ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
ใต้เงาจีน ภาค 2 (8) วันอาทิตย์ในคุนหมิง
วันรุ่งขึ้นซึ่งตรงกับวันอาทิตย์พวกเราออกจากอี้ว์ซีแต่เช้าเพื่อเดินทางกลับคุนหมิง ตอนที่รถวิ่งออกจากอี้ว์ซีผมได้แต่มองเมืองนี้ โดยพยายามเก็บภาพต่างๆ เอาไว้ในความทรงจำให้ได้มากที่สุด โดยไม่นึกว่าต่อไปในกาลข้างหน้าผมจะต้องกลับมาที่เมืองนี้อีกหลายครั้ง จนเมื่อพ้นเมืองออกไปแล้วจึงละสายตาหันมาคุยกับมิตรสหายต่อไป พอสายๆ ก็มาถึงคุนหมิง
เรื่องหนึ่งที่คุยกันบ่อยมากก็คือ เจ้าหน้าที่หญิงจีนที่ดูแลเรานั้นมักจะถามถึงเรื่องราวต่างๆ ของเมืองไทยอยู่เสมอ ประเด็นที่เธอถามมักจะวนเวียนอยู่กับความเจริญของเมืองไทย ว่าเมืองไทยมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ใช่ไหม ที่มีนั้นเป็นอย่างไร ผมก็ตอบเธอไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าเธอสนใจในความเจริญของบ้านเรามาก
ตอนนั้นผมเข้าใจเพียงว่า คงเป็นเพราะเมืองไทยเจริญกว่าจีน และเป็น “ต่างชาติ” ที่อยู่ใกล้จีนที่เจริญกว่าลาว กัมพูชา และเวียดนาม ทุกคำถามของเธอมักจะแฝงด้วยความรู้สึกอยากรู้อยากเห็น จนคิดว่าจะไปเมืองไทยให้ได้สักครั้ง ส่วนผมก็บอกเธอว่า ถ้าเธอได้ไปจริงเราก็คงมีโอกาสได้เจอกัน และเราจะต้อนรับเธอด้วยความยินดี
ที่คุนหมิงเรายังคงพักที่โรงแรมเดิม เมื่อพร้อมจะเข้าห้องพักแล้วพวกเราก็ล่ำลาเธอ ตอนที่ล่ำลากันนั้นผมมีความรู้สึกนึกคิดแบบคนไทย ที่เชื่อว่ายังไงเสียเราก็ยังมีโอกาสพบกันอีกแน่ๆ โดยหารู้ไม่ว่านั่นเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายของเรา เพราะเมื่อผมได้มาคุนหมิงในครั้งต่อๆ ไป และถามหาเธอจากเจ้าหน้าที่ ตม.จีน ก็กลับปรากฏว่าไม่มีใครรู้จักเธอแม้แต่คนเดียว รู้เพียงว่าเธอสังกัดที่ใด และไม่เคยพบเธอเลย
พูดถึงเรื่องนี้แล้วก็ขอบอกด้วยว่า ตอนที่ผมรู้ว่าจะไม่ได้พบเธออีกแล้วนั้น ใจก็ให้รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้พบกันอีก และหลังจากนั้นอีกกว่า 30 ปี ผมได้รู้จักเพื่อนคนจีนที่มาแบบกับเธออีกหลายคน แต่พอแยกกันไปก็ไม่ได้เจอกันอีกเลยจนทุกวันนี้ การพบเจอเพื่อนคนจีนแบบนี้จึงเหลืออยู่แต่ความทรงจำ จำไปจำมานานปีเข้าก็ลืมเลือนกันไป ถ้าไม่ได้ถ่ายรูปเอาไว้เป็นที่ระลึก
ตัวเธอก็เช่นกันที่จนทุกวันนี้ผมไม่เคยพบเจออีกเลย แต่ผมยังพอจำรูปร่างหน้าตาของเธอได้ ซึ่งก็เป็นภาพที่เลือนรางเต็มที ผิดกับเพื่อนคนจีนที่ผมเจอหลังจากนั้นที่ผมจะจำได้เพราะได้ถ่ายรูปไว้ การที่ผมเป็นเพื่อนต่างชาติคนแรกของเธอจึงย่อมเป็นความทรงจำที่ดี ทุกวันนี้พอคิดถึงเธอขึ้นมาทีไรก็อดสะท้อนใจไม่ได้ ไม่รู้ว่าทุกวันนี้เธอเป็นอย่างไรบ้าง
