xs
xsm
sm
md
lg

สงครามกลางเมืองสหรัฐอเมริกา (3): ยุทธศาสตร์อนาคอนดา การผลาญกำลังเพื่อกำชัย และสงครามเบ็ดเสร็จ / Phichai Ratnatilaka Na Bhuket

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


แผนแอนาคอนดา ของพลเอก สก็อตต์  มีเป้าหมายในการทำให้สมาพันธรัฐอ่อนแอลงด้วยการปิดล้อมท่าเรือและยึดแม่น้ำมิสซิสซิปปี การตัดการค้าของฝ่ายใต้กับยุโรปและการแบ่งแยกสมาพันธรัฐออกเป็นสองส่วน
"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

ยุทธศาสตร์ทางทหารของสหภาพและสมาพันธรัฐในช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกานั้น ไม่เพียงแค่สะท้อนถึงทรัพยากรและปรัชญาที่แตกต่างกันเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับอนาคตของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

ฝ่ายสหภาพมีเป้าหมายที่จะปราบปรามการกบฏอย่างรวดเร็ว โดยอาศัยอำนาจด้านอุตสาหกรรมและจำนวนประชากรที่เหนือกว่า

 ยุทธศาสตร์หลักของฝ่ายสหภาพมีสามประการคือ แผนแอนาคอนดา (Anaconda Plan) การผลาญกำลังเพื่อกำชัย (Attrition) และสงครามเบ็ดเสร็จ (Total War)

 ในขณะที่สมาพันธรัฐเลือกใช้ยุทธศาสตร์การป้องกัน โดยหวังที่จะทำให้ฝ่ายเหนืออ่อนแอลงและบรรลุเอกราชผ่านการทำลายขวัญกำลังใจ และการโจมตีเชิงยุทธศาสตร์


ในช่วงเริ่มต้นของสงคราม นายพลวินฟิลด์ สก็อตต์ (Winfield Scott) จากฝ่ายสหภาพได้พัฒนายุทธศาสตร์ที่เรียกกันว่า  แผนแอนาคอนดา (Anaconda Plan) ขึ้นมา ยุทธศาสตร์นี้ตั้งชื่อตามการเคลื่อนไหวของงูแอนาคอนดา ซึ่งทำการบีบรัดเหยื่ออย่างช้า ๆ และต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายในการทำให้สมาพันธรัฐอ่อนแอลงด้วยการปิดล้อมท่าเรือและยึดแม่น้ำมิสซิสซิปปี การตัดการค้าของฝ่ายใต้กับยุโรปและการแบ่งแยกสมาพันธรัฐออกเป็นสองส่วน

ทางฝ่ายเหนือหวังว่าการทำเช่นนี้จะลดทรัพยากรของฝ่ายใต้และทำให้กำลังของฝ่ายสมาพันธรัฐถูกโดดเดี่ยว ในช่วงแรก แผนแอนาคอนดาถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นแผนที่ระมัดระวังเกินไปและใช้เวลานาน แต่เมื่อเวลาผ่านไป แผนนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าได้ผลในการทำให้เศรษฐกิจและความคล่องตัวของฝ่ายใต้ลดลง

 หัวใจของแผนนี้คือการทำสงครามโดยทางอ้อม (indirect warfare) ซึ่งใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบด้านกองทัพเรือและเศรษฐกิจของฝ่ายเหนือ เพื่อลดทรัพยากรของฝ่ายใต้และทำให้ฝ่ายใต้ถูกตัดขาดจากการสนับสนุนระหว่างประเทศ โดยไม่ต้องพึ่งพาการโจมตีโดยตรงที่อาจทำให้เกิดการสูญเสียอย่างมหาศาล เป็นยุทธศาสตร์ของการปิดล้อม (containment) ที่ทำให้ฝ่ายสมาพันธรัฐไม่สามารถอยู่รอดได้ในระยะยาว

