"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
สงครามกลางเมืองอเมริกา ดำเนินไปอย่างดุเดือดและรุนแรง โดยทุกสมรภูมิไม่ได้เป็นเพียงการเผชิญหน้าระหว่างกองทัพเท่านั้น แต่ยังเป็นการปะทะกันของอุดมการณ์ ยุทธศาสตร์ และชะตากรรมของชาติอีกด้วย ตั้งแต่เนินเขาอันราบเรียบในเวอร์จิเนียไปจนถึงหุบเขาแม่น้ำในมิสซิสซิปปี
สงครามนี้เป็นเหมือนการร่ายรำที่มีการเปลี่ยนแปลงทิศทางอยู่เสมอ มีชัยชนะที่น่าประหลาดใจและความสูญเสียที่ทำให้หัวใจแตกสลาย ในสงครามนี้ อนาคตของสหรัฐอเมริกาแขวนอยู่บนเส้นด้าย ว่าจะยังคงเป็นสาธารณรัฐที่เป็นหนึ่งเดียวหรือจะแตกแยกออกเป็นสองชาติที่ขัดแย้งกัน
ในช่วงฤดูร้อนปี 1861 ทั้งฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ต่างยืนอยู่ที่ปากเหวของสงคราม ประชาชนของทั้งสองฝ่ายเต็มไปด้วยความมั่นใจและอหังการ ฝ่ายสหภาพ (Union) หรือฝ่ายเหนือ เชื่อว่าพลังความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมและจำนวนประชากรที่มากกว่าจะบดขยี้การกบฏได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่ ฝ่ายสมาพันธรัฐ (Confederacy) หรือฝ่ายใต้ เห็นว่าตนเองเป็นผู้ปกป้องมาตุภูมิ โดยอ้างจิตวิญญาณของการปฏิวัติอเมริกา
เมื่อกองทัพของสหภาพและสมาพันธรัฐปะทะกันที่ สมรภูมิบูลรัน (Bull Run) ครั้งแรก ความเป็นจริงได้ปรากฏขึ้น กองทัพของทั้งสองฝ่ายที่ยังไม่มีประสบการณ์ต่อสู้ ต้องเผชิญหน้ากันภายใต้แสงแดดที่ร้อนแรงในเดือนกรกฎาคม ภาพลวงตาของสงครามที่ต่างฝ่ายประเมินว่าจะจบลงในเวลาอันสั้นและปราศจากการนองเลือดถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง กองทัพสมาพันธรัฐที่นำโดย นายพลโธมัส สโตนวอลล์ แจ็คสัน (Thomas Stonewall Jackson) ยืนหยัดอย่างแน่วแน่ต่อการโจมตีของสหภาพ ฝ่ายสหภาพที่เต็มไปด้วยความมั่นใจกลับต้องล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว จินตนาการของความเป็นไปได้ที่จะเกิดชัยชนะอย่างรวดเร็วได้ระเหยหายไปในบรรยากาศที่เดือดระอุของสงคราม
เมื่อสงครามย่างเข้าสู่ปีที่สอง สมรภูมิที่ชิโลห์ (Shiloh) ในเดือนเมษายนปี 1862 ทำให้เหล่านักรบของทั้งสองฝ่ายต้องเผชิญกับความโหดร้ายของสงครามยุคใหม่ ในทุ่งหญ้าและป่าเขาของรัฐเทนเนสซี สมรภูมินี้เป็นการต่อสู้ที่วุ่นวาย กองทัพของสหภาพภายใต้การนำของ นายพลยูลิสซิส เอส. แกรนท์ (Ulysses S. Grant) ถูกโจมตีอย่างไม่คาดคิดโดยกองทัพสมาพันธรัฐที่นำโดย นายพลอัลเบิร์ต ซิดนีย์ จอห์นสตัน (Albert Sidney Johnston)
