xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ล้วงสัมพันธ์ “เน-หนู-นาย” จะรัก-จะชังก็ผลประโยชน์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ตามประสา “กำแพงมีหู ประตูมีตา” มีหรือที่ “หมายลับ” ระดับบิ๊กแมตซ์ อย่างวงดินเนอร์ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ระหว่าง “นายใหญ่เพื่อไทย” ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะเจ้าบ้าน กับ “นายใหญ่ภูมิใจไทย” เนวิน ชิดชอบ ผู้มาเยือน จะปิดกันมิด

ข่าวรั่วเม้ามอยออกมาถึงหูสื่อ ทำเอา “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่รับบทโปรโมเตอร์ ถึงกับไปไม่เป็น งัดลีลาบ่ายเบี่ยงตอบคำถามสื่อมวลชนอยู่เป็นวัน

รับกับท่าทีของคีย์แมนรัฐบาลที่ต่างก็ให้การภาคเสธ ไม่รู้ไม่เห็น โดยเฉพาะ “นายกฯ อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร อ้างแค่ว่า อยู่คนละบ้านกับพ่อ และวันนั้นก็ไปภารกิจอื่น

กระทั่งข่าวหนาหูหนัก “อนุทิน” ต้องออกมา “รับสารภาพ” ว่า “ทักษิณ-เนวิน” พบปะพูดคุยกันจริง โดยตัวเองเป็นคนชักชวน “พี่เน” ไปในวันนั้น

“ผมก็ไปทานข้าวเย็นที่บ้านนายกฯ ทักษิณเป็นประจำอยู่แล้ว … ผมเป็นคนชวน (นายเนวิน) ไปเอง จบนะ ไม่ต้องถามอะไรต่อ เพราะเรื่องกินข้าวเป็นเรื่องส่วนตัวเป็นเรื่องภายใน เบิร์ธเดย์บอย…” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ว่าไว้ด้วยท่าทีขัดเขินเล็กน้อย

โดยคำว่า “เบิร์ธเดย์บอย” หรือเป็นภาษาอังกฤษว่า Birthday Boy ก็หมายถึง “เนวิน” ประธานบริหารสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่เพิ่งผ่านวันคล้ายวันเกิดครบ 66 ปีไปเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยมีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ที่ จ.บุรีรัมย์ เช่นทุกปี

ส่วนวันที่คู่หู “เน-หนู” มุดถ้ำจันทร์ส่องหล้า ก็คือให้หลัง 2 วัน หรือช่วงค่ำวันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม 2567 ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งวันที่ประวัติศาสตร์การเมืองไทยจำต้องบันทึกไว้ ด้วยมีนัยสำคัญยิ่ง

ที่น่าสนใจก็คือหลังจำนนต่อหลักฐานด้วยประการทั้งปวงว่า “ทักษิณ-เนวิน” พบปะกันจริง วลีอมตะ “มันจบแล้วครับนาย” รวมทั้งคลิปสัมภาษณ์หลายวาระของ “เนวิน” ที่กล่าวถึง “ทักษิณ” ในทางลบ ครั้ง “แตกหัก” นำพรรคภูมิใจไทยไปร่วมจัดตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อปี 2552 ก็ถูกขุดขึ้นมาขยี้ปมความสัมพันธ์ของทั้งคู่อย่างไม่หยุดหย่อน
รวมทั้งยังมีการวิเคราะห์ไปถึง “ประเด็น” ที่ทำให้ทั้งคู่ “จำเป็น” ต้องรียูเนียนกลับมาพบกัน ทั้งที่ “หมางใจ” ถึงขั้นผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ ไปต่างๆนานา

แน่นอนว่า หลักใหญ่ใจความไม่พ้นความเป็นไปของ “รัฐบาลแพทองธาร” ที่มีลูกสาวสุดเลิฟของ “ทักษิณ” เป็นผู้นำ และมี “ค่ายเซราะกราว” พรรคภูมิใจไทย เป็นพรรคร่วมรัฐบาลสำคัญ แต่รายละเอียดปลีกย่อยต่างหากที่หลายคนให้ความสนใจ

 เนวิน ชิดชอบ
เพราะที่ผ่านมาแม้ “ทักษิณ-เนวิน” จะไม่มีการติดต่อกันโดยตรง แต่เมื่อพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย มาร่วมรัฐบาลกัน ก็เชื่อว่ามีการประสานงานกันโดยอ้อม ผ่าน “อนุทิน” รวมถึง “ลูกนก” ไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ลูกชายหัวแก้วของ “เนวิน” ที่มักติดสอย “หัวหน้าหนู” เข้าไปที่บ้านจันทร์ส่องหล้าอยู่แล้ว

