xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“รัก(ไม่)แท้” แพ้ “สรรพากร” อินฟลูฯ โกยเงินฉ่ำ เปิดช่องรีดภาษีเข้าคลัง จับตาคลังเดินหน้า “Negative Income Tax”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - กลายเป็นประเด็นร้อนอยู่ในกระแสสนใจของสังคม หลังจากมีการเปิดเผยตัวเลขรายได้ทะลุหลักสิบล้านของอินฟลูเอนเซอร์สาวชาวเกาหลีใต้ที่เข้ามาทำงานในเมืองไทย ไลฟ์ขายสินค้า อีเวนท์ โฆษณา ฯลฯ ผ่านการเชื้อเชิญของนักแสดงชายชื่อดังชาวไทย ก่อนถึงจุดแตกหักเรื่องเงินๆ ทองๆ เรื่องการจ่ายภาษีอัตราก้าวหน้า อัตรา 35% กรณีเงินได้สุทธิมากกว่า 5 ล้านบาท เพราะไม่เข้าใจว่าทำต้องจ่ายภาษีอัตราสูงขนาดนั้น

นั่นคือเรื่องราวของติ๊กต็อกเกอร์สาวเกาหลี “จี กามิน”  กับ  “แน็ก - ชาลี ไตรรัตน์” นักแสดงหนุ่มชาวไทย อดีตคู่จิ้นคอนเทนต์สุดปังจนมี FC จนมีติดตามเป็นจำนวน ซึ่งล่าสุดประกาศแยกย้ายตามคำบอกเล่าของฝ่ายชายระบุถึงปัญหาเรื่องการจ่ายภาษีอัตราก้าวหน้าของไทยที่ฝ่ายหญิงมองว่าสูงเกินไป รวมถึง การทิ้งบอมบ์ภาระภาษีให้ฝ่ายชายรับผิดชอบก่อนสาวเกาหลีจะบินกลับประเทศ

ต่อมา   “ผู้จัดการ”  ซึ่งดูแลทั้งคู่ได้ออกมาชี้แจงชัดเจนว่า การเข้ามาทำงานของอินฟลูเอนเซอร์สาวชาวเกาหลีใต้ ถูกต้องตามกฎหมายของประเทศไทย โดยมีนักกฎหมายนักบัญชีผู้เชี่ยวชาญด้านการทำงานของต่างชาติในไทยเป็นคนจัดการ อีกทั้ง เรื่องใบอนุญาตการทำงานมีเอกสารครบถ้วนทุกขั้นตอนแล้ว ซึ่งมี 4 ขั้นตอนหลักๆ ดังนี้ 1. การขอ WP3 และ NON B 2. การออกเล่มใบอนุญาตทำงาน (work permit) 3. การขอวีซ่าทำงานได้ 1 ปี และ 4. การขอ Multiple entry

ยืนยันชัดเจนว่าเรื่องภาษีและการหักค่าใช้จ่ายต่างๆ มีการตกลงและชี้แจ้งให้ “แน็ก - ชาลี” และ “กามิน” ทราบตั้งแต่ต้น และรายได้จากการทำงานของทั้งคู่จะรับเงินผ่าน บ.ชาลี ตาม work permit ทั้งนี้ ไม่มีภาระเรื่องภาษีหรือค่าปรับใดๆ ทิ้งบอมไว้ทั้งสิ้น และ ล่าสุด บ. ได้แจ้งชื่อ “จี กามิน” ออกและสิ้นสุดการเป็นพนักงานในเดือนกันยายน 2567 เป็นอันจบดรามาเรื่องการจ่ายภาษีของอดีตคู่จิ้น

 กรณีที่เกิดขึ้นทำให้เห็นรายได้ของอินฟลูเอนเซอร์ยิ่งปังยิ่งดังยิ่งโกยเงินมหาศาล ซึ่งมีการคาดการณ์ว่ารายได้ของทั้งคู่แตะ 100 ล้านเลยทีเดียว เพราะงานไลฟ์ในแต่ละครั้งค่าตัวสูงปรี๊ด แน่นอนว่า เมื่อมีรายได้สูงย่อมภาระหน้าที่การเสียภาษีสูงไปด้วยตามกฎหมายของไทย 

อย่างไรก็ดี ทราบกันว่าการเสียภาษีเป็นหน้าที่ของพลเมือง มนุษย์เงินเดือนทุกคนมีหน้าที่เสียภาษี ซึ่งการจัดเก็บภาษีเป็นแนวทางการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐเพื่อรองรับการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ สำหรับประเทศไทยมีการคำนวณภาษีตามอัตราก้าวหน้าของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