เนื่องจากเรากลับมาถึงคุนหมิงตอนสายๆ และเป็นวันอาทิตย์ หลังจากเข้าห้องพักเก็บข้าวของแล้ว เราจึงชวนกันออกไปหามื้อเที่ยงกินกัน ด้วยความที่ผมเป็นคนที่ใช้ภาษาจีนพอได้บ้าง ผมจึงเป็นคนนำทางไปหาร้านอาหาร พวกเราจึงเดินไปบนเส้นทางที่ไม่ไกลจากจากโรงแรมมากนัก และเป็นเส้นทางที่ไม่เคยเดินมาก่อน ตลอดทางเราจึงได้พบกับบ้านเรือนและร้านค้าของคนคุนหมิงแบบใกล้ๆ ไปด้วย
บริเวณที่เราเดินไปนั้น สองข้างทางเป็นตึกของร้านค้าอาคารชั้นเดียวเป็นส่วนใหญ่ ที่เป็นสองชั้นจะปลูกแทรกเป็นระยะ ตัวอาคารทาด้วยสีขาวแทบทุกหลัง หากจะมีข้อความใดบ้าง ข้อความนั้นจะเขียนด้วยสีน้ำเงิน เราเดินมานานนับสิบนาทีก็พบกับร้านอาหารที่ดูทรงแล้วน่านั่ง เราจึงเข้าไปนั่งในร้านนั้น
พลันที่เจ้าของร้านที่เป็นชายหนุ่มเห็นเราก็รีบกุลีกุจอมาต้อนรับ ตอนแรกเขาคิดว่าเราเป็นคนจีนต่างถิ่น แต่พอรู้ว่าเป็นคนไทยก็ตื่นเต้นดีใจจนเห็นได้ชัด เขาบอกว่า เราเป็นคนไทยกลุ่มแรกที่มานั่งร้านของเขา จากนั้นก็เอารายการอาหารมาให้เราดู ผมดูแล้วก็อ่านได้บ้างไม่ได้บ้าง และที่อ่านได้ก็ไม่รู้เลยว่ามันคืออาหารอะไร หรือมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร
ผมซึ่งเห็นความเป็นกันเองและอัธยาศัยไมตรีของเจ้าของร้านจึงบอกไปว่า พาผมเข้าไปดูในครัวได้ไหมว่ามีวัตถุดิบอะไรบ้างจะได้สั่งอาหารได้ถูก เจ้าของร้านก็ดีใจหายรีบพาผมเข้าไปในครัว พอเข้าไปก็พบว่า เขาจัดห้องครัวไม่ต่างไปจากร้านอาหารทั่วไป คือตรงกลางจะเป็นโต๊ะขนาดใหญ่ใช้วางวัตถุดิบต่างๆ ส่วนฝาข้างหนึ่งก็เป็นเตาหุงต้มที่มีหม้อและกระทะวางรออยู่ อีกข้างก็ตั้งถ้วยชามรามไห
หลังจากนั้นผมก็พยายามสื่อสารกับเขาอยู่สักพักจนได้รายการอาหารมาสามสี่อย่าง ซึ่งก็ปรากฏว่าตัวเขาเองนั่นแหละที่เป็นพ่อครัว เขาใช้เวลาไม่นานในการทำอาหาร และอาหารที่ผมสั่งก็ถูกนำมาวางบนโต๊ะพร้อมสรรพ พออาหารถูกนำมาวาง เราก็ถามเขาว่า มีเบียร์ไหม เขาตอบว่า มี
เราจึงสั่งเบียร์มาดื่มกันในตั้งแต่เที่ยง เพราะไม่มีภารกิจอะไรต้องทำอีกแล้ว นอกจากรอจนถึงวันพรุ่งนี้เพื่อที่จะเดินทางกลับเมืองไทย วันนี้จึงเป็นวันพักผ่อนของเรา
เนื่องจากเป็นวันอาทิตย์ที่เป็นวันหยุด สิ่งที่ดีสำหรับผมก็คือ การที่เราเป็นลูกค้าเพียงโต๊ะเดียวในร้าน ที่เป็นเช่นนั้นไม่ใช่เพราะเป็นวันหยุดเท่านั้น หากเป็นเพราะเวลานั้นเศรษฐกิจจีนยังไม่ดี ที่จะให้ผู้คนออกมาหาอะไรกินในวันหยุดจึงยังไม่อยู่ในความคิดของคนจีน ยิ่งคุนหมิงที่เป็น “ต่างจังหวัด” ด้วยแล้วก็ยิ่งยากที่จะมีคนออกมาสังสรรค์หรือหาอะไรกินนอกบ้าน
