xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“บอส” กับ “เทวดา” แห่ง “ขบวนการดิไอคอน”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ถือเป็นอีกหนึ่ง “คดีใหญ่” ของประเทศไทยในห้วงเวลานี้สำหรับกรณี “บอสพอล-วรัตน์พล วรัทย์วรกุล” แห่ง “บริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด” เจ้าของวลีเด็ด “ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย”

โดยเฉพาะหลังจากที่ “สำนักงานคณะกรรมป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) มีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด บอสพอล นายณิชพน ทองมี นางสาวฐิตตญา หงษ์อุปถุมภ์ไชย และนายกันต์ กันตถาวร รวมราคาประเมินทั้งสิ้นประมาณ 125,548,076.99 บาท

ตามต่อด้วยการออก “หมายจับ 18 บอส” ดำเนินคดี ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ประกอบด้วย

1. นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล (บอสพอล) 2. น.ส.ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร (บอสปัน) 3. นายกลด เศรษฐนันท์ (บอสปีเตอร์) 4. นายฐานานนท์ หิรัญไชยวรรณ (บอสหมอเอก) 5. น.ส.นัฐปสรณ์ ฉัตรธนสรณ์ (บอสสวย) 6. น.ส.ญาสิกัญจณ์ เอกชิสนุพงศ์ (บอสโซดา) 7. นายนันท์ธรัฐ เชาวนปรีชา (บอสโอม) 8. นายธวิณทร์ภัส ภูพัฒนรินทร์ (บอสวิน) 9. น.ส.กนกธร ปูรณะสุคนธ์ (บอสแม่หญิง)

10. น.ส.เสาวภา วงษ์สาขา (บอสอูมมี่) 11. นายเชษฐ์ณภัฏ อภิพัฒนกานต์ (บอสทอมมี่) 12. นายหัสยานนท์ เอกชิสนุพงศ์ (บอสป๊อป) 13. นายจิระวัฒน์ แสงภักดี (โค้ชแล็ป) 14. นางวิไลลักษณ์ เจ็งสุวรรณ (บอสออย) 15. นายธนะโรจน์ ธิติจริยาวัชร์ (บอสอ๊อฟ) 16. นายกันต์ กันตถาวร (บอสกันต์ 17. น.ส.พีชญา วัฒนามนตรี (โค้ชมีน) และ18. นายยุรนันท์ ภมรมนตรี (บอสแซม)

คดีนี้ เป็นที่น่าสนใจด้วยมีคนในวงการบันเทิงไปเกี่ยวข้องจำนวนมากและมีอย่างน้อย 3 รายที่มีเป็น “ระดับบริหาร” ได้แก่ นายกันต์ กันตถาวร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด, น.ส.พีชญา วัฒนามนตรี (มิน) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร และนายยุรนันท์ ภมรมนตรี (แซม) ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาและวิจัยผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังมีพรีเซ็นเตอร์ รวมทั้ง “แม่ข่าย-ลูกข่าย” ที่เป็นดาราชื่อดังและบุคคลที่มีชื่อเสียงและตำแหน่งสำคัญๆ อีกหลายราย

ขณะที่เมื่อตรวจสอบ “ความร่ำรวยโดยประมาณการ” ก็ยิ่งต้องร้อง “โอ้โห” ออกมา เพราะมีผู้ร่วมลงทุนกับดิไอคอน กรุ๊ป จากการเปิดเผยของ “บอสพอล” มากถึง 368,257 ราย ซึ่งเมื่อคำนวณเม็ดเงินที่ได้รับจาก “ค่าโสหุ้ย” แล้วคิดเป็นเม็ดเงินถึง 11,102,182,500 บาทเลยทีเดียว

กล่าวคือ ระดับดีลเลอร์จำนวน 31,972 ราย ต้องลงทุน 250,000 บาท คิดเป็นเงิน 7,993,000,000 บาท ระดับมินิ ดีลเลอร์ จำนวน 6,476 ราย ต้องลงทุน 200,000 บาท คิดเป็นเงิน 1,295,200,000 บาท ระดับหัวหน้าทีม Supervisor จำนวน 43,976 ราย ต้องลงทุน 25,000 บาท คิดเป็นเงิน 1,099,400,000 บาท และระดับเล็กสุดคือผู้ค้าปลีก จำนวน 285,833 ราย ลงทุน 2,500 บาท คิดเป็นเงิน 714,582,500 บาท

นั่นหมายความว่า แค่ค่าโสหุ้ย ดิ ไอคอน กรุ๊ป ก็รวยอู้ฟู่โดยที่ไม่จำเป็นต้องขายสินค้าใดๆ เลย จะเรียกว่าเป็น “เงินกินเปล่า” ก็ไม่เกินเลยไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก

