xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ใต้เงาจีน ภาค 2 (11) อุบัติเหตุที่สิบสองปันนา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เมืองหมาง ในจิ่งหง สิบสองปันนา (แฟ้มภาพซินหัว)
ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล


หลังจากเที่ยวชมป่าหินและกลับมาที่คุนหมิงแล้ว วันต่อมา จนท. ศูนย์ฯ สองคนต้องกลับไทยด้วยมีภารกิจที่กำหนดไว้แล้ว โดยหนึ่งในสองคือแหม่มฝรั่ง ดังนั้น จึงเหลือผมกับ จนท. ศูนย์ฯ อีกคนที่จะยังคงอยู่ที่จีนต่อไป เราสองคนจึงอยู่ในการดูแลของฝ่ายจีนต่อไปจนกว่าจะกลับไทย

จากเหตุนี้ ทำให้ฝ่ายจีนต้องหาอะไรมารองรับเราสองคน ที่จะปล่อยให้อยู่กันเองจึงไม่ต่างกับทิ้งแขกให้โดดเดี่ยว และแล้วสิ่งที่ฝ่ายจีนหามารองรับเราก็คือ พาเราสองคนไปสิบสองปันนาและต้าหลี่

เราไปสิบสองปันนาก่อน โดยมีฝ่ายจีนไปด้วยสองคนรวมเป็นสี่คน ฝ่ายจีนบอกเราว่า ที่สิบสองปันนานี้จะพาเราไปพบหญิงจีนที่เราช่วยเหลือออกมากลุ่มแรก และตอนนี้ต่างก็ได้กลับไปยังบ้านเกิดของตนแล้ว ซึ่งก็คือ น้องจัง

พอเราสองคนรู้อย่างนั้นก็ดีใจอย่างมาก และทำให้เห็นว่า ที่เราระแวงฝ่ายจีนว่าปิดกั้นไม่ให้เราพบกับหญิงจีนที่เราช่วยเหลือออกมานั้นคงไม่จริง แต่เป็นเพราะความไม่พร้อมมากกว่าอื่นใด ดังที่ผมได้เคยกล่าวไปแล้วบ้าง เช่น การหาหน่วยงานระดับกรมกองที่จะมารับผิดชอบตลอดไป หรืองบประมาณที่จะใช้ เป็นต้น

อย่างหลังนี้หมายถึงงบประมาณที่จะนำมาใช้รับรองพวกเราฝ่ายไทย ตลอดระยะเวลาที่ฝ่ายไทยอยู่ในจีนที่โดยหลักแล้วก็คือ ค่าเดินทาง ค่าที่พัก และค่าอาหารการกิน ซึ่งก็ไม่ต่างกับฝ่ายไทยที่จะต้องมีงบประมาณในส่วนนี้เอาไว้เช่นกันเวลาที่มีแขกต่างชาติมาเยือน โดยที่หลังจากนี้ไปแล้วการดูแลฝ่ายไทยจะยังคงมีมาอีกหลายครั้ง ซึ่งต้องใช้งบประมาณไม่น้อยเลยทีเดียว

วันรุ่งขึ้นพวกเราฝ่ายไทยกับฝ่ายจีนอีกสองคนรวมเป็นสี่คนก็ได้เดินทางไปสิบสองปันนา ตอนนี้เองที่ผมได้ประสบการณ์ใหม่แบบงงๆ ที่สนามบินอีกครั้งหนึ่ง กล่าวคือว่า เมื่อเราสี่คนมาพร้อมกันแล้วก็ไปนั่งรอในห้องโถงใหญ่เพื่อรอให้ทางสนามบินเรียกไปขึ้นเครื่อง

 พวกเราฝ่ายไทยเดินไปถึงห้องนั้นโดยไม่รู้ตัวว่าไปถึงแล้ว เพราะหลังจากตรวจลงตราเอกสารแล้วฝ่ายจีนก็พาเราเดินไปอีกไม่กี่สิบก้าวก็ถึงแล้ว ตอนนั้นเองที่ทำให้ผมรู้ว่า สนามบินคุนหมิงซึ่งตอนนั้นถือเป็นสนามบินนานาชาติแล้วมีขนาดเล็กมาก เล็กจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นสนามบินนานาชาติ แต่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะตอนนั้นรัฐบาลจีนเองนึกไม่ถึงว่า การเปิดประเทศของตนจะทำให้ชาวต่างชาติเข้ามามากมายจนสนามบินดูเล็กไป 