ขณะที่ความสัมพันธ์ของ “ทักษิณ-เนวิน” ถูกเว้นระยะห่างไว้พอสมควร เนื่องจาก “เนวิน” ถูกแบล็กลิสต์จาก “นายใหญ่เพื่อไทย” ระดับเด็ดขาด เพราะถือเป็นลูกน้องที่หักหลังแรงที่สุด หากเปิดทางให้เข้าหา ก็อาจจะเป็นตัวอย่างให้ลิ่วล้อคนอื่นกล้าหักหลังอีกในอนาคต

ฝั่ง “เนวิน” เองหลังแยกตัวจาก “ทักษิณ” เมื่อปี 2552 ก็ตัวเองขึ้นเป็นระดับสั่งการเต็มตัว โดยไม่ต้องลงสนาทเล่นการเมืองด้วยตัวเอง และถือว่า ติดลมบน จนไม่ได้อยากกลับไปเป็นลิ่วล้อ-ลูกน้องใครอีก

แต่ด้วยสถานการณ์บังคับที่ “ครูใหญ่” ดัน “น้องหนู” ไม่ถึงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี พร้อมกับทิศทางลมการเมืองที่เปลี่ยนไปอยู่ในมือ “ทักษิณ” ทำให้พรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล โดยพรรคภูมิใจไทยเป็นได้แค่พระรอง ก็จำเป็นที่ต้องพยายามหาทางจูนความสัมพันธ์

หากจำกันได้ ก่อน “ทักษิณ” จะเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 วันเดียวที่ “นายกฯ นิด” เศรษฐา ทวีสิน ได้รับการโหวตเลือกจากรัฐสภาให้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เป็น “เนวิน” ที่โผล่ไปแสดงตัวทำทีเป็นจัดแจงสถานที่รอรับ “ทักษิณ” กลับบ้าน ซึ่งในทางการเมืองตีเว่า เป็นส่งสัญญาณ “หมอบ” ให้กับอดีตเจ้านาย ที่จะกลับมีอำนาจอีกครั้ง

ทว่า ตลอดปีกว่า ที่ “ทักษิณ” อยู่ในประเทศไทย ทั้งกว่า 6 เดือนที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ หรือหลายเดือนมานี้ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า “เนวิน” ก็ไม่เคยได้ไฟเขียวให้เข้าพบแต่อย่างใด

แม้แต่งานฉลองวันคล้านวันเกิด “ทักษิณ” ครบ 75 ปี ที่จัดที่โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ ซ.รางน้ำ กทม. ที่เป็นทั้งเซฟเฮ้าส์-วอร์รูม ของ “เนวิน” ใน กทม. ก็ยังไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงาน

อย่างไรก็ดี แม้ความรู้สึกจะไม่เหมือนเดิม และมีระยะห่างกันอยู่ แต่ถ้าติดตามข่าวสารทางการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง จะพบความจริงประการสำคัญว่า “ทักษิณ-เนวิน” มีความถ้อยทีถ้อยอาศัย ไม่ได้หักหาญน้ำใจ หรือคิดจะเช็กบิลเอาคืนอย่างที่เคยมีคนคาดการณ์ไว้

ด้วยเพราะเซียนการเมืองระดับ “ทักษิณ” รู้ดีว่ายังจำเป็นที่จะต้องใช้เสียง สส.ของพรรคภูมิใจไทย ในฐานะพรรคอันดับ 2 ในรัฐบาล เพื่อค้ำยัน “รัฐนาวาลูกสาว” รวมทั้งลึกๆ แล้วก็รู้ฝีไม้ลายมือ “เนวิน” อดีตสมุนคู่ใจดีว่า ไม่ควรไปชวนทะเลาะด้วย และเผื่อไว้ในอนาคตต้องไหว้วานใช้งานแบบที่คนอื่นทำไม่ได้

โดยช่วงต้นรัฐบาลเศรษฐา เคยเกิดปัญหาที่กระทรวงมหาดไทย ที่มี “อนุทิน” เป็นเจ้ากระทรวง พร้อมด้วย 2 รัฐมนตรีช่วยจากพรรคภูมิใจไทย โดยมี “เฮียเกรียง” เกรียง กัลป์ตินันท์ จากพรรคเพื่อไทย ร่วมเป็นรัฐมนตรีช่วยอีกคน

เรื่องของเรื่องคือ ปรากฏว่า “อนุทิน” ภายใต้การบัญชาการของ “เนวิน” จัดการออกคำสั่งรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ ให้ “เกรียง” ดูแลแค่ “กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)” ที่แม้เป็นกรมใหญ่งบประมาณเยอะ แต่ไม่ทันไรก็ส่ง “ไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์” ที่ขณะนั้นเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ สายตรง “เนวิน” เหาะลงมานั่งเป็นอธิบดี ปภ. โดยไม่ถาม “เกรียง” สักคำ