ในโลกนี้ จะมีธุรกิจไหนที่ทำเงินได้ง่ายดายขนาดนี้

อย่างไรก็ดี ว่ากันว่า นั่นเป็นเพียง “ตัวเลข” ที่สามารถเปิดเผยได้เท่านั้น เพราะจำนวนผู้ที่เข้ามาร่วมลงทุนกับดิไอคอนมากกว่านั้นอีกหลายเท่า ด้วยจริง ๆ แล้ว จำนวนสมาชิกทุกขั้นมีถึง 600,000 คน

เฉพาะระดับดีลเลอร์ที่ยอมเปิดบิล 250,000 บาทมีถึง 300,000 คน หรือคิดเป็นเงินถึง 75,000,000,000 บาท ดังนั้น ตัวเลขจริงน่าจะแตะระดับแสนล้านเลยก็ว่าได้

ส่วน “สินค้า” ว่ากันตามตรง อาจไม่ใช่สาระสำคัญของบริษัท เพราะเมื่อพิจารณาจาก “งบการเงิน” ของดิ ไอคอน กรุ๊ป ก็จะพบ “ความพิสดาร” ปรากฏอยู่ โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกว่า “อัตราส่วนหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ หรือ invertory turnover” ซึ่งโดยปกติแล้วธุรกิจขายตรงจะมีอัตราส่วนหมุนเวียนของสินค้าคงเหลืออยู่ประมาณ 5-10 เท่า


กล่าวคือในปี 2564 ทางบริษัทมียอดขาย 4 พันล้านบาท แต่มีอัตราส่วนหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือสูงถึง 489 เท่า แปลว่ามีการสต๊อกสินค้าเกือบทุกวัน ซึ่งเป็นไปได้อย่างไรว่ามีการสต๊อกสินค้าวันละหลายครั้ง

แปลว่าบริษัทไม่ได้มีรายได้จากการขายสินค้า แต่มีรายได้มาจากทางอื่น ซึ่งจะเป็นอะไรเสียไม่ได้นอกจาก “ค่าโสหุ้ย” ที่เรียกเก็บจากบรรดา “แม่ข่าย-ลูกข่าย”

ตรงนี้ คงตอบคำถามเรื่องสถานะความเป็นธุรกิจ “ขายตรง” ได้เป็นอย่างดี

แน่นอน คงต้องยอมรับใน “ความไม่ธรรมดา” ของ “บอสพอล” ที่ “สร้างภาพ” ให้เกิดความน่าเชื่อถือตามที่ได้โฆษณาโอ้อวดเอาไว้จนมีผู้หลงเชื่อเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งสามารถออกแบบธุรกิจโดย “ดารา” เป็นตัวกระตุ้น “ความอยากรวย” ของผู้คนได้อย่างชะงักงัน

สามารถ เจนชัยจิตรวนิช

 พ.ต.อ.ประทีป เจริญกัลป์
คำถามมีอยู่ว่า ทำไม “อาณาจักรดิ ไอคอน กรุ๊ป” ของ “บอสพอล” ถึงได้เติบใหญ่ได้ในชั่วเพียงแค่ไม่กี่ปีหลังเปิดบริษัทได้ไม่นาน โดยที่ไม่ได้มี “หน่วยงานภาครัฐ” นึก “เอะใจ” ในความผิดปกติที่เกิดขึ้น เพราะธุรกิจจำพวกนี้ย่อมเป็นที่ถูกจับตาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

และคำตอบก็ได้รับการเฉลยผ่าน นายเอ (นามสมมุติ) พยานปากสำคัญ ซึ่งเคยทำงานกับบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป และดูแลระบบหลังบ้าน ที่ออกเปิดเผยว่า มีข้อมูลและจะนำข้อมูลให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเส้นทางการเงินกับบุคคลบางคนที่เรียกว่า “เทวดา”

พยานปากสำคัญรายนี้ให้ข้อมูลด้วยว่า การจ่ายให้กับ “เทวดา” นั้น คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจ่ายไปหลักหมื่นล้านบาท ซึ่ง “เทวดา” จะเป็นคนนำเงินไปจัดสรรให้แต่ละหน่วยงานเอง เทวดาไม่ได้รับโดยตรง

และ “เทวดา” เหล่านี้ “สถิตย์” อยู่ใน 4 หน่วยงานหลักคือ

หนึ่ง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.)

สอง กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)

สาม กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคบ.)

และสี่ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(สอท.)

