xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

วิวัฒนาการระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของสวีเดน (9): การลดน้อยถดถอยของอำนาจและบทบาทของ ting และการเคลื่อนไปสู่การมีส่วนร่วมในสภาระดับรัฐ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร 


 ความโดดเด่นประการหนึ่ง ในพัฒนาการทางการเมืองการปกครองของสวีเดน นั่นคือ สวีเดนเป็นประเทศเดียวในยุโรปที่ชาวนาไม่เคยตกเป็นทาสติดที่ดิน (serfdom) ชาวนาสวีเดนจะเป็นชาวนาเสรีมาโดยตลอด อีกทั้งชาวนายังมีสิทธิ์ในการเลือกกษัตริย์ด้วย โดยการมารวมตัวกันประชุม ซึ่งที่ประชุมที่ว่านี้มีคำเรียกในภาษาสวีดิชว่า ting ดังที่ได้กล่าวไปบ้างในตอนก่อนๆ และจะขอกล่าวเพิ่มเติมถึงสิทธิ์ของชาวนาสวีเดนต่อไปในตอนนี้

สิทธิ์อำนาจของชุมชนชาวนาสวีเดนตามจารีตประเพณีและกฎหมายมีดังนี้คือ

 หนึ่ง สิทธิ์อำนาจในการตั้งผู้แทนเพื่อทำหน้าที่ทางตุลาการของชุมชนโดยการทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้พิพากษา (co-judges) โดยที่มิจำเป็นต้องเป็นอภิชนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญกฎหมายเป็นการเฉพาะ ผ่านการทำหน้าที่ในคณะกรรมการ (Nämnd) ที่เป็นคณะลูกขุนที่เป็นตัวแทนจากชุมชนจำนวนสิบสองคน รวมถึงการทำหน้าที่เป็นผู้สำรวจที่ดิน (Surveyors) ในกรณีที่มีข้อพิพาทในเรื่องที่ดินหรือดินแดนกับชุมชนข้างเคียง

สิทธิ์ดังกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นว่าชาวนาสวีเดนมีความเข้มแข็งและเป็นพลังทางสังคมที่เข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองโดยเฉพาะในระดับท้องถิ่นอย่างแข็งขัน

 ดังที่มีผู้อธิบายว่า หากเปรียบเทียบกับชาวนาในที่อื่น ๆ ของยุโรป ถือว่าชาวนาของสวีเดนมีเสรีภาพและอิสรภาพมากกว่าอย่างชัดเจน ชาวนาส่วนใหญ่ของสวีเดนถือครองที่ดินเป็นของตนเอง ส่วนพวกที่อาศัยอยู่ในที่ดินของอภิชนหรือของศาสนจักรก็ไม่ได้มีสถานะเป็นไพร่ทาสของใคร ทั้งหมดนี้จึงทำให้กษัตริย์ ศาสนจักร และอภิชนไม่สามารถควบคุมเหนือกลไกในการใช้อำนาจตามกฎหมายอย่างเบ็ดเสร็จได้โดยง่าย 

คำกล่าวในข้างต้นสะท้อนว่าชาวนาสวีเดนในสมัยกลางเข้ามามีส่วนร่วมในอำนาจทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในด้านตุลาการ เพราะสวีเดนในยุคกลาง อำนาจตุลาการถูกใช้โดยที่ประชุมของสภาการปกครองหรือที่เรียกว่า ting อันเป็นการรวมตัวกันของผู้พิพากษาที่ได้รับการคัดเลือกจากประชาชนจำนวนร้อยคน โดยมีประธานที่ประชุมเป็นผู้อ่านคำพิพากษาในนามของประชาชน โดยประธานที่ประชุมยังทำงานร่วมกับคณะกรรมการสิบสองคน (Nämnd) ซึ่งโดยมากเป็นชาวนาธรรมดาทั่วไปและใช้เสียงข้างมากในการตัดสินวินิจฉัยข้อพิพาทต่าง ๆ ซึ่งจะแตกต่างจากกรณีของอังกฤษที่ต้องได้รับเสียงเป็นเอกฉันท์

