ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - การที่ “นายกฯ อิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร” จรดปากกาเซ็นแต่งตั้ง “เสี่ยเต้น-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” เป็น “ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี” นั้น คือการสะท้อนภาพ “ความจริงวันนี้” ของ “คนเสื้อแดง” ได้เป็นอย่างดี
ยิ่งเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับ “เดอะตู่-จตุพร พรหมพันธุ์” รวมถึงอดีตแกนนำคนเสื้อแดง” เช่น “นางธิดา ถาวรเศรษฐ์” หรือ “นพ.เหวง โตจิราการ” ด้วยแล้ว ยิ่งเห็นภาพของ “ระบอบทักษิณ” และตัวตนที่แท้จริงของ “เต้น-ณัฐวุฒิ” ได้อย่างแจ่งแจ้งแดงแจ๋ว่าเป็นเยี่ยงไร เพราะไม่มีใครก้าวสู่เส้นทาง “อำนาจ” และไม่ได้รับการอวยยศใดๆ จาก “นายใหญ่ทักษิณ ชินวัตร” เหมือนกับ “เต้น-ณัฐวุฒิ”
อย่างไรก็ดี ถ้าหากเปรียบเทียบเฉพาะ “ตู่-เต้น” ซึ่ง “ครั้งหนึ่ง” ถือเป็น “สองเกลอ” ที่บทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ก็จะพบว่า ชะตาชีวิตของทั้งสองคนไปคนละทิศละทาง
“เต้น-ณัฐวุฒิ” จะถูกอกถูกใจ “นายใหญ่คนเสื้อแดง” เป็นพิเศษด้วยสามารถออกคำสั่งให้ซ้ายหันขวาหันหรือไม่ ไม่ทราบได้ หรือเป็นเพราะต้องเอาใจ “คนเสื้อแดง” ที่เป็นฐานเสียงใหญ่ของพรรคเพื่อไทย แต่ที่แน่ๆ หลังจากที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ก็ได้รับการอวยยศให้เป็น “รัฐมนตรี” ถึง 2 กระทรวงด้วยกันคือ “รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นอกจากนี้ ในเวลาต่อมา “อดีตเลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)” ผู้นี้ยังมีบทบาทสำคัญในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งของ “นายกฯ อิ๊งค์” ในเก้าอี้ “ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย” โดยติดสอยห้อยตามไปแทบจะทุกเวที
เรียกว่า เป็น “แกนนำคนเสื้อแดง” แทบจะคนเดียวที่ได้รับความไว้วางใจจาก “ตระกูลชินวัตร” มาอย่างต่อเนื่องก็ว่าได้
อีกเรื่องเล่าระหว่างบรรทัดที่เป็นความจริงซึ่งไม่ต้องพิสูจน์ก็คือ “เสี่ยเต้น” มีความสนิทสนมกับ “เสี่ยโอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร” มากถึงมากที่สุด ด้วยเป็นคนการเมืองคนเดียวที่ได้เป็นแขกวีวีไอพีร่วมงานแต่งของเขา
อย่างไรก็ดี ณัฐวุฒิประกาศหันหลังให้พรรคเพื่อไทยเมื่อมีการสลับขั้วทางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาล ด้วยการถีบหัวส่ง “พรรคก้าวไกล” ซึ่งขณะนั้นมี “เสี่ยทิม-พิธา ลิ้มเจริญรัฐ” เป็นหัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แล้วไปจับมือกับ “พรรค 2 ลุง” คือ “พรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคพลังประชารัฐ” แทน
คนจำนวนไม่น้อยถึงกับสรรเสริญเยินยอในจุดยืนของ “ณัฐวุฒิ” กันเลยทีเดียว โดยเฉพาะจากบรรดา “ด้อมส้ม” ที่ชื่นชมราวกับวีรบุรุษ