นอกจากนี้ ยังมีการเปิดเผยจากคนวงในด้วยว่า “เทวดา” นั้น จะรับ “เครื่องเซ่นไหว้” เป็น “USDT” ซึ่งหนึ่งในสกุลเงินคริปโตที่มีความเสถียรและเป็นที่นิยมมากที่สุด

ขณะที่ “นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ” ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ในฐานะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยขณะพาพยานสำคัญที่รู้เห็นการจ่ายสินบนให้แก่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอระดับสูง เข้าพบ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อให้ข้อมูลว่า ช่วงบริษัท ดิไอคอน รุ่งเรือง ในปี 63-65 มี “เทวดา” เข้ามาเกี่ยวข้องและส่งข้าราชการรายหนึ่งมาอยู่ ดีเอสไอ มีหน้าที่กำกับสืบสวนเกี่ยวกับคดีแชร์ลูกโซ่โดยตรง หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน และคนของเทวดารายนี้จะสามารถคุ้มครองบริษัทได้ แต่ไม่ใช่คนในคลิปเสียง เพราะคนนั้นเป็นเพียงแค่ลูกกรอก ซึ่งภายในองค์กรน่าจะรู้อยู่แก่ใจ

ทั้งนี้ คนที่ส่งมาไม่ถึงเป็นระดับอธิบดี แต่จะอยู่ในระดับหัวหน้าหน่วยงานกำกับดูแล ซึ่งตอนนี้ยังอยู่ในหน่วยงานเป็นผู้บริหารระดับสูง เพราะขยับตามตำแหน่งและมีเครื่องเซ่นเป็นผลตอบแทนกัน ส่วนพยานไม่แน่ใจว่าเคยเจอกับข้าราชการดีเอสไอหรือไม่แต่ข้อมูลยืนยันว่าค่อนข้างจริง ซึ่งสิ่งที่พยานมาเปิดเพราะความเสียหายมากกระทบ คนพิการ คนจน คนแก่ จึงไม่อยากให้ใครถูกหลอกแล้ว

นายเอกภพ เผยอีกว่า ที่ผ่านมา ดีเอสไอไม่เคยมีข่าวเพราะเทวดาตั้งใจส่งคนมาทำเรื่องนี้ และไม่กลัวยุ่งเหยิงกับพยานหรือไม่นั้นก็ต้องขอคุยก่อนเพื่อความปลอดภัยของพยานด้วย และฝากนายกฯ ลงมาช่วยดูแลเพราะคนอื่นทำอะไรไม่ได้เลย

“ที่นี่เจ้าที่เฮี้ยนแต่พร้อมทำงาน เราก็ให้ข้อมูลได้ แต่ถ้าเฮี้ยนอยู่ก็พร้อมเปิดเผยข้อมูลเจ้าหน้าที่เช่นกัน ทั้งนี้ เชื่อว่ายังมีคลิปเสียงข้าราชการดีเอสไอกับบอสพอล แต่ยังไม่ปล่อยตอนนี้ ถ้าปล่อยก็ต้องตายด้วยกัน”นายเอกภพกล่าว

ที่เด็ดไปกว่านั้นคือ มีการปล่อยคลิปเสียงการสนทนาของ “บอสพอล”กับนักการเมืองที่มีชื่อย่อว่า “ท่าน ส.” โดยเส้นเรื่องเป็นการต่อรองเรื่องเงินในเชิง “ตบทรัพย์” เพื่อเคลียร์คดี เรียกกันสูงถึง 30 ล้านบาท พร้อมกับรายเดือนอีกหลักแสนบาท พร้อมวางกล้ามคุยใหญ่โตด้วยว่า หากส่งมากกว่านี้ จะทำอะไรก็ดีดนิ้วได้เลย

อวดอ้างกันไปถึงการเสนอแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงระดับเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ด้วยว่า ถ้าสนับสนุนใครให้ได้เป็น “เลขาธิการ สคบ.” ได้ ก็เดินตามดุ๊กดิ๊กๆ สั่งการได้อย่างกับ “ขี้” ซึ่งก่อนถึงท่อนที่ว่า ปลายสายที่เป็นนักการเมือง ก็หล่นชื่อ “ประทีป” โดยมีการพูดถึงชื่อ-นามสกุลเต็มยศ แต่บรรดา “เพจดัง” ที่ปล่อยคลิปพร้อมใจกันดูดเสียงตอนพูดถึงนามสกุล คงเกรงว่าจะมีปัญหาตามมา