แผนแอนาคอนดามีองค์ประกอบหลักสองประการ

 ประการแรกคือ การปิดล้อมท่าเรือของสมาพันธรัฐอย่างครอบคลุม ฝ่ายสหภาพใช้การปิดล้อมทางทะเลตามแนวชายฝั่งแอตแลนติกและอ่าวเม็กซิโกเพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายสมาพันธรัฐส่งออกฝ้ายซึ่งเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจและแหล่งรายได้หลักในการทำสงคราม ฝ้ายจากฝ่ายใต้ที่เคยมีการค้าขายกับประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศสต้องถูกจำกัดอย่างเด็ดขาด โดยการตัดเส้นทางการค้าเหล่านี้ ฝ่ายเหนือหวังว่าจะทำให้เศรษฐกิจของฝ่ายใต้อ่อนแอลง และลดความสามารถในการนำเข้าสินค้าจำเป็น เช่น อาวุธ กระสุน และเวชภัณฑ์

 ประการที่สอง การยึดครองแม่น้ำมิสซิสซิปปี ซึ่งจะทำให้สมาพันธรัฐถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ทำให้รัฐฝั่งตะวันตก เช่น อาร์คันซอ ลุยเซียนา และเท็กซัส ถูกแยกออกจากศูนย์กลางทางฝั่งตะวันออกของสมาพันธรัฐ แม่น้ำนี้เป็นเส้นทางสำคัญสำหรับการขนส่งกำลังพล เสบียง และข้อมูลข่าวสาร การยึดแม่น้ำนี้จะทำให้ฝ่ายสหภาพสามารถตัดการติดต่อและเส้นทางส่งกำลังบำรุงภายในสมาพันธรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ฝ่ายใต้ยากที่จะประสานยุทธศาสตร์ทางทหารหรือเสริมกำลังในพื้นที่ห่างไกล

 การยึดเมืองวิกส์เบิร์ก (Vicksburg) ในปี 1863 เป็นการเติมเต็มแผนส่วนนี้ของแผนแอนาคอนดา ทำให้แม่น้ำมิสซิสซิปปีกลายเป็นฐานที่มั่นของฝ่ายสหภาพ และทำให้การเชื่อมต่อของฝ่ายสมาพันธรัฐถูกตัดออกเป็นสองส่วน

นายพลวินฟิลด์ สก็อตต์ (Winfield Scott)

ชายสี่คนถือเหล็กงัดกำลังบิดรางตามคำสั่งของ “วิลเลียม เทคัมเซห์ เชอร์แมน (William Tecumseh Sherman) ถ่ายโดยGN Barnard
ในช่วงแรก ยุทธศาสตร์อนาคอนดาถูกมองด้วยความกังขาและเย้ยหยันจากฝ่ายเหนือด้วยกันเอง โดยนักวิจารณ์มองว่าเป็นแผนที่ระมัดระวังเกินไป ใช้เวลานานเกินไป และขาดการปฏิบัติการเชิงรุก ซึ่งหลายคนคิดว่าจำเป็นต่อการได้รับชัยชนะอย่างรวดเร็ว นักการเมืองและนายพลบางคนต้องการการต่อสู้ที่เฉียบขาดและเด็ดขาดทันทีเพื่อยุติการกบฏอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม  สมรภูมิแรกที่บูลรัน (First Battle of Bull Run) ได้แสดงให้ฝ่ายเหนือเห็นแล้วว่าการโจมตีทางทหารอย่างรวดเร็วนั้นไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้จริง และสงครามครั้งนี้น่าจะเป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ ในที่สุด แผนแอนาคอนดาก็ได้รับการยอมรับมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อแกนนำของฝ่ายสหภาพเริ่มเห็นถึงผลกระทบของการปิดล้อมที่มีต่อเศรษฐกิจของฝ่ายใต้

การปิดล้อมของสหภาพพิสูจน์แล้วว่าได้ผล กองทัพเรือของสหภาพทำงานอย่างหนักในการลาดตระเวนแนวชายฝั่งยาวกว่า 3,500 ไมล์ ป้องกันการแล่นเข้าหรือออกจากท่าเรือของฝ่ายใต้ ท่าเรือสมาพันธรัฐ เช่น ชาร์ลสตัน ซาวันนาห์ และนิวออร์ลีนส์ ไม่สามารถดำเนินการได้ สินค้าถูกกักกันและไม่สามารถส่งออกได้ ในขณะที่สงครามดำเนินไป เศรษฐกิจของฝ่ายใต้ก็ทรุดตัวลงอย่างต่อเนื่อง ราคาสินค้าจำเป็นพุ่งสูงขึ้น ภาวะเงินเฟ้อรุนแรงขึ้น และอุตสาหกรรมในฝ่ายใต้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของสงครามที่ยืดเยื้อได้หากปราศจากสินค้านำเข้าที่เคยพึ่งพาได้