 จนกระทั่งมีการกล่าวว่าคณะกรรมการสิบสองคน (Nämnd) หรือคณะลูกขุนในชุมชนชาวนาสวีเดน มีความเป็น “ประชาธิปไตย” อย่างมากหากเปรียบเทียบกับที่อื่น เนื่องจากคณะลูกขุนเป็นคนธรรมดาของแต่ละชุมชนอย่างแท้จริง 

อาจกล่าวได้ว่า ในกรณีของสวีเดน มหาชนที่เป็นชาวนาเป็นพลังทางสังคมที่เป็นจริงและเข้ามามีส่วนร่วมในการใช้อำนาจทางการเมืองโดยเฉพาะในระดับท้องถิ่นตั้งแต่สมัยกลางแล้ว สิ่งนี้จึงเป็นเหตุผลที่ช่วยอธิบายว่าเหตุใดในเวลาต่อมาในศตวรรษที่ 16-17 ชาวนาของสวีเดนจึงเป็นหนึ่งในสี่ฐานันดรของสภาฐานันดร (Riksdag) ที่เป็นสถาบันการเมืองระดับรัฐ แม้ว่าพลังของมวลชนชาวนาในศตวรรษที่ 17 เมื่อเปรียบเทียบกับตอนสมัยกลางจะถดถอยลงไปอย่างมาก อันเป็นผลของบริบทของการที่รัฐสวีเดนเข้าสู่สงครามและทำให้พลังอภิชนเติบโตขึ้นแทน
อย่างไรก็ดี เมื่อเข้าสู่ปลายยุคกลาง สิทธิ์อำนาจในนามของชุมชนดังกล่าวโดยเฉพาะในมิติด้านตุลาการได้ถูกลดทอนอันเนื่องจากอัตราการเติบโตของการรู้หนังสือ ซึ่งส่งผลให้เกิดการขยายอำนาจของกษัตริย์และอภิชนผู้รู้หนังสือในการใช้อำนาจตุลาการแทน
 สอง  สิทธิ์อำนาจในกระบวนการตรากฎหมาย ในกฎหมายของแคว้น Uppland ระบุว่ากษัตริย์มีอำนาจแค่เพียง “ยืนยัน” ร่างกฎหมายเท่านั้น แม้ว่าต่อมา เมื่อเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ อำนาจในทางนิติบัญญัติดังกล่าวจะเหวี่ยงกลับมาอยู่ในมือกษัตริย์สวีเดนมากขึ้นตามลำดับ แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้ว่าในยุคกลาง ชาวนาส่วนใหญ่มีส่วนสำคัญในกระบวนการนิติบัญญัติของสวีเดน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้บริบทของการขึ้นครองราชย์ของยุวกษัตริย์ Magnus Eriksson ที่มีสภาที่ปรึกษาแห่งแผ่นดิน (Council of the Realm) อนุมัติคำขอแก้ไขกฎหมายของแคว้น Sodermanland โดยอภิชนชั้นสูงที่มีความรู้ในทางกฎหมาย ที่อ้างว่าเป็นตัวแทนของมหาชนในแคว้นที่ได้มอบฉันทานุมัติ รวมถึงการอ้างหลักการ quod omnes tangit (สิ่งใดเกี่ยวข้องกับทุกคนจะต้องได้รับการเห็นชอบจากทุกคนเช่นกัน) ในการแก้ไขกฎหมาย ซึ่งผลลัพธ์ที่ตามมาจากการที่กลุ่มอภิชนอ้างมหาชนเพื่อดึงอำนาจในการตรากฎหมายมาจากกษัตริย์ คือการขับเน้นความสำคัญในอำนาจนิติบัญญัติของคนส่วนใหญ่ในนามของชุมชน