การต่อสู้ที่ชิโลห์ดำเนินไปอย่างรุนแรงตลอดสองวันเต็ม โดยในช่วงแรกฝ่ายสมาพันธรัฐได้เปรียบ แต่นายพลแกรนท์ ซึ่งรักษาความสงบเยือกเย็นเอาไว้ได้ภายใต้สถานการณ์วิกฤติ สามารถรวมกำลังพลและเปิดฉากการโต้กลับอย่างหนักหน่วงได้ในวันที่สอง หลังจากการสู้รบที่ทุ่งชิโลห์ ฝ่ายสหภาพได้รับชัยชนะ แม้จะมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บกว่า 23,000 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่สร้างความตระหนกตกใจให้ทั้งสองฝ่าย และเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าสงครามครั้งนี้คงจะไม่จบลงง่าย ๆ อีกต่อไป
ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1862 นายพลโรเบิร์ต อี. ลี (Robert E. Lee) แห่งฝ่ายสมาพันธรัฐมุ่งที่จะนำสงครามเข้าสู่ดินแดนของฝ่ายสหภาพ โดยหวังว่าชัยชนะบนผืนแผ่นดินเหนือจะเสริมสร้างโอกาสของฝ่ายสมาพันธรัฐในการได้รับการยอมรับจากต่างประเทศและการเจรจาสันติภาพ การรบที่ แอนทีแทม (Antietam) ซึ่งเกิดขึ้นในวันที่ 17 กันยายน กลายเป็นวันที่นองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา กองกำลังของนายพลลีปะทะกับทหารฝ่ายสหภาพนำโดย นายพลจอร์จ แมคเคลแลน (George McClellan) ใกล้เมืองชาร์ปส์เบิร์ก รัฐแมริแลนด์ และสนามรบก็กลายเป็นโรงละครแห่งความตายอันน่าสะพรึงกลัว ทุ่งข้าวโพด ถนนจมดิน สะพานพังพินาศ แต่ละพื้นที่ได้เห็นการสังหารหมู่อันเหลือจะพรรณนา ขณะที่ทหารบุกฝ่าควันปืนและแนวกระสุน
แม้ว่าจะไม่มีฝ่ายใดได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด แต่สมรภูมิที่แอนตีแทมทำให้ประธานาธิบดีลินคอล์นสามารถออก “การประกาศเลิกทาส” (Emancipation Proclamation) ซึ่งเปลี่ยนแปลงลักษณะของสงครามจากการต่อสู้เพื่อความเป็นเอกภาพและความเป็นอิสระให้กลายเป็นการต่อสู้เชิงศีลธรรมเพื่อต่อต้านการเป็นทาส หรือเป็นสงครามเพื่อการเลิกทาส
การต่อสู้นี้ทำให้สหรัฐอเมริกาเข้าสู่การต่อสู้ที่มีความหมายลึกซึ้งยิ่งขึ้น เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของความขัดแย้ง จากเดิมที่มุ่งรักษาความเป็นเอกภาพของชาติ ให้กลายเป็นการต่อสู้เพื่อเสรีภาพของมนุษย์ สมรภูมิแอนทีแทมได้เปลี่ยนลักษณะของสงครามอย่างสิ้นเชิงเฉกเช่นเดียวกับที่ทำให้ทุ่งแมริแลนด์กลายเป็นสายธารโลหิต
กล่าวได้ว่า “ประกาศเลิกทาส” ได้เปลี่ยนโฉมหน้าสงครามกลางเมือง สำหรับคนจำนวนมากในฝ่ายเหนือ มันทำให้สงครามมีความชัดเจนทางศีลธรรมที่ขาดหายไปก่อนหน้านี้ นักเคลื่อนไหวเพื่อการเลิกทาส (abolitionists) ซึ่งเรียกร้องการยุติการเป็นทาสมานานแล้ว มองเห็นว่ารัฐบาลได้ยอมรับจุดยืนของพวกเขา สำหรับชาวแอฟริกันอเมริกันทั้งทาสและเสรีชน ประกาศนี้เป็นแสงสว่างแห่งความหวัง ชายแอฟริกันอเมริกันหลายพันคนที่เคยเป็นทาสได้เข้าร่วมกองทัพสหภาพ เพื่อต่อสู้เพื่อเสรีภาพของตนเองและผู้อื่น