แผนแอนาคอนดาไม่ได้เป็นเพียงแค่ยุทธศาสตร์ทางทหารเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความอดทนอย่างแน่วแน่ของฝ่ายสหภาพในการเอาชนะสงคราม ไม่ใช่เพียงแค่ด้วยกำลัง แต่ด้วยการคงอยู่และความอดทนเชิงยุทธศาสตร์ สะท้อนถึงความตั้งใจของฝ่ายเหนือในการใช้พลังทางทหารและเศรษฐกิจ และความสำเร็จของแผนนี้ได้วางรากฐานสำหรับแนวคิดสมัยใหม่ในการใช้สงครามเบ็ดเสร็จและการปิดล้อมทางเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือแห่งชัยชนะ แผนแอนาคอนดาอาจจะช้า แต่เช่นเดียวกับการบีบรัดของงูแอนาคอนดาที่แท้จริง เมื่อแผนนี้ได้เริ่มบีบ ฝ่ายสมาพันธรัฐก็ไม่สามารถหนีรอดได้

ในขณะที่สงครามกลางเมืองดำเนินไปและยุทธศาสตร์เริ่มพัฒนา ฝ่ายสหภาพจึงเริ่มใช้แนวทางที่รุนแรงและไม่ยอมอ่อนข้อมากยิ่งขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการนำของ  นายพลยูลิสซิส เอส. แกรนท์ (Ulysses S. Grant) และนายพลวิลเลียม เทคัมเซห์ เชอร์แมน (William Tecumseh Sherman)

ทั้งสองนายพลเข้าใจว่าหากต้องการชัยชนะที่เด็ดขาด ฝ่ายสหภาพจำเป็นต้องใช้ข้อได้เปรียบทางจำนวนประชากรและอุตสาหกรรมของตนให้เต็มที่ ยุทธศาสตร์ของพวกเขาสะท้อนถึงความพร้อมที่จะเผชิญกับการสูญเสียที่ร้ายแรง หากนั่นหมายถึงการลดทอนความสามารถของฝ่ายสมาพันธรัฐในการต่อสู้ ยุทธศาสตร์นี้แสดงถึงการเปลี่ยนจากการยึดครองดินแดนไปสู่การมุ่งโจมตีกองทัพของฝ่ายใต้โดยตรง โดยมีเป้าหมายที่จะทำลายทรัพยากรและขวัญกำลังใจของฝ่ายสมาพันธรัฐ

นายพลแกรนท์จึงตัดสินใจใช้  ยุทธศาสตร์ผลาญกำลังเพื่อกำชัย (strategy of attrition) อย่างเต็มที่ในปี 1864 ยุทธศาสตร์นี้แตกต่างจากนายพลสหภาพคนก่อน ๆ ที่พยายามทำสงครามอย่างรวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสีย กลยุทธ์นี้จะม่งเน้นการสู้รบอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดยั้งจนกว่าฝ่ายตรงข้ามจะไม่สามารถสู้รบได้อีกต่อไป และไม่ได้เน้นการเข้ายึดพื้นที่หรือชนะด้วยการใช้ยุทธวิธีที่ซับซ้อน แต่เน้นการสร้างความสูญเสียให้ฝ่ายตรงข้ามจนหมดพลังในการทำสงคราม

เหตุที่แกรนท์ใช้กลยุทธ์นี้เพราะเขาประเมินว่าฝ่ายเหนือสามารถรับมือกับการสูญเสียจำนวนมากได้ดีกว่าฝ่ายใต้เนื่องจากมีประชากรและทรัพยากรที่มากกว่า ยุทธศาสตร์นี้อาจดูโหดร้าย แต่มีประสิทธิภาพ เพราะเน้นที่การทำลายขวัญและลดกำลังของฝ่ายสมาพันธรัฐมากกว่าการยึดครองดินแดนเพียงอย่างเดียว