ขณะที่คนที่อ่านเกมการเมืองขาดได้แต่หัวเราะอยู่ในลำคอเพราะมั่นใจว่านั่นเป็นเพียง “เต้นการละคร” เท่านั้น
หนึ่งในบทพิสูจน์สำคัญก็คือ หลังจาก “เสี่ยเต้น” ลาออกจากเก้าอี้ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย และไปเปิด “ร้านเยี่ยมใต้ South Cuisine” ก็ปรากฏร่าง “ทักษิณ” แวะไปรับประทานอาหารค่ำ พร้อมแกนนำคนสำคัญร่วมด้วย ได้แก่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายเกรียง กัลป์ตินันท์ นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รวมถึง ส.ส.เพื่อไทย อาทิ นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด นายพายัพ ปั้นเกตุ เป็นต้น
นั่นแสดงให้เห็นว่า ณัฐวุฒิคือเนื้อแท้ของพรรคเพื่อไทยอย่างไม่อาจมองเป็นอื่นได้
ความจริงต้องบอกว่า ในช่วงรัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน” ก็เตรียมที่จะเรียกใช้บริการณัฐวุฒิในเก้าอี้ “ที่ปรึกษานายกฯ” เช่นกัน ด้วยหงุดหงิดที่ไม่มีคนในรัฐบาลช่วยตอบโต้การเมือง แต่ก็ไปไม่ถึงจุดนั้นด้วย “เสี่ยนิด” ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดจบไปเสียก่อน
ดังนั้น จงอย่าแปลกใจว่า ทำไมเขาถึงยอมกลืนน้ำลาย ยอมกลืนเลือด หวนกลับมารับตำแหน่ง “ที่ปรึกษานายกฯ อิ๊งค์” และพร้อมจะใช้ความเป็นเลิศด้าน “ฝีปาก” ที่ตนเองชำนิชำนาญอธิบายเรื่องดังกล่าว
“จำได้ว่าตัวเองเคยพูดอะไรไว้เมื่อปีที่แล้ว แต่ตำแหน่งนี้ไม่ได้มีอำนาจ ไม่มีค่าตอบแทน มีแค่ให้ข้อคิดเห็นในประเด็นที่นายกฯ มอบหมาย ไม่ใช่ตำแหน่งทางการเมือง ยอมกลืนเลือด กลืนทุกอย่าง แต่มันมาพร้อมกับการเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเป็นจริงทางการเมือง ผมมีเหตุผลของตัวเอง จึงตัดสินใจในสถาการณ์เช่นนี้ และไม่ต้องการปิดบังกับประชาชน”ทั่นเต้นชี้แจงหลังถูกถล่มอย่างหนัก
กล่าวสำหรับรอบนี้ “เสี่ยเต้น” ถูกเรียกใช้บริการจาก “นายกฯ อิ๊งค์” เป็นกรณีพิเศษ หลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจนทำท่าจะ “เอาไม่อยู่” ซึ่งว่ากันว่า ต้องการใช้ฝีปากของ “เสี่ยเต้น” มาช่วยแก้ไขสถานการณ์ โดยเฉพาะจาก “ตู่-จตุพร” ที่จ้องตามล้างตามเช็ด และพร้อมจะนำมวลชนเคลื่อนไหว
ขณะที่เมื่อตัดภาพกลับไปยัง “ตู่-จตุพร” อดีตประธาน นปช. ก็เห็นได้ชัดว่า ไม่เป็นที่โปรดปราดของนายใหญ่คนเสื้อแดง ไม่ได้รับการอวยยศตอบแทนประการใด ถ้าจะใช้คำว่า “ถูกถีบออกมาจากวงโคจร” ก็คงไม่เกินเลยไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก
ทั้งนี้ จตุพรประกาศตัดความสัมพันธ์ 30 ปีกับ “ทักษิณ ชินวัตร” ในช่วงปี 2565 จากนั้นหันหลังให้พรรคเพื่อไทย และเดินหน้าจัดตั้งกลุ่มการเมืองในนาม “คณะหลอมรวมประชาชน” ร่วมกับ “ทนายนกเขา-นิติธร ล้ำเหลือ” โดยได้มีการวิเคราะห์และวิพากษ์วิจารณ์การเมืองอย่างเผ็ดร้อน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน รวมถึงวิพากษ์ “ทักษิณ ชินวัตร” อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