ในระดับสากล “การประกาศเลิกทาส” ได้ส่งข้อความที่ชัดเจนต่อชาติยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งเคยพิจารณาที่จะรับรองฝ่ายสมาพันธรัฐ ต้องหยุดชั่งน้ำหนักความคิดนี้ เมื่อสงครามถูกเชื่อมโยงโดยตรงกับการเลิกทาส การสนับสนุนฝ่ายสมาพันธรัฐก็กลายเป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมรับได้ทางการเมือง ความหวังของฝ่ายสมาพันธรัฐในการได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศจึงลดลงอย่างมาก
ในฤดูร้อนปี 1863 นายพลลี แหล่งฝ่ายสหพันธรัฐ ได้เปิดฉากการบุกทางเหนืออย่างกล้าหาญอีกครั้ง คราวนี้มุ่งเป้าไปที่รัฐเพนซิลเวเนีย สิ่งที่ตามมาคือการรบที่ เกตตีสเบิร์ก (Gettysburg) การต่อสู้อันดุเดือดสามวันที่จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนของสงคราม เดิมพันครั้งนี้ยิ่งใหญ่เหลือประมาณ กองทัพของนายพลลี ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงรุ่งเรืองหลังจากชัยชนะในฝั่งตะวันออก คาดหวังว่าการโจมตีครั้งสำคัญนี้อาจนำไปสู่การยอมจำนนของฝ่ายเหนือ แต่กองกำลังสหภาพนำโดย นายพลจอร์จ มีด (George Meade) ยืนหยัดอย่างมั่นคง
ช่วงสองวันแรกของการรบ การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดเพื่อแย่งชิงชัยภูมิสำคัญอย่าง ลิตเติล ราวด์ท็อป ( Little Round Top และ เซมิเทอรี ริดจ์ (Cemetery Ridge)โดยกองกำลังฝ่ายสหพันธรัฐสามารถยึดพื้นที่ได้ในบางจุดแต่ไม่สามารถทะลวงแนวของสหภาพได้ จุดแตกหักของการรบมาถึงในวันที่สาม หรือวันที่ 3 กรกฎาคม ในสิ่งที่จะกลายเป็นที่รู้จักในนาม “การโจมตีของพิคเกตต์”
นายพลลี ตัดสินใจสั่งการโดยไม่ฟังคำทัดทานของผู้ใต้บังคับบัญชา สั่งให้ทหาร 12,500 นาย ภายใต้การนำของ นายพลจอร์จ พิคเกตต์ (George Pickett) เดินทัพข้ามทุ่งโล่งระยะเกือบหนึ่งไมล์ มุ่งสู่แนวกลางของฝ่ายสหภาพ มันเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัว แถวแล้วแถวเล่าของทหารฝ่ายใต้ ธงรบของพวกเขาโบกสะบัด เดินทัพอย่างแน่วแน่ราวกับไม่เกรงกลัวความตายเข้าสู่แนวยิงของฝ่ายสหภาพ
แต่ทหารฝ่ายสหพันธรัฐหารู้ไม่ว่า พวกเขากำลังเดินเข้าสู่ทุ่งสังหาร ปืนใหญ่ของฝ่ายสหภาพฉีกแนวของพวกเขาเป็นช่องใหญ่ ในขณะที่การยิงปืนเล็กยาวเก็บเกี่ยวชีวิตพลทหารแถวแล้วแถวเล่า มีทหารฝ่ายสหพันธรัฐเพียงไม่กี่นายที่ไปถึงแนวรับของฝ่ายสหภาพที่ “เดอะ แองเกิล” (the Angle) และทะลวงแนวกำแพงได้ ซึ่งต่อมาถูกขนานนามว่าเป็น “จุดสูงสุดของสมาพันธรัฐ” (High Water Mark of the Confederacy) แต่ก็สายเกินไป ความพยายามในการโจมตีล้มเหลว และด้วยความล้มเหลวนี้ ความหวังของนายพลลีที่จะได้รับชัยชนะในดินแดนฝ่ายเหนือก็พังทลายลง
