xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

คลี่ปมฉาว “เจ๊พัช-ท่าน ส.-เอกสายไหม” 3 คนดังแห่ง “ขุมทรัพย์ดิไอคอน”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - คดีบอสพอลและบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป ถือเป็นอีกหนึ่งคดีความที่มี “นักร้องและทนาย” แห่แหนกันเข้ามาผสมโรงเป็นจำนวนมาก จนถึงขั้นอาจใช้คำว่า “มหกรรม” เลยก็ว่าได้

และเชื่อเหลือเกินว่า สังคมคงตั้งข้อสังเกตและข้อสงสัยอยู่ไม่น้อยก็คือ งานนี้สัดส่วนระหว่าง “ตัวจริง” กับ “ตัวปลอม” อันไหนมากกว่ากัน ที่สำคัญคือ “ยากที่จะแยกแยะ” ออกมาอีกต่างหาก

แต่ที่แน่ๆ คือมี “3 คน” ที่น่าสนใจ

รายแรกที่โด่งดังและเป็นที่จับตามากที่สุดคือ “ท่าน ส.” นักการเมืองที่มีเส้นทางชีวิตที่พัวพันกับ “ธุรกิจแชร์ลูกโซ่” มาตั้งแต่เริ่มแรก จนได้ดิบได้ดีในทางการเมือง

รวมทั้งมีความเป็นไปได้สูงที่จะส่งต่อ “ทรัพย์อันได้มาโดยมิชอบ” ให้กับ “นายที่อยู่เหนือขึ้นไป” เสียด้วยซ้ำไป ไม่เช่นนั้นจะปล่อยให้ทำมาหากินอยู่ได้อย่างไร เพราะถ้าหากสืบประวัติกันอย่างจริงๆ จังๆ น่าจะรู้ตื้นลึกหนาบางได้ไม่ยาก
กรณี “คลิปลับ” อันเป็นบทสนทนาระหว่าง “บอสพอล” กับ “ท่าน ส.” เพื่อรีดทรัพย์แลกกับการคุ้มครอง โดยมีตัวเลขเม็ดเงินระบุออกมาชัดเจนคือบทพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี

และแน่นอนว่า “บอสพอล” คงไม่ใช่รายแรกและรายเดียวสำหรับ “ท่าน ส.” กับพฤติกรรมเยี่ยงนี้

รายถัดมาคือ “นักร้องเรียนหญิง ก.” ที่ “บอสพอล” ไปแฉให้ตำรวจฟังว่า ตัวเองถูกตบทรัพย์ 10 ล้านบาท

สปอร์ตไลท์ฉายไปที่ “เจ๊พัช” กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ หัวหน้าพรรคสุวรรณภูมิ ทันที ด้วยเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่า เธอคือหนึ่งในนักเคลื่อนไหวต่อต้านธุรกิจแชร์ลูกโซ่ และเป็นนักร้องที่ปรากฏกายให้เห็นในหลากหลายคดีความ

เท็จจริงเป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์กันไปตามกระบวนการยุติธรรม เพราะแม้ “นายวิฑูรย์ เก่งงาน” ทนายความของนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล จะไม่ได้พูดออกมาจากปากคือ “นักร้องเรียนหญิง ก” มีชื่อเสียงเรียงนามจริงๆ ว่าอะไร แต่ก็ได้ยื่นคลิปเสียงหลักฐานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นที่เรียบร้อย

 “เสี่ยจ๊อบ” สามารถ เจนชัยจิตรวนิช
ทั้งนี้ นายวิฑูรย์ให้สัมภาษณ์เอาไว้ด้วยว่า บอสพอลยืนยันจะเอาผิดบุคคลดังกล่าวโดยจำนวนเงินที่บอสพอสถูกรีดไถไปนั้นนักร้องหญิงคนนี้ได้มีการแบ่งให้ผู้เสียหายบางส่วน จำนวน 100,000 ถึง 200,000 บาทและส่วนที่เหลือนำเข้ากระเป๋าตัวเอง

