้ควรเล่าเป็นการต่างหาก จะได้เห็นภาพเชิงพัฒนาการไปด้วย

หลังจากใช้เวลาอยู่หมู่บ้านชาวไตได้ราวสองชั่วโมงแล้ว เราทั้งหมดก็ไปทานมื้อเที่ยง เสร็จแล้วก็เดินทางต่อ ถึงตรงนี้ผมก็จำไม่ได้แล้วว่าเราจะไปไหน ทั้งนี้เพราะเหตุที่ว่า  พอรถออกจากร้านอาหารไปได้ไม่นาน คนขับรถคันของเราคนไทยเกิดหลับในขึ้นมา 

ตอนนั้นเอง หัวหน้า ตม.ที่นั่งอยู่ด้านหน้ากับคนขับก็โวยขึ้นมา แต่สายไปเสียแล้ว เพราะรถของเราได้วิ่งโผเข้าหารถบรรทุกหัวโตๆ สีฟ้าที่วิ่งสวนมาแบบเต็มๆ จนเสียงดังโครมใหญ่ เราสองคนที่นั่งอยู่ด้านหลังถูกแรงชนจนหน้ากระแทกไปที่ด้านหลังเบาะที่อยู่ตรงหน้า

ปัญหาคือ เบาะด้านหน้าทั้งสองถูกปูด้วยแผ่นเบาะที่ร้อยด้วยลูกไม้กลมๆ ที่ว่ากันว่า เพื่อช่วยแก้อาการปวดเมื่อยให้คนขับและยังช่วยไม่ให้ง่วงอีกด้วย (ข้อหลังนี้พิสูจน์แล้วว่า ไม่จริง) แต่ในขณะนี้มันคือของแข็งที่ใบหน้าของเราสองคนกระแทกเข้าหามันอย่างจัง แรงกระชากและแรงกระแทกทำให้เราสองคนปวดคอและหัวอย่างแรง แรงขนาดที่ว่าคอแข็งจนหันหน้าไม่ได้ เพราะแค่ขยับก็ร้องโอยแล้ว

พอเราลงจากรถก็พบว่า ด้านหน้ารถของเราพังยับ ส่วนรถบรรทุกที่ใหญ่กว่าและสูงกว่าระคายเคืองเพียงเล็กน้อย ส่วนความผิดนั้นไม่ต้องพูดถึง ฝ่ายเราผิดเห็นๆ เพราะวิ่งข้ามช่องทางไปชนเขาเอง

 เราทั้งสี่คนถูกส่งไปยังโรงพยาบาลในตัวเมืองสิบสองปันนาอย่างเร่งด่วน และนั่นก็ทำให้ผมได้รู้ว่าโรงพยาบาลของจีนเป็นอย่างไร ถึงจะเป็นโรงพยาบาลต่างจังหวัดก็ตาม พอไปถึงภาพแรกที่เห็นช่างตรงกันข้ามกับโรงพยาบาลรัฐของไทย นั่นคือ คนไข้โหรงเหรงจนนับคนได้ ผิดกับโรงพยาบาลของไทยที่เต็มไปด้วยคนไข้คนป่วยนับสิบนับร้อย ซึ่งเห็นทีไรก็ให้รู้สึกหดหู่ทีนั้น 

เนื่องจากไม่ค่อยมีคนไข้ พวกเราสี่คนจึงได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที หัวหน้า ตม.ที่ดูหนักกว่าใครต้องนอนรักษาที่โรงพยาบาล ส่วนเราสองไทยรักษาโดยแผ่นเครื่องนวดไฟฟ้าตรงบริเวณไหล่และต้นคอที่แสนจะปวด ตอนที่กระแสไฟฟ้าวิ่งนวดเบาๆ นั้น ผมรู้สึกโล่งมากจนอยากจะให้นวดไปอีกนานๆ แต่ก็มิอาจทำได้ เพราะพยาบาลบอกว่า เครื่องที่ว่านี้มีเวลาจำกัดในการใช้ ใช้มากไปจะไม่ดี เพียงแต่ต้องใช้ทุกวันจนกว่าอาการจะดีขึ้น

ปัญหาคือ วันรุ่งขึ้นเราจะต้องเดินทางกลับคุนหมิงแล้ว การรักษาที่สิบสองปันนาจึงทำได้แค่ครั้งเดียว ซึ่งแทบจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย เราสองคนจึงได้แต่ยอมรับสภาพ

หลังอาหารเย็นวันนั้นไปแล้ว พวกเราสี่คนก็พากันไปเยี่ยมหัวหน้า ตม. โดยผมนั้นเดินคอเอียงแข็งๆ ขยับไม่ได้ด้วยความทรมาน ดูไปแล้วก็อดขำตัวเองไม่ได้ แต่พอเจอตัวหัวหน้า ตม. เราก็เข้าไปหาท่านพร้อมกับถามไถ่อาการ ข้างๆ ตัวท่านมีคนขับรถนั่งหน้าเศร้าด้วยความรู้สึกผิดจนน้ำตาซึม ขอโทษขอโพยหัวหน้าของตนแทบไม่ขาดปาก


กำลังโหลดความคิดเห็น