การถอยทัพเป็นภาพที่น่าสลดใจ นายพลลี ผู้ที่ได้ทุ่มเททุกอย่างในการบุกครั้งนี้ ต้องนำกองทัพที่บอบช้ำกลับสู่เวอร์จิเนียท่ามกลางสายฝนที่โปรยปราย กองทัพแห่งเวอร์จิเนียเหนือ (Army of Northern Virginia) ที่เคยยิ่งใหญ่จะไม่มีวันฟื้นคืนสภาพอย่างสมบูรณ์จากสมรภูมิเกตตีสเบิร์กอีกเลย แม้ว่าพวกเขาจะสู้ต่อไปอีกเกือบสองปีด้วยความมุ่งมั่นตามแบบฉบับของพวกเขา แต่ความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ได้เปลี่ยนมือไปสู่ฝ่ายสหภาพอย่างไม่มีวันหวนกลับแล้ว
ขณะที่นายพลลีขี่ม้าท่ามกลางทหารที่กำลังถอยทัพ เขารับผิดชอบต่อความล้มเหลวอย่างเต็มที่ โดยกล่าวกับทหารของเขาว่า “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า” กองทัพของเขาสูญเสียทหารไปกว่า 28,000 นาย ทั้งเสียชีวิตบาดเจ็บ หรือสูญหาย ทุ่งแห่งเกตตีสเบิร์กเต็มไปด้วยซากศพและผู้บาดเจ็บ และเมืองเล็ก ๆ ในเพนซิลเวเนียแห่งนี้ได้เป็นสักขีพยานให้กับสิ่งที่จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนของสงครามกลางเมือง
ในเวลาเดียวกัน อีกหนึ่งสมรภูมิที่สำคัญก็กำลังเกิดขึ้นทางฝั่งตะวันตก นายพลแกรนท์ (General Grant) แห่งฝ่ายสหภาพได้ดำเนินการรบอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อยึดป้อมปราการสำคัญของฝ่ายสมาพันธรัฐที่ เมืองวิกส์เบิร์ก (Vicksburg) ซึ่งตั้งอยู่บนหน้าผาที่มองเห็นแม่น้ำมิสซิสซิปปีได้อย่างชัดเจน ตลอดหลายสัปดาห์ กองทัพของนายพลแกรนท์ได้ปิดล้อมเมือง ตัดเสบียงและระดมยิงป้อมปราการของศัตรูอย่างต่อเนื่อง ชาวเมืองวิกส์เบิร์กที่อดอยากถึงกับต้องกินหนูและล่อเพื่อประทังชีวิต พยายามต้านทานให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
ในที่สุด เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1863 หนึ่งวันหลังจากชัยชนะของฝ่ายสหภาพที่เกตตีสเบิร์ก เมืองวิกส์เบิร์กก็ยอมจำนน ฝ่ายสหภาพจึงสามารถควบคุมแม่น้ำมิสซิสซิปปีได้ทั้งหมด ส่งผลให้สมาพันธรัฐถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ฝ่ายสมาพันธรัฐที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำถูกโดดเดี่ยว ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือแก่กองทัพทางฝั่งตะวันออกได้อีกต่อไป ชัยชนะของแกรนท์ที่วิกส์เบิร์กจึงไม่เพียงแต่เป็นชัยชนะทางยุทธศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นการโจมตีทางจิตวิทยาที่รุนแรงต่อความหวังในการอยู่รอดของสมาพันธรัฐอีกด้วย
ในปี 1864 กองทัพสหภาพภายใต้การนำของ นายพลวิลเลียม เทคัมเซห์ เชอร์แมน (William Tecumseh Sherman) ได้เริ่มดำเนินการทำสงครามแบบ “สงครามเบ็ดเสร็จ” (total war) หลังจากยึดเมืองแอตแลนตา นายพลเชอร์แมนได้เริ่มการเดินทัพไปยังชายฝั่งทะเล โดยทำลายทุกสิ่งที่อยู่ขวางหน้าเพื่อบ่อนทำลายเศรษฐกิจและกำลังใจของฝ่ายใต้ การทำลายล้างที่เกิดขึ้นทำให้ฝ่ายสมาพันธรัฐไม่เพียงแค่เสียทรัพยากรสำคัญ แต่ยังทำให้กำลังใจของประชาชนตกต่ำลงอย่างมาก