แต่เมื่อไปเช็กว่าตัวละครลับที่ชื่อ “ประทีป” ซึ่งต้องเป็นระดับ “ไม่ธรรมดา” ใน สคบ.ก็ไปเตะตากับชื่อ “พ.ต.อ.ประทีป เจริญกัลป์” อดีตรองเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ปัจจุบันมีตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี

แน่นอน “พ.ต.อ.ประทีป” ก็ต้องออกมาปฏิเสธตามระเบียบ และยืนยันว่า ไม่ได้เป็น “เทวดา สคบ.” อย่างที่มีคนกล่าวหา โดยระบุว่าไม่รู้จัก “บอสพอล” เป็นการส่วนตัว เคยเจอในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการกองคุ้มครองผู้บริโภคด้านธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรง สคบ. 2 ครั้ง คือ ครั้งที่ “บอสพอล” มายื่นหนังสือหารือการจดทะเบียนธุรกิจขายตรง และอีกครั้งที่ “บอสพอล” นำขนมไหว้พระจันทร์มามอบให้ และขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึก

“พ.ต.อ.ประทีป” บอกด้วยว่า จากการพิจารณาข้อมูลของธุรกิจ “ดิ ไอคอน กรุ๊ป” ที่ “บอสพอล” มายื่นหารือเพื่อจดทะเบียนเป็นธุรกิจขายตรง เมื่อช่วงเดือน มิ.ย.61 ในฐานะ ผู้อำนวยการกองคุ้มครองผู้บริโภคด้านธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรง สคบ.ขณะนั้น พบว่าค่อนข้างล่อแหลม มีความเสี่ยงที่จะกระทำความผิดได้ และไม่สามารถจดทะเบียนเป็นธุรกิจขายตรงได้ จึงแนะนำให้ไปจดทะเบียนตลาดแบบตรง

และได้เสนอเรื่องถึงเลขาธิการ สคบ.ในขณะนั้นตามหน้าที่ ซึ่งได้เห็นชอบส่งหนังสือไปยัง 3 หน่วยงาน คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ให้ตรวจสอบ

นอกจากนี้ “พ.ต.อ.ประทีป” ยังยอมรับด้วยว่า ได้รับความเสียหายอย่างมากจากคลิปเสียงดังกล่าว เพราะตั้งแต่รับราชการใน สคบ.มาก็ไม่มีคนที่ชื่อประทีป และเมื่อไปเจาะจง ที่รองเลขาธิการ สคบ. ก็มีตัวเองคนเดียว โดยได้แจ้งความดำเนินคดีแล้ว

ส่วนที่ “ท่าน ส.” กล่าวอ้างว่าแต่งตั้งตัวเองให้เป็นรองเลขาธิการ สคบ.นั้น ขอยืนยันว่า ไม่มีใครสนับสนุน และผ่านกระบวนการคัดเลือกตามหลักความรู้ความสามารถอย่างถูกต้อง

“นักการเมืองที่กล่าวอ้างว่าเป็นผู้แต่งตั้งตัวเอง ก็คงไม่ได้มีศักยภาพในการผลักดัน” พ.ต.อ.ประทีป ว่าไว้ และยอมรับว่าคุ้นเสียง และรู้จัก “นักการเมือง” ที่สนทนากับ “บอสพอล” พอสมควร

สำหรับ “พ.ต.อ.ประทีป” โอนย้ายจากข้าราชการตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) มาที่ สคบ. เมื่อปี 2559 ในตำแหน่งผู้อำนวยการกองคุ้มครองผู้บริโภคด้านธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรง ก่อนที่ปี 2562 จะขยับขึ้นเป็นเลขานุการกรม จนปี 2564 ได้เป็นผู้อำนวยการสำนักแผนและการพัฒนาการคุ้มครองผู้บริโภค กระทั่งปี 2565 ช่วงรัฐบาลที่มีพรรคพลังประชารัฐ เป็นแกนนำ ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค

ขณะที่ “ท่าน ส.” ที่ปรากฏในคลิปลับ (ซึ่งเชื่อว่ายังมีอีกหลายคลิปและมีอีกหลายคน) แม้จะยังไม่เฉลยแบบเปิดชื่อเสียงเรียงนามออกมาตรงๆ ว่า คนๆ นี้คือใคร จังหวะนั้นเองปรากฏว่า “เสี่ยจ๊อบ-สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่า เสียงในคลิปลับนั้น ไม่ใช่เสียงของตนเอง และหากใครมาพาดพิง หรือกล่าวหา ก็จะดำเนินการทางกฎหมายทันที