ที่สำคัญ ด้วยความที่เราเป็นคนไทยกลุ่มแรกของทางร้าน เจ้าของร้านจึงเข้ามานั่งคุยกับเราด้วยความเป็นกันเอง ส่วนตัวผมที่แม้จะรู้จักเพื่อนคนจีนมากหน้าหลายตามาก่อนหน้านี้ก็จริง แต่เพื่อนกลุ่มนั้นก็รู้จักกันด้วยงาน และแทบทั้งหมดยังเป็นข้าราชการอีกด้วย ผิดกับเจ้าของร้านคนนี้ที่เป็นชาวบ้านที่ทำมาค้าขายทั่วไป เขาจึงเป็นคนจีนคนแรกที่เป็นชาวบ้านที่ผมได้มีโอกาสคุยด้วยนานๆ
เราคุยกันมากมายหลายเรื่องจนมีอยู่ครั้งหนึ่งเขาก็พูดขึ้นว่า ไม่ไกลจากร้านของเขามีโรงละครประจำเมืองตั้งอยู่ โรงละครนี้เป็นของรัฐบาลท้องถิ่นที่มีวาระการแสดงต่างๆ ที่แน่นอน และทุกคนต่างก็เข้าไปดูได้ ว่าแล้วเขาก็ถามพวกเราว่า สนใจไหม เราตอบว่า สนใจ เขาจึงรีบเดินตรงไปที่โรงละครเพื่อดูว่ามีการแสดงหรือไม่จะได้พาเราไปดู แต่เขาก็กลับมาด้วยความผิดหวังโดยบอกว่า วันนี้ไม่มีการแสดง
พูดถึงเรื่องโรงละครประจำเมืองแล้วที่จีนจะมีอยู่แทบทุกเมือง โรงละครนี้เป็นของรัฐ การแสดงจะมีการสลับสับเปลี่ยนรายการไปเรื่อยๆ บ้างก็เป็นละคร บ้างก็เป็นการละเล่นต่างๆ บ้างก็เป็นการแสดงดนตรี ฯลฯ โรงละครนี้เก็บค่าเข้าชมถูกมากแบบพอเป็นพิธีหรือไม่ก็ไม่เก็บเลย รัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนถือเป็นสวัสดิการที่ให้แก่ประชาชน
ที่สำคัญ โรงละครนี้ยังใช้เป็นที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองให้มาดูการแสดงประจำเมืองนั้นๆ อีกด้วย เวลานั้นใครเป็นแขกของทางการจีนก็มักจะมีกำหนดการให้ไปดูการแสดงที่โรงละครแบบนี้ อย่างน้อยก็หนึ่งรายการ
จนเมื่อจีนเข้าสู่ยุคปฏิรูปครั้งใหญ่หลัง ค.ศ.1979 แล้ว โรงละครประจำเมืองเหล่านี้ก็ถูกปฏิรูปไปด้วย โดยจากที่เคยเป็นสวัสดิการของคนจีนหรือใช้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง โรงละครเหล่านี้ทั่วประเทศก็ต้องเลี้ยงตัวเองโดยที่รัฐจะให้การสนับสนุนน้อยลง
วิธีการก็คือ ให้โรงละครเหล่านี้ต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีนและชาวต่างชาติแทน ซึ่งหมายความว่า เงินส่วนหนึ่งของนักท่องเที่ยวที่จ่ายให้บริษัททัวร์จะถูกนำมาจ่ายให้แก่โรงละคร ทำให้สามารถเลี้ยงตัวเองได้อย่างมั่นคง แต่โรงละครเองก็ต้องพัฒนาการแสดงของตนด้วย ไม่ใช่เห็นนักท่องเที่ยวเป็นของตายแล้วคิดจะแสดงอย่างไรก็ได้
จากเหตุนี้ ใครที่ไปเที่ยวจีนในทุกวันนี้อาจได้ไปดูการแสดงที่โรงละครนี้ในบางครั้ง ขึ้นอยู่กับว่าไปเที่ยวที่ใด ส่วนการแสดงก็ทำได้ไม่เลว คือไม่ทำให้รู้สึกว่าถูกยัดเยียดให้ดู
อย่างไรก็ตาม วันนั้นเรานั่งดื่มกินกันนานหลายชั่วโมงจึงกลับเข้าโรงแรม ไปถึงก็อาบน้ำอาบท่าแล้วเข้านอนด้วยสำนึกที่บอกกับตัวเองว่า พรุ่งนี้จะได้กลับเมืองไทยแล้ว