ทั้งนี้  “อัตราภาษีก้าวหน้า”  เป็นการเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้นตามระดับรายได้สุทธิ เท่ากับว่ารายได้ยิ่งสูงอัตราภาษีที่ต้องจ่ายจะสูงตามไปด้วย มีการเก็บภาษีตามอัตราที่เพิ่มขึ้นตามระดับรายได้ ซึ่งระบบจะแบ่งรายได้ออกเป็นขั้นบันได และคำนวณภาษีตามอัตราที่กำหนดในแต่ละขั้น ณ ปัจจุบันการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบอัตราก้าวหน้าแบ่งออกเป็น 8 ขั้น เริ่มจาก 0% - 35% ตามระดับรายได้สุทธิที่แตกต่างกันไป ดังนี้

รายได้ไม่เกิน 150,000 บาท: ได้รับการยกเว้นภาษี, รายได้ 150,001 - 300,000 บาท: อัตราภาษี 5%,รายได้ 300,001 - 500,000 บาท: อัตราภาษี 10%, รายได้ 500,001 - 750,000 บาท: อัตราภาษี 15%, รายได้ 750,001 - 1,000,000 บาท: อัตราภาษี 20%, รายได้ 1,000,001 - 2,000,000 บาท: อัตราภาษี 25%, รายได้ 2,000,001 - 5,000,000 บาท: อัตราภาษี 30% และ รายได้มากกว่า 5,000,000 บาทขึ้นไป: อัตราภาษี 35% ทั้งนี้ การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะคำนวณจากรายได้สุทธิ ซึ่งเป็นรายได้หลังจากการหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนต่างๆ

อย่างไรก็ดี ประเทศไทยดำเนินการปฏิรูประบบภาษีจัดเก็บรายได้เข้าคลังเพื่อรองรับการพัฒนาของประเทศอย่างต่อเนื่อง ตามข้อมูลระบุว่าปัจจุบันรายได้ภาษีของรัฐบาลคิดเป็นเพียง 14% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เท่านั้น โดยตามหลักการควรที่จะอยู่ที่ 15 - 16% ของจีดีพี

ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้เสนอแผนการปฏิรูปภาษี 20 รายการ เพื่อเพิ่มรายได้ให้รัฐบาลมีงบประมาณเพียงพอต่อรายจ่าย โดยจะออกมาตรการแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบรุนแรงอาจทำให้เศรษฐกิจ เบื้องต้นแผนการปฏิรูปภาษีมาตรการจะดำเนินการใน 2 ปี หรือภายใน 5 ปี เป็นต้น ส่วนรายละเอียดยังคงต้องติดตาม

 นายดนุชา พิชยนันท์  เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า ไทยอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างภาษีและต้องหาทางเก็บภาษีเพิ่มเพื่อให้มีรายได้มากขึ้น โดยปัญหาของไทยคือภาษีเงินได้จากบุคคลธรรมดาเก็บได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น เนื่องจากมีแรงงานนอกระบบจำนวนมาก จึงต้องมีการแก้ปัญหาให้คนเข้าระบบฐานภาษี ขณะเดียวกันโครงสร้างภาษีก็ต้องไม่เหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะคนรายได้ปานกลางที่มีค่าลดหย่อนภาษีน้อย นอกจากนี้ อาจมีการเก็บภาษีอื่นๆ เพื่อรองรับภาระของรัฐ ในแง่ของสวัสดิการที่จะเพิ่มขึ้น เนื่องจากไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเร็วๆ นี้

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาภาษีเงินได้ของไทยยังไม่ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างรายได้ให้แก่รัฐ และจัดสรรทรัพยากรเพื่อนำมากระจายใหม่ (redistribution) ได้มากนัก โดยสาเหตุดังนี้ 1. แรงงานไทยเกือบ 3 ใน 4 อยู่นอกระบบภาษี โดยมีผู้มีงานทำทั้งสิ้น 38.8 ล้านคน เป็นลูกจ้างที่มีรายได้จากค่าจ้างและเงินเดือนจำนวน 18.6 ล้านคน แต่มีผู้มีรายได้ถึงเกณฑ์ที่ต้องยื่นภาษีของกรมสรรพากรเพียง 10.8 ล้านคนเท่านั้น คิดเป็นสัดส่วนเพียง 27.7% ของผู้มีงานทำทั้งหมด อีกทั้งสัดส่วนดังกล่าวยังมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งไม่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น