นายพลแกรนท์ต่อสู้กับกองทัพของ นายพลโรเบิร์ต อี. ลี (Robert E. Lee) ของฝ่ายสมาพันธรัฐในสมรภูมิที่รุนแรงหลายแห่ง เช่น ที่วิลเดอร์เนส (Wilderness) สปอตซิลเวเนีย (Spotsylvania) และโคลด์ฮาร์เบอร์ (Cold Harbor) การโจมตีอย่างไม่ลดละของแกรนท์ทำให้นายพลลีต้องสูญเสียกำลังพลอย่างอย่างต่อเนื่อง แต่ละสมรภูมิทำให้ฝ่ายใต้สูญเสียกำลังพลอย่างหนัก ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝ่ายสมาพันธรัฐไม่สามารถหาคนมาทดแทนได้ การต่อสู้อย่างไม่หยุดหย่อนของนายพลแกรนท์ทำให้กองทัพของนายพลลีอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าฝ่ายสหภาพจะต้องเผชิญกับการสูญเสียอย่างรุนแรง แต่แกรนท์สามารถใช้ข้อได้เปรียบในด้านจำนวนประชากรได้ ในขณะที่ฝ่ายใต้ไม่มีทรัพยากรและกำลังพลมาทดแทนได้อีก

ในขณะเดียวกัน  วิลเลียม เทคัมเซห์ เชอร์แมน (William Tecumseh Sherman) ได้สร้างแนวทางใหม่ที่เข้มข้นและหนักหน่วงกว่าให้กับฝ่ายสหภาพด้วยยุทธศาสตร์ “การเดินทัพสู่ทะเล” (March to the Sea) ซึ่งเป็นการทำสงครามแบบ “สงครามเบ็ดเสร็จ” (Total war) นายพลเชอร์แมนเชื่อว่าหากต้องการทำให้ฝ่ายสมาพันธรัฐอ่อนแอลง ฝ่ายสหภาพจำเป็นต้องโจมตีทั้งกองทัพของสมาพันธรัฐ โครงสร้างพื้นฐาน และขวัญกำลังใจของประชาชนที่คอยสนับสนุนพวกเขา โดยการโจมตีอุตสาหกรรม การคมนาคม และทรัพยากรอาหารของฝ่ายใต้ เชอร์แมนตั้งใจจะทำลายความสามารถและเจตนารมณ์ในการสู้รบของฝ่ายใต้ ทำให้ชาวบ้านที่เคยไม่ได้รับผลกระทบจากความโหดร้ายของสงครามต้องพบกับการทำลายล้างโดยตรง

เริ่มต้นจากแอตแลนตา กองทัพของเชอร์แมนเคลื่อนผ่านจอร์เจียและเข้าสู่แคโรไลนา ทิ้งร่องรอยแห่งการทำลายล้างไว้เบื้องหลัง ยุทธวิธีของเชอร์แมนรวมถึงการรื้อถอนทางรถไฟอย่างถาวรที่เรียกว่า  “เนกไทของเชอร์แมน” (Sherman’s neckties) ซึ่งเป็นการเผาและทำลายรางรถไฟให้ใช้งานไม่ได้อีก กองทัพของเขาเผาทำลายพืชผล ยึดปศุสัตว์ และปล้นสะดมเมืองต่าง ๆ ทำให้ทรัพยากรทางเศรษฐกิจของฝ่ายใต้เสียหายอย่างหนัก

การทำลายล้างพื้นที่การเกษตรและโรงงานต่าง ๆ ไม่เพียงแต่ทำให้อุตสาหกรรมในฝ่ายใต้ล่มสลาย แต่ยังทำให้ประชาชนฝ่ายใต้ได้สัมผัสกับความทุกข์ทรมานจากสงครามโดยตรงอีกด้วย เป้าหมายของเชอร์แมนคือการแสดงให้ฝ่ายใต้เห็นว่าการต่อต้านไม่มีทางสำเร็จ เพื่อทำลายขวัญและกำลังใจของพวกเขา

