xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“โจ๊ก” คดีเมียฉกทอง++ “ตั้ม” คดีอมเงินลูกความ++ ความจริงวันนี้ของ “ชาวหวานเจี๊ยบ”!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เป็นที่รับทราบกันดีว่า “บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กับ “ทนายตั้ม-ษิทรา เบี้ยบังเกิด” นั้น มีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งในฐานะ “นายกับลูกน้อง”

ในยามที่ “ลูกพี่โจ๊ก” ต้องคดีพัวพันกับเว็บพนันออนไลน์ “น้องตั้ม” ก็ตาดหน้าออกมาต่อสู้ให้อย่างยิบตา ขณะที่ “น้องตั้ม” เอง ก็ได้รับข้อมูลอินไซด์จาก “พี่โจ๊ก” จนสามารถใช้ชีวิตแบบหรูหราจนได้ฉายา “ทนายแบรนด์เนม” กันเลยทีเดียว

ทว่า ณ เวลานี้ ทั้งสองคนคงต้องช่วยตัวเองกันแล้ว เพราะมีคดีความใหญ่ที่ต้องเผชิญในห้วงระยะเวลาไล่เรี่ยกัน

สำหรับ “พี่โจ๊ก” หลังข่าวคราวเงียบหายไประยะหนึ่งก็กลับมาเป็นที่สนใจของสังคมอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นเรื่องของ “มาดามกุ๊บกิ๊บ” ดร.ศิรินัดดา หักพาล ภรรยาสุดที่รัก ที่ผู้เสียหายคือ “น.ส.ธนัฏฐา ยอดเยี่ยม” อายุ 50 ปี อาจารย์พิเศษ โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน ไปแจ้งความดำเนินคดีข้อหา “ลักทรัพย์”

“น.ส.ธนัฏฐา” ได้เข้าแจ้งความ ที่สน.พระโขนง เมื่อวันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา กล่าวหา “มาดามกุ๊บกิ๊บ” ลักทรัพย์ เป็นทองคำรูปพรรณ หนัก 120 บาท มูลค่าประมาณ 5 ล้านบาท ไปจากห้องพักเลขที่ 8/125 ชั้น 7 กรีนคอนโดฯ ในซอยสุขุมวิท 101 เหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา แต่ปรากฎว่า ได้ลืมกระเป๋าถือสีดำ เป็นนาฬิกาหรู 2 เรือน แล้วมีเอกสารสำคัญ เช่นใบขายทอง การซื้อขายฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ

ก่อนแจ้งความ “น.ส.ธนัฏฐา” พยายามทวงถามเพื่อขอคืนทรัพย์สิน จะได้เลิกแล้วกันไป แต่คู่กรณีไม่ยอมพูดคุย แถมตัดการติดต่อทุกช่องทาง แถมเมื่อมีการสอบถามไปทาง “บิ๊กโจ๊ก” หวังว่าจะให้ช่วยเคลียร์ให้ แต่ก็ถูกบอกปัดว่าเป็นเรื่องของเมีย ตัวเองไม่รับรู้ด้วย

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ.ตร. พร้อมเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน เข้าพบ พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ ประดับไทย ผกก.สน.พระขโนง และได้เชิญตัวน.ส.ธณัฏฐา ผู้เสียหายเข้ามาสอบปากคำเพิ่มเติม

พร้อมทั้งมีรายงานข่าวว่า พบข้อมูลและหลักฐานสำคัญอันสามารถโยงใยเกี่ยวกับคดีอื่นๆ ปรากฏอยู่ภายในห้องดังกล่าวอีกด้วย โดยเฉพาะ “ถุงสีรุ้ง” จำนวน 5 ถุง ที่ น.ส.ธนัฏฐาให้การเอาไว้ก่อนหน้านี้จากการสอบถามสามีว่า มีคนเอามาฝากไว้ และอย่าไปยุ่ง แต่ได้แอบเปิดดูเห็นเป็นธนบัตรอยู่ด้านใน

แน่นอน ไม่เป็นที่แน่ชัดว่ามีจำนวนกี่มากน้อย หากแต่มีการคะเนกันว่า มีน้ำหนักร่วม 1,000 กิโลกรัมเลยทีเดียว

 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล

 ดร.ศิรินัดดา หักพาล เข้ามอบตัวหลังถูกออกหมายจับ

น.ส.ธนัฏฐา ยอดเยี่ยม กับบันทึกแจ้งความ
ขณะที่ พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวว่า ทางพนักงานสอบสวน สน.พระโขนง ประสานมาให้ร่วมตรวจสอบเหตุลักทรัพย์ โดยผู้ถูกกล่าวหาได้ทิ้งหลักฐานไว้ในห้องที่เกิดเหตุหลายรายการ ซึ่งได้ตรวจลายนิ้วมือแฝงไว้หมดแล้ว