ปมสำคัญที่ทำให้นายจตุพรแตกหักกับทักษิณน่าจะมีที่มาจากหลายเรื่อง แต่ว่ากันว่าจุดเริ่มต้นมาจากการที่นายจตุพรไปช่วยเหลือนายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ หาเสียงเลือกตั้งนายกอบจ.เชียงใหม่ ขณะที่นายทักษิณสนับสนุนนายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร หรืออดีต ส.ว.ก๊อง ส่วนจะมีเรื่อง “เงินๆ ทองๆ” มาเกี่ยวข้องหรือไม่ ไม่ทราบได้
ก่อนที่ฟางเส้นสุดท้ายจะขาด จากการที่นายทักษิณหยามนายจุตพรว่า “เป็นหมา” ทำให้นายจตุพรเดินหน้าเอาคืนนายทักษิณแบบทบต้นทบดอกอย่างที่เห็นและเป็นอยู่ในขณะนี้
“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ถ้าคิดว่า ผมนึกถึงแต่ผลประโยชน์แล้วผมจะอยู่กับท่านได้อย่างไร เพราะท่านทรยศหักหลังผมตลอดเวลา โกหกกับผมซ้ำซาก โกหกแล้วโกหกไป แล้วโกหกใหม่ซ้ำกันไปซ้ำกันมา ผมนี่ต้องไปก่อนการยึดอำนาจ เพราะว่าหักกันเรื่องสุดซอย เรื่องส่วนตัวก็โกหก เรื่องสุดซอยนี่ก็หัก และทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้อตกลง ไม่ว่าเรื่อง ICC (ลงนามรับรองศาลอาญาระหว่างประเทศ) เรื่องรัฐธรรมนูญ และรวมกระทั่งว่าไปกระทำนอกเหนือ คือ การทุจริตคอร์รัปชัน
“ผมก็กล้ำกลืน เพราะต้องการรักษาความรู้สึกของพี่น้องเสื้อแดง เพราะเขาตาย เขาเจ็บ และหลังการสลายชุมนุม ผมก็ตระเวนทุกพื้นที่ท่ามกลางความตายเต็มแล้ว นายกฯ ทักษิณ ก็เสนอให้ผมหนี แต่ผมไม่เลือกทางหนี เวลาขณะนั้นทั้งคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย ตกต่ำที่สุดแล้ว แต่เราก็พากันพลิกฟื้น แลกชีวิตกันตลอดเส้นทางนั้น ถ้าผมต้องการจะเอาตัวรอด ก็ต้องเอาตัวรอดได้ แต่ทำไมผมจึงลุกขึ้นสู้ต่อ”ตู่-จตุพรแฉเป็นฉากๆ หลังการแตกหัก
สำหรับการที่นายกฯ อิ๊งค์แต่งตั้ง “เต้น-ณัฐวุฒิ” เป็นที่ปรึกษา “ตู่-จตุพรวิพากษ์วิจารณ์อย่างแสบสันต์ว่า มาจากการตัดสินใจบนพื้นฐานแห่งความเท็จ ไม่มีใครมาบังคับให้กลืนเลือด แบบนี้เรียกว่าดับเบิลตระบัดสัตย์ ไม่เคยเจอยุคไหนเท่ายุคนี้มาก่อน
“ผมเห็นว่า การตั้งบุคคลไม่อาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ใดๆ ได้ แต่สิ่งที่ได้กลับคือการเสียคน แต่พวกติ่งรัฐบาลกล่าวหาว่าผมอิจฉา จะเล่าให้ฟังให้หายบ้าว่า ผมหันหลังให้เพื่อไทย แยกทางทักษิณ (ชินวัตร) เบ็ดเสร็จเด็ดขาด จะไปอิจฉาเขาได้เป็นอะไรทำไม ทั้งที่เขาผิดคำพูด ยอมกลืนเลือด กลืนทุกอย่าง แล้วมีอะไรที่น่าอิจฉาบ้าง นอกจากความสมเพชเวทนา”
ที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นก็คือ หลังจากที่ออกมาเปิดศึกกับ “นายกฯ อิ๊งค์” บรรดา “ติ่งเพื่อไทย” จำพวก “นายแบก นางแบก” ก็เปิดปฏิบัติการดิสเครดิต อย่างหนักด้วยข้อหา “อมเงิน” ในช่วงการชุมนุมของคนเสื้อแดง
ทั้งนี้ “ตู่-จตุพร” ได้ฟาดกลับไปว่า นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นแกนนำ นปช.มีหน้าที่ดูแลเงินบริจาคม็อบปี 52-53 ส่วนมีใครอมเงิน 42 ล้านหรือไม่ ควรออกมาอธิบายข้อเท็จจริง