การเดินทัพของเชอร์แมนทำให้เมืองอย่างแอตแลนตาถูกทำลายล้างอย่างย่อยยับ และสร้างความหวาดกลัวและขวัญเสียในหมู่ชาวใต้ทั่วประเทศ ด้วยการทำให้พลเรือนฝ่ายใต้ประสบกับความทุกข์ทรมาน เชอร์แมนมุ่งหวังจะทำลายความตั้งใจในการต่อต้านและเร่งให้สงครามสิ้นสุดลง แม้ว่าวิธีการจะดูโหดร้ายก็ตาม แต่ก็ได้ผลในการทำให้เศรษฐกิจและสังคมของฝ่ายใต้ไร้เสถียรภาพ ชาวใต้เริ่มขาดความเชื่อมั่นในความสามารถของรัฐบาลสมาพันธรัฐในการปกป้องพวกเขา

การใช้ยุทธศาสตร์การผลาญกำลังเพื่อกำชัยของแกรนท์และสงครามเบ็ดเสร็จของเชอร์แมนร่วมกัน ทำให้ฝ่ายสมาพันธรัฐอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถต้านทานได้ การโจมตีอย่างต่อเนื่องของแกรนท์ทำให้กองทัพของลีไม่สามารถรวมกำลังหรือฟื้นตัวได้ ทำให้กองทัพลีต้องถอยเข้าสู่ตำแหน่งป้องกันและถูกล้อมที่ปีเตอร์สเบิร์ก (Petersburg) และริชมอนด์ (Richmond) ขณะเดียวกัน การทำลายล้างของเชอร์แมนต่อโครงสร้างพื้นฐานของฝ่ายใต้ทำให้เส้นทางการส่งเสบียงถูกตัดขาด การสื่อสารถูกขัดขวาง และขวัญกำลังใจของฝ่ายใต้ตกต่ำถึงขีดสุด

 แผนแอนาคอนดาของฝ่ายสหภาพ เมื่อรวมกับกลยุทธ์ผลาญกำลังเพื่อกำชัยของแกรนท์ และกลยุทธ์สงครามเบ็ดเสร็จ (total war) ของเชอร์แมน ได้ค่อย ๆ ทำลายศักยภาพในการต่อต้านของฝ่ายสมาพันธรัฐลง แรงกดดันที่ไม่หยุดยั้งของฝ่ายสหภาพในหลายแนวรบเปิดเผยให้เห็นถึงความขาดแคลนทรัพยากรของสมาพันธรัฐและความไม่สามารถในการทดแทนกำลังพลและเสบียงในสมรภูมิ ซึ่งนำไปสู่การยอมจำนนของนายพลลีที่แอพโพแมตท็อกซ์ (Appomattox) ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1865

ชัยชนะของฝ่ายสหภาพในสงครามกลางเมืองสหรัฐไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของทรัพยากรที่เหนือกว่าเท่านั้น หากแต่เป็นผลจากวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ที่ตระหนักถึงความสำคัญของการทุ่มเทอย่างเต็มที่ และความจำเป็นในการทำลายไม่เพียงแต่กองทัพสมาพันธรัฐเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสามารถของฝ่ายใต้ในการสู้รบต่อไป

ด้านฝ่ายสมาพันธรัฐที่แม้จะมีความกล้าหาญและทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการรบ แต่ท้ายที่สุดแล้วต้องพ่ายแพ้ให้กับความเป็นจริงอันโหดร้ายของความเหนือกว่าทางด้านอุตสาหกรรมและการมุ่งมั่นสู่ชัยชนะอย่างไม่ลดละของฝ่ายเหนือ

การสิ้นสุดของสงครามกลางเมืองนับเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ครั้งถัดไป นั่นคือการฟื้นฟูประเทศ (Reconstruction) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประเทศต้องเผชิญกับความท้าทายอันซับซ้อน ในการฟื้นฟูไม่เพียงแค่ฝ่ายใต้ที่ถูกทำลาย แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายของการผนวกรวมรัฐต่าง ๆ ของสมาพันธรัฐเข้าสู่สหภาพ ซึ่งต้องอาศัยความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์อีกแบบหนึ่ง ที่เน้นการเยียวยาและการนิยามตัวตนของประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว การต่อสู้นี้นับเป็นภารกิจที่ยากยิ่งพอ ๆ กับสงคราม


กำลังโหลดความคิดเห็น