ส่วนบทสรุปของคดีจะเป็นอย่างไร คงต้องติดตามกันแบบยาวๆ แต่ที่แน่ๆ คือเมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา ศาลได้อนุมัติหมายจับ “นางศิรินัดดา” ในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถานและร่วมกันบุกรุกในเคหสถาน โดยวันเดียวกัน นางศิรินัดดาได้เดินทางพร้อมทนายความ เข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายจับ พร้อมปฏิเสธที่จะตอบคำถาม และกล่าวเพียงว่า “เรื่องอะไรที่เสียหายจะมอบหมายให้กับทนายเป็นคนจัดการ”

อย่างไรก็ดี เรื่องราวมีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนกว่านั้นตรงที่ “น.ส.ธนัฏฐา” ยังไปออกรายการทีวี รายการหนึ่ง เล่าเรื่องคับแค้นใจ ว่ามี “เมียบิ๊กตำรวจ” คนหนึ่ง ใช้คอนโดมิเนียมห้องดังกล่าวปฏิบัติการฉกสามีของเธอ โดยมีคลิปจากกล้องวงจรปิดเป็นหลักฐาน

การพัวพันฉันชู้สาวของทั้งคู่ มาจากการที่สามีของเธอกับภรรยาบิ๊กตำรวจ เคยเป็นแฟนเก่ากันมาก่อน พบรักกันตอนที่ทั้งสองไปเรียนทำปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยนอร์ทเทิร์น ย่านรังสิต

คบกันมานานจนเกือบจะได้แต่งงานกันอยู่แล้ว แต่ก็มี “บิ๊กตำรวจ” เป็นมือที่สาม เข้ามาแทรก แล้วฝ่ายหญิงก็เลือกที่จะร่วมหอลงโรงกับบิ๊กตำรวจ ทำให้สามีของเธอถูกลดสถานะเป็นแค่เพื่อน แต่ยังติดต่อพูดคุยกันได้

ต่อนายตำรวจคนดังกล่าวได้คบหาและอยู่กินฉันสามีภรรยากับเธอ แต่สุดท้ายถ่านไฟเก่าก็คุขึ้นมา โดยสถานที่นัดพบ และถูกใช้เป็นรังรักชั่วคราว คือที่คอนโดฯ แห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท แถมยังฉกคีย์การ์ดไป ทำให้เข้าออกได้ตลอดเวลา

เมื่อ “น.ส.ธนัฏฐา” ระแคะระคาย ถึงความสัมพันธ์อันไม่ปกติ จึงซุกกล้องไว้ในห้องพัก เพื่อหาหลักฐานยืนยัน แล้วสิ่งที่คิดไว้ก็ได้เจอจริงๆ

ทว่า “เมียบิ๊กตำรวจคนดัง” ตอบปฏิเสธว่า “ไม่ได้เป็นนะคะ” ซึ่งก็คงต้องติดตามกันข้อเท็จจริงกันต่อไป

ขณะที่ “น้องตั้ม” เจ้าของสมญา “ทนายแบรนด์เนม” ตกเป็นข่าวฉาวอีกครั้งเมื่ออยู่ๆ ทนายคนดังได้มาออก “รายการโหนกระแส” เมื่อวันที่ 23 ตุลาคมแบบที่สังคมงงไปตามๆ กัน เพราะไม่มีที่มาที่ไปว่า ทำไมถึงต้องเป็นนายษิทรา

 ทนายตั้ม-ษิทรา เบี้ยบังเกิด กับพี่อ้อย-จตุพร อุบลเลิศ

 เช็กโอนเงินจำนวน 70 ล้านบาทเศษๆ ให้กับทนายตั้ม

 บันทึกแจ้งความดำเนินคดี
โดยช่วงหนึ่ง นายกรรชัย กำเนิดพลอย พิธีกรได้ถามนายษิทราถึงที่มาของความร่ำรวยที่หลายคนสงสัย ทั้งๆ ที่รายได้จากค่าทนายไม่ได้มาก พร้อมยิงคำถามแรงๆ ว่า เป็นทนายสายโจร หรือทนายสีเทาหรือไม่?!