“ถึงวันนี้พวกติ่งเพื่อไทยไปขุดเรื่องราวเมื่อปี 2553 ที่ผ่านมาร่วม 14 ปี แล้วแต่งเสริมเป็นนิยายว่า ผมเอาเงิน 42 ล้านไป ซึ่งผมหวังให้นายณัฐวุฒิ คนดูแลเงินได้ชี้แจงติ่งเพื่อไทยให้รับรู้ เพราะผมไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเงินบริจาคด้วย ผมบอกได้เลยว่า คนมีหน้าที่ดูแลเรื่องเงินบริจาคคือ ณัฐวุฒิ ไม่ใช่ผมและพี่วีระ(วีระกานต์ มุสิกพงศ์)”
ไม่เพียงแต่นายจตุพรเท่านั้น หากแต่อดีตแกนนำ นปช.อย่าง “ป้าธิดา-นางธิดา ถาวรเศรษฐ์” และ “หมอเหวง-นพ.เหวง โตจิรากร” ก็ออกมากระซวก “ทั่นเต้น” อย่างหมดไส้หมดพุงเช่นกัน
นพ.เหวงฟาดเปรี้ยงลงไปว่า การยอมกลืนน้ำลาย กลืนเลือดนั้น คือกลืนน้ำลายเหม็นๆ ในปากของนายณัฐวุฒิหรือ พูดเหมือนตนเองเป็นผู้เสียสละ ยอมถูกตรึงกางเขน ที่บอกว่ากลืนเลือด วันนี้พรรคเพื่อไทยขมขื่นอะไร ซึ่งแท้ที่จริงหาช่องทางกลับมาเป็นนักการเมือง กลับมาทำงานในพรรคเพื่อไทยแค่นั้นเอง
“ต้องบอกว่า นายณัฐวุฒิพฤติกรรมตระบัดสัตย์ ไม่อยากบอกว่ากะล่อน ที่สำคัญ นายณัฐวุฒิไม่จริงใจทั้งที่สามารถผลักดันให้หาตัวคนอยู่เบื้องหลังเสื้อแดง 99 ศพ ที่จะเอาคนผิดมาลงโทษทั้งที่มีโอกาสหลายครั้ง ประชาชนวันนี้ไม่เหมือนเดิม ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมือง ทหาร ตุลาการ เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง”นพ.เหวง กล่าว
ด้านนางธิดากล่าวว่า ไม่เป็นเรื่องแปลก เพราะเขามีความฝัน หวังที่จะเป็นนักการเมือง รัฐมนตรี และก่อนหน้านี้นายณัฐวุฒิก็เคยไปจดทะเบียนพรรคเส้นทางใหม่แล้ว แต่สุดท้ายก็กลับมาเป็นผอ.พรรคเพื่อไทย ดังนั้น เส้นทางการเมืองตามที่ฝัน ก็คือเลือกพรรคเพื่อไทย
อย่างไรก็ตาม ภาพที่นายณัฐวุฒิเคยเป็นแกนนำแนวร่วมต่อสู้เผด็จการ ซึ่งเคยเป็นฮีโร่ในดวงใจของคนรักประชาธิปไตยแบบ นปช. ซึ่งประเมินว่ามีไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน นายณัฐวุฒิทำให้คนเหล่านี้ผิดหวัง
ขณะที่ “นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร” สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ก็โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงการรับตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมตรีของนายณัฐวุฒิว่า “มาวันนี้ พี่เต้นหมดความชอบธรรมแล้วครับ” และ “เลือดที่คุณกลืนเข้าไป มันไม่ใช่แค่เลือดธรรมดา แต่มันคือเลือดของคนเสื้อแดงที่ยืนเคียงข้างคุณอย่างไม่ลังเล”
งานนี้ คงต้องติดตามกันต่อไปว่า ศึกยกนี้จะดำเนินไปในรูปลักษณ์ไหน “เสี่ยเต้น” จะสามารถปกป้อง “ลูกสาวนายใหญ่” ได้สมราคาคุย หรือจะยิ่งกลายเป็น “ตำบลกระสุนตก” ที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายไปกว่าเก่า ขณะที่ “ตู่-จตุพร” ที่รู้เช่นเห็นชาติกันมานานจะเขย่าบัลลังก์สางแค้นได้สำเร็จได้มากน้อยแค่ไหน
โปรดติดตามอย่างไม่กระพริบตา.