xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

วิวัฒนาการระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของสวีเดน (6): ชาวนา-ทาสในสวีเดน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


1.รูปปั้น Olof Skotkonung ตามที่ Ansgar Almquist จินตนาการไว้ในช่วงทศวรรษ 1920 ณ ศาลาว่าการสตอกโฮล์ม(ภาพ : วิกิพีเดีย)
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ในตอนที่แล้ว ได้กล่าวถึง ความโดดเด่นประการแรก ในพัฒนาการทางการเมืองการปกครองของสวีเดน นั่นคือ  สวีเดนเป็นประเทศเดียวในยุโรปที่ชาวนาไม่เคยตกเป็นทาสติดที่ดิน (serfdom)   ชาวนาสวีเดนจะเป็นชาวนาเสรีมาโดยตลอด ในสังคมสวีเดนยุคไวกิ้งมีลักษณะของการเป็น  “ชุมชนชาวนาที่มีการจัดองค์กรแบบหลวมๆ” 

ภายใต้สังคมดังกล่าวนี้ ถึงแม้ว่าจะมีชนชั้นสามชนชั้น อันได้แก่ กษัตริย์หรือหัวหน้าเผ่าในเขตปกครองเล็กๆในท้องถิ่น (jarl) ชนชั้นระดับกลางอันได้แก่ หัวหน้าครัวเรือน และชนชั้นต่ำสุดคือ ทาส

แต่ความแตกต่างเหลื่อมล้ำภายในเผ่าหรืออาณาจักรเล็กๆ นี้ จะยังมีไม่มากนักและไม่ชัดเจนตายตัวและยังสามารถมีการเลื่อนขึ้นและลงทางช่วงชั้นได้ สวีเดนในช่วงก่อนศตวรรษที่สิบเอ็ด จึงประกอบไปด้วยเผ่าต่างๆ (chiefdoms) และอาณาจักรเล็กๆ (petty kingdoms) ที่มีผู้ปกครองที่ใหญ่กว่าหัวหน้าเผ่า แต่ก็ไม่เท่ากับกษัตริย์เสียทีเดียว (petty kings)

สภาพดังกล่าวนี้เองที่เป็นเงื่อนไขของ  “สภาพการปกครองก่อนยุคกลางของสวีเดน ที่อยู่ในลักษณะที่อำนาจยังกระจัดกระจาย”  อีกนัยหนึ่งคือ ยังไม่มีการรวมศูนย์อำนาจ ผู้คนดำรงชีวิตอยู่ภายใต้โครงสร้างทางชนชั้นที่ไม่เคร่งครัดตายตัว และที่สำคัญคือ สวีเดนมีประเพณีการปกครองให้ผู้คนในท้องถิ่นมาประชุมร่วมกันที่เรียกว่า ting (สภาท้องถิ่น) ในการออกกฎหมายและเลือกตั้งและถอดถอนกษัตริย์
เราไม่สามารถกล่าวได้ว่า ปรากฎการณ์ของการมีส่วนร่วมในที่ประชุม ting ของชาวสวีเดนในยุคไวกิงเป็นประชาธิปไตยอย่างที่เกิดขึ้นในนครรัฐเอเธนส์ เพราะการมีส่วนร่วมของประชาชนในที่ประชุม ting ไม่ได้เกิดจากแรงจูงใจหรือสำนึกคิดที่สามารถเรียกได้ว่าเป็น  “ประชาธิปไตย”  ถึงแม้สวีเดนจะมีสิ่งที่เรียกว่า  “เสรีภาพทางการเมืองแบบโบราณ”  ที่ดำรงอยู่ในสังคมสแกนดิเนเวีย แต่ไม่ได้มีสิ่งที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นหลักการประชาธิปไตยแบบเอเธนส์อย่างที่เราเข้าใจกัน

อย่างที่เพิ่งกล่าวไปว่า ที่ประชุม ting มีอำนาจในการออกกฎหมาย และรวมทั้งการเลือกและการถอดถอนกษัตริย์ บันทึกการถอดถอนกษัตริย์โดย ting คือ บันทึกเหตุการณ์สำคัญที่  Torgny (the Lawspeaker)  ได้กล่าวต่อ Olof Skotkonung ผู้เป็นกษัตริย์ ในราว ค.ศ. 980-1022 ว่า ประชาชนคือผู้มีอำนาจในสวีเดน ไม่ใช่กษัตริย์  ซึ่งกษัตริย์ได้ตระหนักว่าพระองค์ไม่มีอำนาจต่อ ting และต้องยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว

การที่กษัตริย์ยอมรับอำนาจของประชาชนที่ ting นี้ นักวิชาการที่ศึกษาประวัติศาสตร์สวีเดนได้ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจเกี่ยวกับอำนาจและการใช้ความรุนแรงในสังคมสวีเดน นั่นคือ สังคมสวีเดนเป็นสังคมแห่งความรุนแรง แต่กระนั้น ก็มีกฎระเบียบและความเป็นนิติรัฐ (the rule of law) ที่ตีกรอบการใช้ความรุนแรงให้อยู่ภายในช่องทางครรลองของจารีตประเพณีผ่านผู้รู้กฎหมาย (lawspeaker/ lagman) ในที่ประชุม ting ที่จะบังคับใช้กฎหมายจารีตประเพณีในการลงโทษปรับหรือเนรเทศผู้ที่เป็นฆาตกร หรือผู้ที่วางเพลิงเผาบ้านเรือนจะต้องถูกลงโทษโดยการทำงานหนักบริเวณชายฝั่ง การสมัครใจที่จะยอมรับกฎหมายอาจจะเป็นหนทางเดียวที่จะตีกรอบจำกัดการใช้ความรุนแรงของพวกไวกิง ซึ่งกล่าวได้ว่า พวกไวกิงเคารพกฎหมายภายในชุมชนของตน โดยถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต

ใครที่ละเมิดกฎหมาย ไม่เพียงแต่จะถูกถือว่าเป็นคนนอกกฎหมายและจะต้องอยู่ภายใต้การบังคับใช้กฎหมายลงโทษแล้ว แต่เขาผู้นั้นจะต้องประสบกับความอับอายขายหน้าในสายตาตัวเองเองด้วย เพราะแม้แต่กษัตริย์เองก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและกระบวนการของกฎระเบียบดังกล่าวนี้เช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ ด้วย

ดังกรณีของ Olof Skotkonung หรือ Olof Eriksson  ที่มีความขัดแย้งกับกษัตริย์นอร์เวย์ และปฏิเสธข้อเสนอสันติภาพของ  Jarl Ragnvald  ผู้เป็นอภิชนท้องถิ่น Olof Eriksson เตรียมที่จะประกาศสงครามกับนอร์เวย์ และได้กล่าวหา  Jarl Ragnvald  ในที่ประชุม ting เพราะ Ragnvald ต้องการที่จะทำข้อตกลงสันติภาพกับ Ingegard  กษัตริย์นอร์เวย์ และในที่ประชุม ting ที่ Uppsala ปี ค.ศ. 1030

 Torgny (the Lagman)  หนึ่งในผู้นำของชาวนาเสรีได้ลุกขึ้นกล่าวสนับสนุนนโยบายของ Ragnvald ว่า
 “หากกษัตริย์จะเปลี่ยนความคิดจากที่เคยมี แต่เราชาวนาสามัญชน (bonder) ต้องการให้ท่าน (กษัตริย์) ทำข้อตกลงสันติภาพกับกษัตริย์นอร์เวย์ และยกลูกสาวท่านให้แต่งงานกับ Ingegard ถ้าท่านต้องการอาณาจักรทางตะวันออกที่บรรพบุรุษของท่านเคยครอบครองคืนมา เราจะสนับสนุนท่าน แต่ถ้าท่านไม่ทำตามที่พวกเราต้องการ เราจะต่อต้านและสังหารท่านเสีย อย่างที่บรรพบุรุษของพวกเราได้เคยทำมาก่อน บรรพบุรุษของพวกเราเคยโยนกษัตริย์หลายพระองค์ลงบ่อน้ำที่ Mora ting ยามที่กษัตริย์เหล่านั้นเต็มไปด้วยความทรนงอวดดีอย่างที่ท่านกำลังเป็นต่อพวกเราขณะนี้ ท่านจงเลือกเอา...จากนั้น ก็เกิดเสียงจากการที่ชาวนาจับอาวุธขึ้นอย่างพร้อมเพรียง Olof Skotkonung ได้ลุกขึ้นและกล่าวว่า พระองค์จะทำในสิ่งที่ให้ชาวนาได้ปกครองร่วมกันกับพระองค์เสมอในทุกๆ เรื่องที่พวกเขาต้องการ” 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องพึงตระหนักในการทำความเข้าใจและตีความเรื่องราวเชิงตำนานต้นยุคกลางสวีเดนระหว่าง Torgny the Lagman กับกษัตริย์ Olof Skotkonung คือ เรื่องราวดังกล่าวนี้ได้ถูกนำมาใช้และตีความในประวัติศาสตร์นิพนธ์ของสวีเดนเพื่อสนับสนุนจุดยืนทางการเมืองต่างๆ ในประวัติศาสตร์การเมืองช่วงต่างๆ ของสวีเดน