กล่าวสำหรับ “เสี่ยจ๊อบ-สามารถ” นั้น โด่งดังในหน้าสื่อหลังออกมาเปิดศึกท้ารบเบอร์ใหญ่อย่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรมว.เกษตรและสหกรณ์ พ่วงด้วยเลขาธิการพรรค พปชร. ตามต่อด้วยการเป็นคนชักชวน “วัน อยู่บำรุง” เข้าซบ พปชร. ภายหลังโบกมือลาพรรคเพื่อไทย

สำหรับชีวิตและหน้าที่การงานส่วนตัว “เสี่ยจ๊อบ” เคยดำรงตำแหน่งเป็น “ประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย” โดยได้รับแต่งตั้งเมื่อปี 2557 ก่อนที่จะขยับไปเป็นผู้อำนวยการร้องทุกข์ กลุ่มสามมิตร ที่มี “สมศักดิ์ เทพสุทิน-สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” เป็นแกนนำ และหลังเลือกตั้งยังได้รับการปูนบำเหน็จเป็นถึง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ยุคที่ “สมศักดิ์” เป็นเจ้ากระทรวง โดยการผลักดันของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ขาใหญ่ในรัฐบาลขณะนั้น ที่ว่ากันว่าเป็น “เพื่อนพ่อ” ขณะเดียวกันก็เป็นกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐ และได้ผลักดันให้มีการแก้กฎหมายแชร์ลูกโซ่ เพิ่มโทษกับผู้กระทำความผิด จนทำให้กลายเป็นวาระชาติ และเป็น “ผู้รู้” เกี่ยวกับขบวนการแชร์ลูกโซ่อย่างดีคนหนึ่ง

แต่เส้นทางการเมืองของ “เสี่ยจ๊อบ” ก็ไม่ค่อยสู้ดี เพราะตกเป็นข่าวฉาว เมื่อถูกมหาวิทยาลัยรามคำแหงสอบสวนความผิดฐานส่งคนเข้าทำการเรียนและสอบแทนในหลักสูตรภาษาอังกฤษสำหรับนักศึกษาปริญญาเอก จนถูกปลดจากผู้ช่วยรัฐมนตรี และทุกตำแหน่งในพรรคพลังประชารัฐ

เก็บตัวอยู่พักใหญ่ “เสี่ยจ๊อบ” ก็กลับมาโลดแล่นทางการเมืองอีกครั้งในฐานะองครักษ์พิทักษ์ “ลุงป้อม-พล.อ.ประวิตร” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ช่วงที่กำลังจะถูกอัปเปหิออกจากรัฐบาล ให้ข่าวพาดพิงผู้ใหญ่-สส.สาดเสียเทเสีย จนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ต้องพรรคพลังประชารัฐแตกเป็นเสี่ยง ขณะที่ “สามารถ” ได้ตำแหน่งรองโฆษกพรรค หลังการเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ตอบแทน

ทั้งนี้ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวถึงความคืบหน้าตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เกี่ยวกับธุรกิจออนไลน์ว่า ให้เริ่มตรวจสอบในทันที เนื่องจากเรื่องนี้อยู่ในความสนใจของประชาชน มีผู้ที่ได้รับผลกระทบจำนวนมาก วางกรอบระยะเวลาในการตรวจสอบ 30 วัน จะต้องรายงานกลับเข้ามาเป็นระยะให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

ขณะที่เมื่อสอบถามไปที่ผู้กลุ่มผู้เสียหายก็ยอมรับว่า มีความกังวลกับบรรดา “เทวดา” ที่ช่วยกลุ่มบอสดิไอคอนอยู่ไม่น้อย

…ถึงตรงนี้ สิ่งที่สังคมเฝ้าจับตาดูก็คือ หลังมีคำสั่งอายัดทรัพย์ ตามต่อด้วยการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายจับและแจ้งความดำเนินคดีกับ “18 บอส” ที่สุดแล้ว ผลของคดีจะจบลงอย่างไร มี “ใคร” ถูกดำเนินคดีบ้าง เพราะต้องถือว่าพวกเขาคือผู้มีส่วนรวมสำคัญที่ไม่ควรปล่อยให้ “เสวยสุข” หรือ “ลอยนวล” ต่อไป.

เช่นเดียวกับเหล่า “เทวดา” ที่อยู่เบื้องหลังอาณาจักรดิไอคอนว่า สุดท้ายแล้ว จะมี “ใคร” ถูกดำเนินคดีบ้าง เพราะต้องถือว่าพวกเขาคือผู้มีส่วนรวมสำคัญที่ไม่ควรปล่อยให้ “เสวยสุข” หรือ “ลอยนวล” ต่อไป.


กำลังโหลดความคิดเห็น