นายษิทราแจกแจงว่า แต่ละปีบริษัทของตัวเองมีรายได้ประมาณ 20 ล้านบาท แต่ก็มีรายได้ที่ได้มาโดยเสน่หาจากลูกความที่เป็นมหาเศรษฐีซึ่งอยู่ต่างประเทศว่าจ้างเป็นที่ปรึกษา จากเดือนละ 300,000บาท ต่อมาภายหลังเปลี่ยนเป็นให้ทุน 2 ล้านยูโร หรือประมาณ 70 ล้านบาท

คำตอบดังกล่าวถึงกลับทำให้ “หนุ่ม-กรรชัย” แสดงท่าทางตกใจและถามย้ำว่า เป็นไปได้หรือจะมีคนให้เงินทนายตั้มจำนวนมากเช่นนั้นซึ่งทนายคนดังยืนยันว่าได้เงินมาจริง

คำถามก็คือ ทำไมอยู่ๆ ทนายตั้มถึงต้องพูดเรื่องรายได้ที่มาจากลูกความซึ่งเป็นมหาเศรษฐี ประหนึ่งว่า กำลังจะเผชิญหน้ากับความฉาวโฉ่ครั้งสำคัญในชีวิต

และเรื่องก็ถูกเฉลยออกมาเมื่อมีการเปิดเผยว่า เหตุที่ต้องชิงแก้ตัวก่อนก็เพราะเมื่อเร็วๆ นี้ “นางสาวจตุพร อุบลเลิศ” นักธุรกิจสาวที่มีกิจการในต่างประเทศและไทย ในฐานะผู้เสียหายได้มอบอำนาจให้ทนายความเข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจภูธรปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ต่อนายษิทราในข้อหาฉ้อโกงเงินจำนวน 70 ล้านบาท

ทั้งนี้ ทนายความผู้เสียหายได้ให้ปากคำถึงพฤติการณ์ของทนายตั้ม โดยเริ่มจากผู้เสียหายได้ว่าจ้าง “บริษัทษิทรา ลอว์เฟิร์ม จำกัด” ของทนายตั้มเป็นที่ปรึกษากฎหมาย ดูแลผลประโยชน์ทางธุรกิจโดยทำสัญญาตกลงว่าจ้างกันเดือนละ 300,000 บาท

หลังจากที่ว่าจ้างกันแล้วก็ไปมาหาสู่ดูแลกันฉันมิตรจนเกิดความไว้วางใจและเชื่อใจต่อตัวทนายตั้มและภรรยา ผู้เสียหายได้ดูแลการเดินทางไปต่างประเทศพร้อมกับท่องเที่ยวของทนายตั้มและครอบครัวหลายต่อหลายครั้ง

นอกจากนั้น นายษิทรายังเคยพาผู้เสียหายไปเจอกับนักการเมืองระดับประเทศที่ฮ่องกง แล เคยบอกว่า สามารถเอาโควต้าสลากกินแบ่งรัฐบาลมาลงทุนเพื่อแสวงหากำไรได้รวมถึงสัมปทานกับหน่วยงานราชการอื่นๆ โดยนายษิทรากล่าวอ้างว่ารู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่หรือนักการเมืองหลายคน

ต่อมาเมื่อปลายปี 2565 ต่อเนื่องต้นปี 2566 นายษิทรามาบอกกับผู้เสียหายว่าได้รับโควตาสลากกินแบ่งมาจากผู้ใหญ่ที่นับถือให้มาจำหน่ายทางออนไลน์ ซึ่งทนายตั้มอ้างว่า รับปากกับผู้ใหญ่ไว้แล้วสามารถทำได้แต่ยังไม่มีเงินลงทุนจึงมาปรึกษาผู้เสียหายว่า หากได้ทำธุรกิจนี้จะทำให้สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้

นักธุรกิจสาว เห็นว่า การขายสลากออนไลน์เป็นโอกาสจึงซักถามถึงวิธีการและขอทราบรายละเอียดอื่นๆ

นายษิทราได้อธิบายว่า หากจะทำจะต้องมี แอปพลิเคชั่น และ รายละเอียดอื่นๆ เช่น โปรแกรม และระบบ โดยตัวเองรู้จักผู้เชี่ยวชาญที่พัฒนาเว็บไซต์และระบบโปรแกรม

ผู้เสียหายหลังจากได้ปรึกษาครอบครัวเห็นว่าโครงการดังกล่าวน่าจะเป็นไปได้ ขณะเดียวกันก็ตรงกับความตั้งใจของผู้เสียหายที่จะลงทุนอะไรสักอย่างไว้เอาไว้ให้บุตรชายจึงตอบตกลงจะทำหวยออนไลน์และให้ทนายตั้มไปติดต่อว่าจ้างโปรแกรมเมอร์และให้ทำรายละเอียดเป็นลายลักษณ์อักษรมา

จากนั้นทนายตั้มก็รับไปดำเนินการพร้อมกับนำสัญญาใบเสนอราคามาให้ผู้เสียหายดู และผู้เสียหายได้ลงนามในสัญญาเรียบร้อย ทนายตั้มก็รับปากว่าจะดำเนินการตามสัญญา