“หลังจากนี้ผมอาจจะทำคลิปหลุด โดยเป็นคลิปเสียงบุคคลหนึ่งเรียกเงิน 20 ล้านบาทแลกกับการไม่ไปออกรายการดังในช่วงไม่นานมานี้อีกด้วย เหตุที่ผมต้องออกมาเปิดเผยหลักฐาน เป็นเพราะมีการโจมตีผมและลูกความ รวมทั้งข่มขู่ผมให้ระวังตัวไว้ เพื่อให้ผมเงียบไป ซึ่งยืนยันว่าจะไม่ส่งผลต่อรูปคดี เพราะมันเป็นคนละเรื่องกัน” นายวิฑูรย์ กล่าว

ขณะที่ “เจ๊พัช” ซึ่งนอกจากจะปฏิเสธทันทีว่า ไม่เคยเรียกรับเงินอย่างที่ถูกกล่าวหาแล้ว ก็ประกาศฟ้องกลับเช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ดี ความน่าสนใจของ “เจ๊พัช” ก็คือความสัมพันธ์ของเธอกับ “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” เพราะเคยร่วมงานกันมาตั้งแต่ก่อตั้ง “พรรคพลังเครือข่ายประชาชน” เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา

จะเรียกว่า “สามารถ” มีวันนี้เพราะ “เจ๊พัช” ก็คงไม่เกินเลยไปจากความเป็นจริงสักเท่าไหร่

หรือจะใช้คำว่า “ลูกพี่เก่า” ก็คงได้

ช่วงที่กรณีดิไอคอนกำลังพีคๆ “เจ๊พัช”ได้แชร์โพสตเก่าในหน้าฟีดเฟซบุ๊คเมื่อ 29 มกราคม 2557 ที่มีภาพตัวเธอไปหาเสียงเลือกตั้ง และมีข้อความว่า “..ครั้งแรกในชีวิต กับรถแห่หาเสียง เบอร์ 17 พรรคพลังเครือข่ายประชาชน”

ในภาพชุดดังกล่าว “เจ๊พัช” ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังเครือข่ายประชาชน ได้ไปช่วยหาเสียงให้ลูกพรรคคือ สามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้สมัคร สส.กทม.เขต 32 (ตลิ่งชัน)

หลังจากนั้นปลายปี 2557 ทั้ง “เจ๊พัช” และ “สามารถ” ได้ร่วมกันก่อตั้งองค์การต่อต้านแชร์ลูกโซ่ อย่างไรก็ดี ทั้งคู่ทำงานร่วมกันมาได้ราว 2 ปี ได้แยกทางกันแบบ “จบไม่สวย”

โดยเมื่อปี 2559 “สามารถ” ไปก่อตั้งสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย

ขณะที่ในปี 2561 “เจ๊พัช” ได้ก่อตั้ง “พรรคภาคีเครือข่ายไทย” โดยอาศัยฐานเสียงเดิมจากพรรคพลังเครือข่ายประชาชน แต่การทำพรรคก็ไม่ประสบผลสำเร็จ จึงได้ออกมาก่อตั้ง “พรรคสุวรรณภูมิ” พร้อมกับก่อตั้งสำนักงานกฎหมายเพื่อให้คำปรึกษาด้านธุรกิจการตลาด ตามต่อด้วยตั้งศูนย์ประสานงานส่งเสริมเครือข่าย-ออนไลน์ พร้อมกับเป็นเจ้าของเฟซบุ๊กแฟนเพจ “กฤษอนงค์ต้านโกง/กฤษอนงค์online/ศคอ.ศูนย์ประสานงานส่งเสริมเครือข่าย-ออนไลน์”

ในห้วงยามที่ “เจ๊พัช” ไม่ประสบความสำเร็จในทางการเมืองสักเท่าไหร่ “สามารถ” กลับทำได้ดี โดยในปี 2562 “สามารถ” เข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ และได้รับการแต่งตั้งเป็น ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม พ่วงด้วยเก้าอี้ผู้อำนวยการศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์พรรคพลังประชารัฐ กระทั่งโดดเด้งขึ้นมาในสถานะที่คนในพรรคพลังประชารัฐรับรู้กันว่าคือ “โทรโข่งส่วนตัวของลุง”

 “เจ๊พัช” กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์
เมื่อ “เจ๊พัช” ตกเป็นข่าวพัวพันกับ “บอสพอล” และมีนักข่าวสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมของ “ท่าน ส.” ปรากฏว่า เธอตอบเสียงดังฟังชัดแบบไม่อ้อมค้อมว่า “จริงแท้แน่นอน”