2. ประเภทของเงินได้ที่ไม่ต้องเสียภาษีทำให้รัฐจัดเก็บภาษีได้ไม่เต็มที่และเป็นปัจจัยที่นำไปสู่ปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยมีเงินได้บางประเภทที่ได้รับการยกเว้นภาษีแต่กลับเป็นแหล่งรายได้ที่มีมูลค่าสูง และสร้างความมั่งคั่งให้กับผู้มีเงินได้ได้มาก โดยเฉพาะกำไรจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์

3. การหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนทำให้รัฐสูญเสียรายได้และสร้างความเหลื่อมล้ำ โดยกลุ่มผู้มีรายได้สูงมีแนวโน้มที่จะจ่ายภาษีลดลงจากการได้รับประโยชน์จากการหักค่าใช้จ่ายที่มากกว่าคนกลุ่มอื่นๆ ในขณะที่ปี 2564 การลดหย่อนภาษียังทำให้รัฐสูญเสียรายได้ไปกว่า 1.1 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 51.8% ของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ต้องชำระทั้งหมด

บทความเรื่อง “สังคมสูงวัยกับภาระทางการคลัง”  เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ระบุความว่า  “สัดส่วนคนชราที่เพิ่มขึ้นเริ่มส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพด้านการคลังแล้ว และจะมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นในอนาคต” 

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อเสถียรภาพทางการคลัง เนื่องจากเป็นปัจจัยที่กำหนดทิศทางของรายรับรายจ่ายภาครัฐ รวมถึงขนาดของรายรับรายจ่ายภาครัฐนั้นๆ โดยสามารถอธิบายได้ด้วย 2 เหตุผลหลัก

 เหตุผลแรก คือ คนแต่ละช่วงอายุมีความสัมพันธ์กับโครงสร้างรายรับรายจ่ายภาครัฐที่แตกต่างกันออกไป โดยสามารถกล่าวกว้าง ๆ ได้ว่าคนวัยทำงาน (ในระบบ) เป็นวัยที่สร้างรายได้สุทธิให้กับภาครัฐ เนื่องจากส่วนใหญ่เสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาจากการทำงาน และเสีย VAT จากการบริโภคสินค้าและบริการ แต่วัยนี้โดยเฉลี่ยจะรับเงินช่วยเหลือโดยตรงจากภาครัฐไม่มากนัก ขณะที่คนวัยเกษียณจะเป็นรายจ่ายสุทธิของรัฐ นอกจากส่วนใหญ่ไม่อยู่ในกำลังแรงงานและอาจไม่มีภาระภาษีรายได้บุคคลธรรมดาแล้ว ยังเป็นกลุ่มคนที่ได้รับเงินสนับสนุนค่อนข้างมาก เช่น เงินให้หลังเกษียณประเภทต่างๆ และสวัสดิการด้านสุขภาพ

 เหตุผลที่สอง คือ คนแต่ละช่วงอายุมีพฤติกรรมที่แตกต่างกันออกไป  เช่น ชั่วโมงการทำงาน ประสิทธิภาพแรงงาน การออม และการบริโภค ยกตัวอย่างแรงงานอายุ 50 ปี โดยเฉลี่ยมักมีรายได้สูงกว่าแรงงานอายุ 25 ปี แม้ทั้งสองคนจะสร้างรายได้ให้รัฐผ่านภาษีรายได้บุคคลธรรมดา แต่คนอายุ 50 ปีจ่ายภาษีในส่วนนี้มากกว่า

ที่น่าสนใจก็คือ หลังจากที่ “นายทักษิณ ชินวัตร” ไปแสดงวิสัยทัศน์โดยนำเสนอ  “ระบบ Negative Income Tax” มาใช้ในการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีของภาครัฐ  “กระทรวงการคลัง” ก็ดูเหมือนจะเด้งรับแบบทันควันเช่นกัน

 “นายลวรณ แสงสนิท”  ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การปฏิรูประบบภาษีไทยสู่ระบบ Negative Income Tax นั้น กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้ศึกษาเรื่องนี้มานานแล้ว ซึ่งกระทรวงการคลังพร้อมสนับสนุนแนวคิด เพื่อที่จะให้เงินสวัสดิการแก่คนทำงาน หรือ Workfare สำหรับคนรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด โดยเป็นการกระตุ้นให้คนทำงาน เพื่อแลกกับการได้รับเงินสวัสดิการจากรัฐ