หากยังจำกันได้จากที่ผมเคยเล่าไว้ใน ใต้เงาจีน ภาคแรกก็จะรู้ว่า สนามบินหลายแห่งในจีนเวลานั้นไม่ต่างกับสนามบินคุนหมิงที่ผมกำลังกล่าวถึงอยู่ในเวลานี้

ส่วนที่ว่าเป็นประสบการณ์ใหม่แบบงงๆ นั้นก็คือว่า เมื่อเราไปถึงห้องที่ว่าแล้วก็พบว่า ในห้องนั้นมีผู้โดยสารนั่งอยู่ไม่มากนัก และเมื่อมองออกไปด้านนอกก็จะเห็นเครื่องบินจอดอยู่ไม่กี่ลำ ที่สำคัญ ห้องที่ว่านี้กับสนามบินไม่มีกระจกปิดกั้น ทุกอย่างดูโล่งเหมือนเรานั่งอยู่ในที่นั่งของสนามกีฬา และสนามบินก็คือสนามกีฬา

พวกเราจึงนั่งคุยกันรอให้เขาเรียกขึ้นเครื่อง ระหว่างนั้นเราแทบไม่ได้สังเกตเลยว่า ผู้โดยสารคนอื่นที่นั่งอยู่ในห้องเดียวกับเราได้ทยอยหายไปทีละคนสองคน

กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็พบว่า ตอนนี้เหลือพวกเราสี่คนที่อยู่ในห้องนั้น ทางฝ่ายจีนก็ตกใจและแปลกใจเล็กน้อยว่าผู้คนหายไปไหน และทำไมทางสนามบินจึงไม่ประกาศเรียกขึ้นเครื่องเสียที เวลาก็ล่วงเลยไปไม่น้อยแล้ว

หนึ่งในฝ่ายจีนจึงเดินไปถามเจ้าหน้าที่สนามบินที่อยู่บริเวณนั้นแล้วก็ได้ความว่า ผู้โดยสารต่างก็ขึ้นเครื่องกันหมดแล้ว เหลือก็แต่เราสี่คนเท่านั้นที่ยังไม่ขึ้น และเครื่องบินก็กำลังจะออกแล้วด้วย เท่านั้นแหละพวกเราสี่คนก็ตกใจ รีบกุลีกุจอวิ่งตรงไปยังเครื่องบินลำที่จอดอยู่ใกล้ที่สุดแล้วขึ้นไป พอขึ้นไปถึงก็พบผู้โดยสารนั่งกันพร้อมหน้าไม่กี่สิบคน พอเรานั่งลงไม่นานเครื่องก็บินขึ้นทันที

ตอนที่เครื่องออกนั้นผมยังไม่หายงง เพราะเราไม่ได้ยินเสียงเรียกให้ขึ้นเครื่องแม้แต่น้อย ผมมารู้ทีหลังว่า ตอนที่เรามาถึงห้องที่นั่งรอนั้นจริงๆ แล้วสามารถเดินไปขึ้นเครื่องที่จอดรออยู่ได้เลย หรือจะนั่งรอให้ใกล้เวลาเครื่องออกแล้วค่อยขึ้นก็ได้ โดยไม่มีการประกาศให้ขึ้นเครื่องแต่อย่างใด

ผมยังจำได้ดีว่า ตอนที่พวกเราสี่คนกุลีกุจอวิ่งขึ้นเครื่องนั้น ฝ่ายจีนก็อดหัวเราะด้วยความขบขันในตัวเองไม่ได้ ที่ตนอยู่ ตม.แท้ๆ แต่กลับไม่รู้ว่าเขาปฏิบัติกันแบบนี้

เครื่องบินใช้เวลาชั่วโมงเศษๆ ก็ถึงสนามบินสิบสองปันนา และที่สนามบินมีหัวหน้า ตม. ประจำสิบสองปันนามายืนต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว เจ้าหน้าที่ท่านนี้รูปร่างสูงใหญ่ ตากลมโต ผิวดำแดง และมีอายุราว 50 เศษๆ