กระนั้นก็ดี สิ่งที่ต้องขีดเส้นใต้สำหรับการเปิดประเด็น “ท่าน ส.” กับ “เจ๊พัช” จากฝ่าย “บอสพอล” ก็คือ เป็นเกมเพื่อเบี่ยงประเด็นหรือไม่อย่างไร เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้มีการ “สู้กลับ” หรือ “เอาคืน” ด้วยการนำพนักงานไปร้องเรียนต่อที่สำนักงานจเรตำรวจแห่งชาติ เพราะอยากให้ทางจเรตำรวจช่วยตรวจสอบการทำหน้าที่ของ “ตำรวจ ปคบ.” หลังเข้าตรวจค้น 11 จุดที่เกี่ยวข้องกับดิไอคอน พร้อมยึดของกลางและเชิญตัวพนักงาน 10 ราย มาสอบปากคำนานถึง 8 ชม. และมีการยึดโทรศัพท์มือถือของพนักงานทั้งหมดว่าทำโดยกรอบอำนาจของกฎหมายหรือไม่

รายที่สามคือ “นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ” แห่งเพจรับเรื่องราวร้องทุกข์ชื่อดัง ที่วันนี้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาอยู่ในกระทรวงคลองหลอด ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งคนที่มีบทบาทสำคัญในคดีดิไอคอนเป็นอย่างมาก

เรื่องราว มีนัยสำคัญตรงที่ถูกเปิดเผยออกมาจาก “บิ๊กเต่า-พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยว่านายเอกภพ นำพยานบุคคลหนึ่งกล่าวอ้างว่าหนึ่งใน 18 บอส มีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินไปเป็นเงินดิจิทัลหรือคริปโตฯ เกือบหมื่นล้านว่า พยานบุคคลดังกล่าวที่มากับนายเอกภพ ทางตำรวจได้มีการสอบสวนไปแล้ว และบุคคลดังกล่าวสารภาพแล้วว่าข้อมูลมั่ว ไม่มีที่มา เป็นการอุปโลกน์ขึ้นมา โดยอ้างว่าเป็นการถามจากเพื่อนและเสิร์ชหาทางเว็บไซต์ โดยที่ไม่มีข้อเท็จจริง ทำให้เกิดความเสียหายต่อหลายองค์กรที่มีการพาดพิงถึง

 เอกภพ เหลืองประเสริฐ
ส่วน “พยานรายนี้” และ “นายเอกภพ” จะถูกดำเนินการทางกฎหมายถึงขั้นไหนอย่างไร “บิ๊กเต่า” บอกว่า คงต้องพิจารณากันอีกครั้ง

กรณี “นายเอกภพ” นั้น น่าสนใจ แม้มิได้มีปมเรื่อง “รีดทรัพย์” ปรากฏ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่อาจมองข้ามได้ เพราะการที่ออกมาเปิดเผยเรื่องราวเสียใหญ่โตพร้อมกับนำพยานไปให้ข้อมูลกับตำรวจ แต่มิได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ถ่องแท้ ทำให้สังคมอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้ว่า มีจุดมุ่งหมายอื่นใดอีกหรือไม่

ทว่า เจ้าตัวก็ชี้แจงว่า “ไม่ได้หิวแสง ไม่ได้น้อยใจ แต่การนำพยานไปมอบให้บิ๊กเต่าเพราะพยานคนนี้มีความรู้ด้านดิจิทัลและไปพบข้อมูลการซื้อขายเงินดิจิทัลที่ผิดปกติ จึงเห็นว่าเป็นประโยชน์ จึงพาไปให้การกับเจ้าหน้าที่ แต่หากเจ้าหน้าที่มองเจตนาที่ผิดไป ต่อไปพยานที่ไหนจะกล้ามาให้ข้อมูล”

และนั่นคือเรื่องราวทั้งหมดที่ทำให้สังคมไทยต้องตระหนักคิดและตระหนักรู้ให้จงหนักว่า “อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ” และต้อง “ร้องเอ๊ะ” ทุกครั้งก่อนจะตัดสินใจเชื่ออย่างสนิทใจ


กำลังโหลดความคิดเห็น