เช่น การตีความเหตุการณ์ดังกล่าวว่าเป็นการสร้างจารีตความคิดในการต่อต้านอภิชน (anti-aristocratic) หรือตีความว่าเหตุการณ์ดังกล่าวแสดงถึงจารีตของการผสมผสานร่วมมือ (coalition) กันทำให้การปกครองขณะนั้นมีลักษณะร่วมที่เด่นชัดระหว่าง  “ประชาธิปไตย-กษัตริย์” (democratic-monarchical)  หรือตีความว่าเป็นจารีตการปกครองโบราณของสวีเดนที่อำนาจของประชาชนอยู่เหนือกษัตริย์

กล่าวสรุปได้ว่า ทั้งพวกเสรีนิยม สังคมนิยมและฝ่ายขวาต่างตีความบันทึกเหตุการณ์ดังกล่าวเข้าข้างอุดมการณ์ของตน

ผู้เขียนเห็นด้วยว่าเรื่องราวเชิงตำนานของ Torgny the Lawspeaker ได้ถูกสร้างและใช้เป็นวาทกรรมในประวัติศาสตร์นิพนธ์สวีเดนในการสนับสนุนจุดยืนทางการเมืองที่แตกต่างและขัดแย้งกันมาตั้งแต่ศตวรรษที่สิบแปดจนถึงศตวรรษที่ยี่สิบ

อย่างไรก็ตาม ในความเห็นของผู้เขียนเห็นว่า เรื่องราวเชิงตำนานดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าที่ประชุม ting มีอิสระเสรีและมีอำนาจอันชอบธรรมในการจำกัดอำนาจของกษัตริย์ และกษัตริย์จะไม่สามารถใช้กำลังความรุนแรงในการฝ่าฝืนจารีตประเพณี แม้ว่าจะมีการตั้งข้อสงสัยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์สวีเดนมากน้อยแค่ไหน แต่กระนั้น เรื่องราวดังกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นถึงแบบแผนความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับสามัญชนในสังคมสวีเดน

เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ตาม แต่เรื่องดังกล่าวได้ถูกบันทึกและตราไว้ในกฎหมายไว้ตั้งแต่โบราณกาล และในประวัติศาสตร์สวีเดน สถานะตำแหน่งของผู้รู้กฎหมาย lawspeaker ของที่ประชุม ting ก็มีความสำคัญยิ่งจริงๆ เพราะผู้รู้กฎหมายจะไม่เพียงแต่เป็นผู้มีความจำดีเลิศในตัวบทกฎหมายและกล่าวย้ำถึงตัวบทเหล่านั้น แต่ผู้ที่ตีความและบังคับใช้กฎหมายด้วย ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วไปใน ting ต่างๆ ของสวีเดน ก่อนหน้าที่จะถึงช่วงที่มีการออกกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรและบังคับใช้ทั่วทั้งอาณาจักร

ในช่วงยุคกลางที่คริสต์ศาสนาได้เข้ามาในสวีเดน หมู่บ้านได้รวมตัวเข้าด้วยกันเป็นหน่วยที่ใหญ่ขึ้น เป็นที่ประชุมหรือชุมชนทางศาสนา (the ecclesiastical parish) อำนาจและหน้าที่ของสภาท้องถิ่นของหมู่บ้านหรือ ting ได้ค่อยๆ ย้ายไปอยู่ที่ที่ประชุมชุมชนทางศาสนา (the parish council) และการบริหารความยุติธรรมได้ไปอยู่ที่ศาล (a court) ที่ตั้งขึ้นมาในแต่ละหน่วยการปกครองท้องถิ่น (hundred) แต่ก่อนที่จะเกิดการปฏิรูปที่ดินครั้งใหญ่ในต้นศตวรรษที่สิบเก้า เมื่อชุมชนหมู่บ้านของสวีเดนได้พังทลายในที่สุด แต่สภาหมู่บ้าน ting ได้มีบทบาทหน้าที่ที่สำคัญในวิถีชีวิตของชาวนามาโดยตลอด และเป็นรากฐานสำคัญประการหนึ่งต่อวิวัฒนาการระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของสวีเดน


กำลังโหลดความคิดเห็น