ความไปถึง “ทักษิณ” ในเชิงพรรคภูมิใจไทยไม่ให้เกียรติกัน และยังถูกกีดกันเรื่องงบประมาณ และการแต่งตั้งข้าราชการ ปรากฎแทนที่ “นายใหญ่เพื่อไทย” จะเป็นแบ็กให้ “เกรียง” กลับติดเบรกไม่ให้สร้างปัญหา และรับปากจะเคลียร์กับทางพรรคภูมิใจไทยให้

ปรากฏเคลียร์จบ “เกรียง” ดันขาดทุนหนักไปอีก จากดูแลกรมใหญ่อย่าง ปภ. งบจัดซื้อจัดจ้างอู้ฟู่ ต้องสลับไปดู “กรมการพัฒนาชุมชน (พช.)” ที่เนื้องาน-งบประมาณเทียบกันไม่ติด และก็ต้องอยู่เงียบๆ จนโดนปรับออกจากคณะรัฐมนตรีในที่สุด

หรือในการแต่งตั้งโยกย้ายเที่ยวนี้ “ค่ายสีน้ำเงิน” ก็หยิบชิ้นปลามันได้เก้าอี้ตัวสำคัญไปครองมากมาย อาทิ นายไชยวัฒน์ อดีตผู้ว่าราชการ จังหวัดบุรีรัมย์ คนรู้ใจนายเนวินที่เดินทางไปร่วมอวยพรวันเกิดด้วยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และจะเกษียณปีหน้า 2568 โยกจากอธิบดี ปภ. ไปเป็นอธิบดีกรมการปกครอง หลังนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ขึ้นไปเป็นปลัด มท. โดยมีภารกิจสำคัญ อาทิ การเตรียมการเลือกตั้งนายก อบจ.และ สจ.ในหลายจังหวัดทั่วประเทศปีหน้า

ส่วนนายนฤชา ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์คนปัจจุบัน น้องรักนายเนวิน ก็ผงาดเป็นอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น คุมงบท้องถิ่นนับแสนล้านบาทแต่ละปี เป็นต้น

พาลไปถึงประเด็น “กัญชา” ที่ครั้ง “เศรษฐา” เป็นนายกรัฐมนตรี ประกาศเสียงดังว่า จะนำกลับเข้าบัญชียาเสพติด ซึ่งกระทบกับนโยบายเรือธงของพรรคภูมิใจไทย ที่ก้มหน้าก้มตาลุยมาตั้งแต่ “รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เมื่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะปรับเปลี่ยนก็กลายเป็นปัญหาในรัฐบาล

อนุทิน ชาญวีรกูล
กระทั่งเกิด “ปฏิญญาเขาใหญ่” เมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 ที่ “ทักษิณ” พร้อม “ลูกอิ๊งค์” ที่ขณะนั้นยังไม่รู้ตัวว่าต้องมารับตำแหน่งใหญ่เร็วกว่าที่คิด และครอบครัว เดินทางไปพักผ่อนออกรอบตีกอล์ฟที่สนามกอล์ฟแรนโชชาญวีร์ ที่เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นโรงแรมของ “อนุทิน” หลังวันนั้นก็เป็นจังหวะพอดีกับที่ “รัฐบาลเศรษฐา” ปรับลดเกียร์เรื่องกัญชา โดยเตรียมออกเป็นกฎหมายควบคุมการใช้กัญชา-กัญชง ตามแนวทางของพรรคภูมิใจไทย

ที่น่าสนใจคือ “ปฏิญญาเขาใหญ่” ครั้งนั้น ช่างบังเอิญอย่างร้ายกาจที่เกิดไล่เลี่ยกับการที่ “ค่ายสีน้ำเงิน” รุกคืบไปคุม “สภาสูง” วุฒิสภา ได้อย่างเหนือชั้น แบบที่ “นายใหญ่บ้านจันทร์” ต้องเฉ่งลูกน้องที่ไม่ทันเกม “ครูใหญ่เซราะกราว” ไปหลายยก

ครั้งนั้นเองที่เริ่มมีการกระแซะให้เกิดบิ๊กแมตซ์พบกันระหว่าง “ทักษิณ-เนวิน” ซึ่งเป็นเพียงข่าวลือมาตลอดเกือบ 1 ปีที่ฝ่ายแรกกลับมาอยู่ในประเทศไทย

จนเมื่อการจัดทัพใน “สภาสูง” เรียบร้อยโรงเรียนสีน้ำเงินทั้งประธาน-รองประธาน สว. รวมไปถึงประธานคณะกรรมาธิการเกือบทั้งหมด และไม่ทันไร “สว.สีน้ำเงิน” ที่เปิดหัวทำงานมาไม่นานโชว์อิทธิฤทธิ์ขวางการแก้รัฐธรรมนูญ ผ่านการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติประชามติ ที่ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว จนทำให้โรดแมปแก้รัฐธรรมนูญ ที่เป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล จะเป็นหมันในช่วงรัฐบาลชุดนี้