“คนที่ทำงานและมีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่รัฐกำหนด รัฐจะจ่ายเงินอุดหนุน ในส่วนต่างระหว่างรายได้ของคนๆ นั้น กับเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนด อย่างไรก็ตามสำหรับคนไม่มีงานทำ รัฐก็อาจอุดหนุนเงินให้ระดับหนึ่งแต่อาจน้อยกว่าคนที่ทำงาน ซึ่งแนวคิด Negative Income Tax ไม่ใช่เป็น Welfare แต่เป็น Workfare คือต้องงานจึงจะได้รับเงินจากรัฐบาล”

ทั้งนี้ เชื่อว่าหากสามารถนำ Negative Income Tax มาใช้ได้ จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการของรัฐลงได้ และยังสามารถลดความซ้ำซ้อนของสวัสดิการที่รัฐให้กับประชาชน ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 20 สวัสดิการ เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ในแต่ละปีใช้งบประมาณ 5 หมื่นล้านบาท เป็นต้น โดยยืนยันว่าการใช้ Negative Income Tax จะไม่เป็นการสร้างภาระงบประมาณด้านสวัสดิการเพิ่ม เพราะหากใช้ระบบนี้อาจจะไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแล้ว

อย่างไรก็ตาม การที่จะเดินหน้าระบบ Negative Income Tax นั้น คนที่ต้องการสวัสดิการจากรัฐ จะต้องยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในทุกปี กับกรมสรรพากร เพื่อตรวจสอบรายได้ของคนๆ นั้น ว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐหรือไม่ ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลมีข้อมูลรายได้ของประชาชนอยู่เกือบ 30 ล้านคน ได้แก่ กลุ่มบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.3 ล้านคน และกลุ่มผู้มีเงินได้ยื่นแบบภาษีบุคคลธรรมดาอีก 12 ล้านคน เป็นต้น

ส่วนการเดินหน้าใช้ระบบ Negative Income Tax จะมีระยะเวลาในการแก้ไขกฎหมาย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่อยู่ในการปฏิรูปภาษีของกระทรวงการคลัง

จากการสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า ระบบภาษี Negative Income Tax นั้น ประชาชนทุกคนไม่ว่าจะมีรายได้ถึงเกณฑ์ภาษีหรือไม่ ต้องมายื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพื่อให้สรรพากรทราบข้อมูลรายได้ของประชาชน โดยฐานข้อมูลดังกล่าว จะอำนวยความสะดวกให้รัฐสามารถดูแลประชาชนได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องให้ประชาชนเข้ามาลงทะเบียนขอรับสิทธิ์อีกครั้ง

ที่สำคัญคือ การใช้ระบบ Negative Income Tax จะทำให้รัฐสามารถดำเนินการดูแลประชาชนได้เลยอย่างตรงจุด ไม่จำเป็นต้องให้ประชาชนเข้ามาลงทะเบียนรับสิทธิ์อีกครั้ง เช่น หากรัฐบาลมีฐานข้อมูลของประชาชนทั้งหมดแล้ว ถ้าต้องการช่วยเหลือประชาชนที่มีเงินได้ต่อปีน้อยกว่า 1 แสนบาท กรมสรรพากรก็จะคืนเงินให้กับประชาชนที่มายื่นแบบโดยตรงได้เลย หรือกรณีที่รัฐมีโครงการที่ต้องการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มให้กลุ่มหนึ่ง ก็จะทำได้ตรงจุด

ทั้งนี้ Negative Income Tax จะทำให้ประชาชนเข้ามาอยู่ในระบบภาษีมากขึ้น รวมทั้งคนที่มีรายได้น้อยด้วย หากเกิดขึ้นจริงในประเทศไทยจะเป็นระบบที่ดี อย่างไรก็ตาม ในระยะแรกจะต้องให้ประชาชนเข้ามาสู่ระบบทั้งหมดก่อน โดยจะต้องมีการพัฒนาระบบ รวมทั้งการแก้กฎหมายของกรมสรรพากรด้วย

ขณะที่หลักเกณฑ์การจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดายังใช้เกณฑ์เดิม คือ การคิดอัตราภาษีตามขั้น 5-35% ตามเกณฑ์รายได้ที่กรมสรรพากรกำหนด แต่การใช้ระบบ Negative Income Tax จะทำให้ประชาชนที่ไม่มีรายได้ หรือรายได้ไม่ถึงเกณฑ์เข้ามาสู่ระบบเพื่อจัดทำฐานข้อมูล

 การปฏิรูประบบภาษีนับเป็นโจทย์ข้อใหญ่ของรัฐ 


กำลังโหลดความคิดเห็น