นอกจากนี้ คำสัตย์ปฏิญาณของยุวกษัตริย์ดังกล่าวยังระบุเน้นสิทธิ์อำนาจในทางนิติบัญญัติของมหาชน จากการระบุว่า “กษัตริย์จะต้องรักษา เสริมสร้าง และปกป้องกฎหมายดั้งเดิมทั้งปวงของสวีเดนที่บรรดาสามัญชนได้ให้การยอมรับผ่านเจตจำนงเสรีของพวกเขา และเป็นกฎหมายที่พวกเขาได้มอบฉันทานุมัติ เพื่อที่จะมิให้มีกฎหมายแปลกปลอมใดมาแทนที่กฎหมายที่แท้จริงได้”
กล่าวโดยทั่วไปคือ ในกรณีของสวีเดนอำนาจของมหาชนในทางนิติบัญญัติปรากฏในรูปของการที่มหาชนให้การยอมรับหรือให้ฉันทานุมัติในกระบวนการออกหรือตรากฎหมายใดใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายเกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีอากร เฉกเช่นเดียวกันกับคำอธิบายของ เซอร์จอห์น ฟอร์เตสคิว (Sir John Fortescue)  ในกรณีของอังกฤษ
และการให้ฉันทานุมัตินี้อาจพิจารณาได้สองรูปแบบ คือ แบบเชิงรุก (active) ผ่านการกระทำบางอย่าง เช่น ให้คนส่วนใหญ่แสดงความเห็นชอบ/ไม่เห็นชอบหรือลงคะแนนเสียง กับฉันทานุมัติในแบบนิ่งเฉย (passive) คือ การให้การยอมรับโดยนัยหรือโดยอ้อม นั่นคือ การนิ่งเฉยไม่คัดค้าน

ดังนั้น ฉันทานุมัติจากมหาชนในยุคกลางของสวีเดน จึงมิใช่การแสดงออกซึ่งอำนาจอธิปไตยปวงชนแบบสมัยใหม่ หากแต่เป็นการให้ความยินยอมพร้อมใจในลักษณะของการเพิ่มขั้นตอนบางอย่างในกระบวนการนิติบัญญัติ เพื่อจำกัดอำนาจของกษัตริย์มิให้มีลักษณะที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทำให้การอ้างมหาชนในทางนิติบัญญัติของสวีเดนไม่ได้เป็นเพียงการกล่าวในเชิงสัญลักษณ์ หรือเพื่อเป็นเครื่องมือบังหน้าของเหล่าอภิชน หากแต่หยั่งรากลงในสังคมสวีเดนในทางปฏิบัติด้วยเช่นกัน
สิทธิ์อำนาจในการเลือก (ตั้ง) ตัวแทนคณะลูกขุน พระในชุมชนท้องถิ่น และรวมถึงกษัตริย์สวีเดน กษัตริย์สวีเดนในยุคกลางมากจากการเลือกตั้งซึ่งจัดขึ้นที่ Mora ในแคว้น Uppland โดยตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งของมหาชนในแต่ละแคว้นหรือที่เรียกว่า lagman หรือผู้รู้กฎหมาย ซึ่งกฎหมายดั้งเดิมระบุว่าจะต้องเป็นบุตรของ “ชาวนา” ซึ่งมีนัยหมายถึงเป็นบุตรของเสรีชน แม้ว่าต่อมาอำนาจตัดสินใจดังกล่าวจะถูกถ่ายโอนไปอยู่ที่กษัตริย์ โดยที่ชุมชนมีหน้าที่เสนอชื่อให้พิจารณาแต่งตั้งแทนก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ผู้รู้กฎหมาย (lagman) ของแต่ละแคว้นจะเลือกคณะผู้เลือกตั้งที่  “ชาญฉลาด มากความสามารถ และได้รับความยินยอมจากผู้คนที่อยู่ในแว่นแคว้น”  จำนวน 12 คนให้ติดตามไปด้วยเพื่อออกเสียงเลือกตั้งกษัตริย์ หลังการเลือกตั้ง กษัตริย์ที่ได้รับเลือกจะเสด็จพระราชดำเนินไปทั่วสวีเดน (eriksgata) เพื่อให้สภาหรือ ting ของแต่ละแว่นแคว้นยืนยันผลการเลือกตั้งดังกล่าวอีกครั้งและเพื่อรับคำสัตย์ปฏิญาณจากสามัญชนชาวสวีเดนในแต่ละท้องถิ่นไปจนครบ