สอดรับกับที่พรรคภูมิใจไทย งัดลูกไม้เทพรรคเพื่อไทยกลางทาง ในเกมการเสนอแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา จนต้องตีธงถอยแบบไม่มีทรงอย่างที่เห็นและเป็นอยู่

เมื่อ “ขั้วสีน้ำเงิน” ออกฤทธิ์เดชให้เห็น ก็เลยมีการจัดแจงนัดเพื่อขอ “เช็ก” กับ “เนวิน” เพื่อถามความชัดเจนในหลายเรื่อง โดยเฉพาะการสนับสนุน “ลูกอิ๊งค์” โดยยืนยันว่าจะคุยเฉพาะเรื่องปัจจุบันกับอนาคต ไม่รื้อฟื้นอดีตที่เคยผูกใจเจ็บอยู่

แน่นอนว่า บรรยากาศการพูดคุยของคนที่ยังจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยกัน ยึดโยงกันด้วย “ผลประโยชน์” ย่อมออกมาชื่นมื่นตามสภาพ

ไม่ว่าจะเป็นประเด็น “นายกฯ คนละครึ่ง” ที่ฝ่าย “เนวิน-อนุทิน” ยืนกรานว่า ไม่คิดจะแย่งเก้าอี้ “น้องอิ๊งค์” อย่างที่หลายฝ่ายหวาดระแวงแทน ทั้งที่ในวันคล้ายวันเกิด “เนวิน” ก็จงใจเรียก “นายกฯ หนู” เสียงดังกลางพิธีเพื่อให้มาถึงหู “ทักษิณ”

รวมไปถึงประเด็นที่ลือเลื่องว่า จะเป็นประเด็นแตกหักระหว่างพรรคเพื่อไทย-ภูมิใจไทย กรณีนโยบายเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่ว่ากันว่า 6 ตั๋วกาสิโน หรือใบอนุญาตตั้งบ่อนกาสิโนถูกจับจองครบหมดแล้ว โดย “ขาใหญ่เซราะกราว” ไม่มีเอี่ยว จนพรรคภูมิใจไทยออกท่าชัดเจนว่า ไม่เอาด้วย ซึ่งก็มีการเคลียร์กันถึงแนวทางที่ไม่ตรงกันในวันนั้นด้วย

ทักษิณ ชินวัตร
ตลอดจนแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ดูเหมือน “ค่ายเซราะกราว” จะขวางสุดลิ่ม ด้วยยังอยากใช้กติกาเลือกตั้งปัจจุบัน และคงเสียดาย “สว.สีน้ำเงิน” ที่อุตส่าห์ปั้นขึ้นมาได้ขนาดนี้ รวมทั้งสถานการณ์ทางการเมือง ที่เริ่มมีบรรยากาศอึมครืมกับกระแสปลุกม็อบลงท้องถนนขับไล่รัฐบาล ที่ต้องยอมรับว่า “เนวิน” ก็ถือเป็นกระบี่มือหนึ่งในด้านนี้

และแน่นอน “ตัวทอปการเมือง” คุยกันย่อมหนีไม่พ้นแนวทางการเมืองในอนาคต ซึ่งกลายเป็นว่า สถานการณ์นำพาให้ทุกพรรคที่เคยต่างขั้วมารวมกันในฝ่ายเดียวเพื่อสู้กับ “ค่ายส้ม” พรรคประชาชน ในปัจจุบัน

ที่สำคัญคือตัว “ทักษิณ” เองก็ยังคิดว่าต้องยึดแนวทาง “บ้านใหญ่” เพื่อสู้กับกระแส “ค่ายส้ม” ซึ่งก็ตรงกับแนวทางที่ “เนวิน” ปั้นพรรคภูมิใจไทยตั้งแต่ต้นมาจนถึงปัจจุบัน และเมื่อหันซ้ายหันขวาในทางการเมือง ก็ไม่มีใครที่พอจะหยิบจับมางัดกับ “ค่ายส้ม” ได้ ก็อาจจะต้องพึ่งกันเอง

จนดูเหมือนการพบปะกันของ “ทักษิณ-เนวิน” ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องโรแมนติก จูบปากหวนกลับมาคืนดีกัน เพราะล้วนแล้วแต่มีประเด็นยึดโยงกันที่ “ผลประโยชน์” ของแต่ละฝ่าย และสำคัญที่สลัด “ความหวาดระแวง” กันไม่หลุด

ตามประสานักการเมืองที่หากหมดประโยชน์ก็พร้อมจะทางใครทางมัน.


กำลังโหลดความคิดเห็น