เสียงระฆังแห่งความพ่ายแพ้กำลังดังก้องในปี 1865 ฝ่ายสหพันธรัฐกำลังถึงกาลอวสาน กองทัพอันเกรียงไกรที่เคยรุ่งโรจน์บัดนี้เหลือเพียงเงาจาง ๆ ของอดีต นายพลลี ผู้ถูกไล่ล่าโดยกองกำลังสหภาพ กำลังเผชิญกับความจริงอันโหดร้าย ทหารของเขาหิวโหย กระสุนเหลือน้อยนิด เสบียงร่อยหรอ แต่ความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรียังคงอยู่
เมื่อเข้าสู่เดือนเมษายน กองทัพของนายพลลีที่เคยเกรียงไกรถูกล้อมที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ชื่อ แอพโพแมตท็อกซ์ คอร์ทเฮาส์ (Appomattox Court House) ในรัฐเวอร์จิเนีย กองทัพฝ่ายสหภาพภายใต้การนำของนายพลยูลิสซิส เอส. แกรนท์ ได้ล้อมรอบพวกเขาไว้อย่างแน่นหนา ไม่มีทางหนีรอด นายพลลี ไม่สามารถปฏิเสธความเป็นจริงที่ว่าการต่อต้านต่อไปจะนำไปสู่การสังหารที่ไม่จำเป็นอีก มันถึงเวลาที่จะยุติการนองเลือดอย่างมีเกียรติ
ในเช้าวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1865 นายพลลีแต่งกายด้วยเครื่องแบบที่ดีที่สุดของเขา ขี่ม้าผ่านแนวทหารไปพบกับนายพลแกรนท์ พวกเขาได้เจรจากันในห้องรับแขกของบ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งนายพลทั้งสองเผชิญหน้ากันไม่ใช่ในฐานะศัตรู แต่ในฐานะผู้นำที่เข้าใจถึงภาระหนักของสงคราม แม้ว่าจะมีความแตกต่างกันมาก แต่ทั้งคู่ก็มีความเคารพซึ่งกันและกัน
นายพลแกรนท์ ซึ่งตระหนักถึงความสำคัญของช่วงเวลานี้ในประวัติศาสตร์อเมริกา ได้เสนอเงื่อนไขที่ใจกว้างและมีเมตตา จะไม่มีการฉลองชัยหรือการแก้แค้น ทหารฝ่ายสมาพันธรัฐได้รับอนุญาตให้กลับบ้านพร้อมกับม้า ทรัพย์สินส่วนตัว และสามารถเก็บอาวุธส่วนตัวไว้ได้ ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความมีเกียรติสำหรับชายที่ต่อสู้อย่างกล้าหาญเพื่อเป้าหมาย
เงื่อนไขของนายพลแกรนท์สะท้อนถึงจุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าของการยุติสงคราม ไม่ใช่เพียงเพื่อเอาชนะฝ่ายใต้ แต่เพื่อรวมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง เขาต้องการความปรองดอง ไม่ใช่การแบ่งแยกอีกครั้ง
สงครามกลางเมืองอเมริกาซึ่งกินเวลายาวนานถึงสี่ปีและคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 600,000 คนได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่บาดแผลยังคงลึก ประเทศที่แตกร้าวจะต้องรวมเป็นหนึ่งอีกครั้ง จากเถ้าถ่านของความขัดแย้งครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา งานอันท้าทายของการฟื้นฟูประเทศกำลังรอคอยอยู่เบื้องหน้า ถนนสู่การปรองดองนั้นยาวไกล แต่ก้าวแรกได้เริ่มขึ้นแล้ว ณ บ้านหลังเล็กในแอพโพแมตท็อกซ์ (ยังมีต่อ)