ดังนั้น ตามหลักการในทางทฤษฎี ชายคนใดในสวีเดนก็สามารถขึ้นเป็นกษัตริย์ได้ ในกรณีที่กษัตริย์พระองค์ก่อนไม่มีโอรส เพราะตามธรรมเนียมของสวีเดนแล้วจะเลือกตั้งจากบรรดาโอรสของกษัตริย์ก่อน แต่ในทางปฏิบัติกลับกลายเป็นว่า อภิชนผู้ใดก็ตามที่มีแรงสนับสนุนทางการเมืองเพียงพอคือผู้ที่จะได้รับการเลือกให้เป็นกษัตริย์ อันเป็นเหตุให้การผลัดแผ่นดินสวีเดนในยุคกลางเต็มไปด้วยความโกลาหลอย่างยิ่ง แม้กระนั้นก็ตาม การทำให้กระบวนการเลือกตั้งกษัตริย์กลายเป็นสิ่งจำเป็นและสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอย่อมเป็นตัวบ่งชี้ถึงอำนาจของมหาชนในนามของชุมชน และอำนาจของอภิชนได้เป็นอย่างดี
และจารีตการเลือกตั้งกษัตริย์ของสวีเดนนี้ดำเนินไปจนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1544 อันเป็นช่วงเวลาที่อำนาจของชาวนาสวีเดนลดน้อยถอยลงตามลำดับด้วยเช่นกัน แต่กระนั้น การเกิดขบถชาวนาในศตวรรษที่ 16 ย่อมเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า ชาวนาสวีเดนยังคงเป็นพลังทางสังคมที่มิอาจละเลยหรือมองข้ามได้
ในส่วนของการเลือกตั้งผู้นำศาสนาของชุมชน แม้ในบางชุมชนจะมีวิธีการที่แตกต่างกันออกไปบ้าง แต่กรณีส่วนใหญ่ล้วนอยู่ภายใต้กฎหมาย Dalarna (law of Dalecarlia) ที่กำหนดว่า หลังจากการสร้างโบสถ์หรือวิหารหนึ่ง ๆ ขึ้น ภายในหกเดือน ประชาชนในเขตสังฆมณฑลจะต้องส่งตัวแทนชุมชน 12 คนไปแจ้งพระสังฆราช เพื่อให้พิจารณาคุณสมบัติของบุคคลที่พวกเขาต้องการให้ทำหน้าที่เป็นพระประจำโบสถ์หรือวิหารของชุมชน

หากภายในหกเดือนยังไม่สามารถหาบุคคลที่คนส่วนใหญ่เลือกและมีคุณสมบัติครบถ้วนได้ พระสังฆราชจะมีอำนาจในการเลือกพระให้แก่ชุมชนนั้นเอง

แต่ในบางชุมชน คนส่วนใหญ่มีสิทธิ์ในการเลือกพระประจำโบสถ์ของพวกตนได้อย่างเต็มที่ แต่จะต้องได้รับเสียงอย่างเป็นเอกฉันท์ หากเสียงยังไม่เป็นเอกฉันท์ พระราชาคณะจะเสนอชื่อสามบุคคลซึ่งหนึ่งในนั้นจะต้องมีบุคคลที่เป็นที่ยอมรับของชุมชน เพื่อให้มหาชนตัดสินใจเลือกอีกครั้งหนึ่ง แต่หากยังไม่เป็นเอกฉันท์ เมื่อนั้นสิทธิ์ขาดในการกำหนดพระประจำโบสถ์จะตกเป็นของพระสังฆราชแทน

 จะเห็นได้ว่ามหาชนหรือชาวนาสวีเดนที่กระทำการในนามของ “ชุมชน” ซึ่งโดยมากเป็นการใช้อำนาจระดับท้องถิ่น คือพลังทางสังคม ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในกระบวนการเลือกตั้งตัวแทน พระ หรือแม้แต่กษัตริย์ และมีบทบาทอย่างมากเมื่อเทียบกับอำนาจและบทบาทของชาวนาของรัฐอื่น ๆ ในยุโรป 

ในตอนต่อไปจะได้กล่าวถึง บทบาทสำคัญทางการเมืองของชาวนาต่อการกอบกู้เสรีภาพของสวีเดนและการเกิดสภาฐานันดร


กำลังโหลดความคิดเห็น