ต่อมาวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ผู้เสียหายโอนเงินชำระค่าจ้างเขียนแบบโปรแกรมให้กับคู่สัญญาแต่ในวันดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการโอนเงินได้เนื่องจากเป็นเวลาที่ธนาคารปิดทำการแล้วจึงนัดทนายตั้มให้มาดูแลจัดการโอนชำระเงิน แต่นายษิทราก็ไม่ได้บอกกล่าวรายละเอียดกับผู้เสียหายว่าต้องโอนชำระให้คู่สัญญาภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ จึงนัดมาดำเนินการโอนเงินในวันรุ่งขึ้นคือ 16 กุมภาพันธ์ 2566

ในวันดังกล่าวเมื่อทนายตั้มเดินทางมาถึงธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาโลตัส ปากช่อง ได้บอกกับผู้เสียหายให้โอนเงินมาที่ตัวเองก่อนเขาจะนำเงินไปชำระให้คู่สัญญาด้วยตัวเอง พร้อมกับเจรจาตกลงกับคู่สัญญาถึงปัญหาดังกล่าวเอง

โดยทนายตั้มได้เปิดบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาโลตัสปากช่อง ในชื่อนายษิทา เบี้ยบังเกิด ขึ้นมาเพื่อโอนเงินจากบัญชีของผู้เสียหายไปยังบัญชีของทนายตั้ม เป็นจำนวน 71 ล้านบาทเศษ

หลังจากที่จ่ายเงินค่าจ้างเขียนโปรแกรมไปแล้วผู้เสียหายก็ได้ติดตามความคืบหน้าการซื้อระบบโปรแกรมสลากออนไลน์จากทนายตั้มเรื่อยมา แต่ได้รับคำตอบว่ายังทำไม่แล้วเสร็จ จึงเป็นสาเหตุประการหนึ่งที่ทำให้ในเวลาต่อมาผู้เสียหายได้ยกเลิกสัญญาจ้างบริษัท ษิทรา ลอว์เฟิร์ม เป็นที่ปรึกษา โดยมีหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างที่ปรึกษา ลงวันที่ 25 มกราคม 2567

...ฉ้อโกงหรือไม่ฉ้อโกงไม่ทราบได้ เพราะต้องผ่านกระบวนการยุติธรรมให้สิ้นกระแสความเสียก่อน และตอนนี้ยังคือว่า “ทนายตั้ม” เป็น “ผู้บริสุทธิ์”

แต่ที่น่าสนใจคือเรื่อง “รายได้” ของ “ทนายตั้ม” ที่ดูเหมือนมีจุดให้ต้องตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีก โดยเฉพาะหลังจาก เพจ “CSI LA“ ได้โพสต์เปิดงบบริษัทของ “ทนายตั้ม” ตั้งแต่ปี 2565-2566 โดยระบุข้อความว่า “#ทนายแบร์ดเนม อ้างว่าบริษัทมีรายได้ 20 กว่าล้าน แจ้งกำไรแค่ 3.4 ล้านในปี 65 รายได้ปี 66 ขาดทุน 6 ล้าน” พร้อมรายละเอียด ดังนี้

ปี พ.ศ.2565 รายได้ 21.9 ล้านบาท รายจ่าย 17.8 ล้านบาท กำไร 3.4 ล้านบาท

ปี พ.ศ.2566 รายได้ 8 ล้านบาท รายจ่าย 15.2 ล้านบาท ขาดทุน 5.9 ล้านบาท

ดังนั้น ข้ออ้างและงบที่ปรากฏจึงไม่สอดคล้องกับสถานะความเป็น “ทนายแบรนด์เนม” ได้

คำถามถัดมามีอยู่ว่า “จตุพร อุบลเลิศ” คือใคร

หากยังจำกันได้ “จตุพร อุบลเลิศ” หรือที่ “ทนายตั้ม” เรียกว่า “พี่อ้อย” เคยปรากฎตัวต่อหน้าสื่อมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อต้นปี 2566 โดย “นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์” ตั้งคำถามถึง “ทนายตั้ม” ว่า ไลฟ์สไตล์ วิถีชีวิต เสื้อผ้า บ้านพักอาศัย อันหรูหราของ “ทนายตั้ม” นั้นได้แต่ใดมา?

“ทนายตั้ม” จึงไปอ้อนวอน “พี่อ้อย จตุพร” ให้ออกมาแถลงข่าวเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2566 พร้อมกันเพื่อตอบคำถามถึงความอู้ฟู่ของทนายตั้ม ก่อนที่ในเวลาต่อมา “นางสาวจตุพร” จะตัดสินใจแจ้งความดำเนินคดีกับ “ทนายตั้ม” อย่างที่ปรากฏ

...งานนี้ ทั้ง “พี่โจ๊ก” และ “น้องตั้ม” คงต้องต่อสู้คดีกันแบบยาวๆ เพราะเห็นได้ชัดว่า คู่ความของทั้ง 2 คน “เอาจริง” และ “ไม่มีประนีประนอมยอมความ” อย่างแน่นอน.


กำลังโหลดความคิดเห็น