พอแนะนำตัวกันพอเป็นพิธีแล้วท่านก็พาเราขึ้นรถ โดยพวกเราคนไทยสองคนขึ้นรถคันเดียวกับท่าน อีกสองคนขึ้นรถอีกคันหนึ่งแยกกันไป เนื่องจากตอนที่ไปถึงเวลาค่อนข้างเย็นแล้ว ท่านจึงพาพวกเราไปยังร้านอาหารเพื่อรับประทานอาหารมื้อเย็นก่อนจะไปห้องพัก ระหว่างทางท่านได้แนะนำตัวเองอีกครั้งหนึ่ง เราจึงรู้ว่าท่านเป็นคนชนชาติไตหรือไท ท่านจึงพูดภาษาไท (ไม่มี ย ยักษ์) ได้เป็นอย่างดี

และรู้ว่า เหตุใดหน้าตาของท่านจึงดูไม่เหมือนคนจีนเลยแม้แต่น้อย

ระหว่างทางท่านได้พูดภาษาไตหรือไทให้เราฟังเป็นตัวอย่าง ว่ามีคำใดบ้างที่ใกล้กับภาษาไทยที่เราใช้กัน เช่นคำว่า กินข้าว ในภาษาไตจะพูดว่า จิ๋นเข่า เป็นต้น ท่านแนะนำความเป็นไตเพื่อที่จะทำให้เรารู้สึกว่า พวกเรากับท่านนั้นเป็นชนชาติที่มีภาษาเดียวกัน

 ที่สำคัญ ท่านบอกว่า เราเป็นคนไทยกลุ่มแรกที่ท่านได้รู้จักโดยที่ไม่นึกว่าจะมีวันนี้ ถ้าจีนไม่เปิดประเทศ จากนั้นท่านก็แสดงความหวังว่าจะได้ไปเยือนประเทศไทยให้ได้สักครั้ง เมื่อฟังแล้วผมก็บอกท่านว่า หากไม่นับหญิงจีนที่ส่วนหนึ่งเป็นคนไตแล้ว ท่านก็นับเป็นคนไตคนแรกที่พวกเราได้รู้จักในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่บ้านเมือง 

จากที่ได้สนทนากับท่านนั้น ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงความแตกต่างกันระหว่างคนจีนกับคนไต ว่าคนไตมีการแสดงออกในเชิงอัธยาศัยที่อ่อนน้อมคนละแบบกับคนจีน คือมีความสุภาพเหมือนกัน แต่มีกิริยาท่าทางที่ต่างกัน โดยคนไตนั้นจะด้วยภาษาตระกูล “ไท” ที่ใช้ หรือด้วยอื่นใดผมเองก็ตอบไม่ถูก รู้แต่ว่าเหมือนได้เจอพวกเดียวกัน

 อย่างเช่นตัวท่านนั้น ไม่ว่าเราจะชวนทำอะไร ท่านจะตอบเป็นภาษาจีนที่แปลว่า “ด้วยความยินดีเสมอ” (เฟยฉังเกาซิ่ง, 非常高兴) ทุกทีไป ซึ่งคนจีนทั่วไปจะพูดก็ต่อเมื่อพบเจออะไรที่ชวนให้ยินดีจริงๆ 

อาหารมื้อเย็นที่ท่านพาพวกเราไปรับประทานนั้นเป็นอาหารไตพื้นเมือง ซึ่งคล้ายๆ กับอาหารในภาคเหนือของไทย ดังนั้น อาหารส่วนใหญ่จึงไม่ได้มาร้อนๆ แบบอาหารจีน แต่ก็ไม่ถึงกับเย็นชืด คือยังคงอุ่นเล็กน้อย จะมีก็แต่อาหารประเภทที่ทำสำเร็จบางรายการเท่านั้นที่มาแบบเย็นๆ

 แต่ที่เป็นรายการสุดท้ายจานใหญ่ก็คือ ขนมจีน ที่ชาวไตเรียกว่า ข้าวหนม โดยบนตัวขนมจีนจะปูด้วยหมูต้มที่หั่นเป็นแผ่น แล้วราดด้วยซอสซีอิ้วเปรี้ยวหวานที่มีรสเผ็ดเล็กน้อย ถ้าไม่นับตัวเส้นแล้วก็จะคล้ายกับยำก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้ที่ยังพอมีขายอยู่บ้างในกรุงเทพฯ และครั้งหนึ่งเคยเป็นอาหารขึ้นชื่อของร้านอาหารมารีน่าที่อยู่ตรงข้ามกับโรงหนังสกาล่า 

ซึ่งเดี๋ยวนี้กลายเป็นอดีตไปแล้วอย่างน่าเสียดายทั้งร้านอาหารและโรงหนัง


กำลังโหลดความคิดเห็น