xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

น้ำท่วม “เชียงรายสะอื้น” โลกร้อน ไฟป่าเผา ภูเขาโล้น ดินพังทลาย “ระบบเตือนภัยใหม่” ห่วยขั้นสุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -  ภัยพิบัติจากธรรมชาติ น้ำท่วมจังหวัดเชียงราย แม่อาย-แม่สาย สะอื้น ที่หนักสุดในรอบ 40 ปีนี้ เตือนให้รู้ว่าอุทกภัยบนโลกใบนี้นับวันรุนแรงขึ้น และจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ระบบเตือนภัยซึ่งสำคัญสุดต้องยกเครื่องใหม่ เช่นเดียวกับการรักษาป่าเพื่อดูดซับน้ำที่วันนี้กลายเป็นภูเขาหัวโล้นจากไฟป่ากันหมด 

ระบบเตือนภัยล่วงหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง และความสูญเสียจากภัยพิบัติยุคโลกร้อนที่รุนแรงขึ้น นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง ดังเช่นที่  ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ยกกรณีตัวอย่างจากไต้ฝุ่นยางิ ลมแรงสุดๆ ตอนเข้าไห่หนาน ประเทศจีน แต่ที่นั่นมีการรับมืออย่างดี อพยพผู้คนหลายแสน แม้มีความเสียหายทางทรัพย์สินที่เลี่ยงไม่ได้ แต่มีผู้เสียชีวิตเพียง 4 ราย

ต่อมา เมื่อพายุยางิ ที่มีระดับความรุนแรงน้อยกว่าไต้ฝุ่น เข้าเวียดนาม แม้มีการอพยพหลายหมื่นคน แต่มีผู้เสียชีวิตเกินร้อย แน่นอนว่าสภาพภูมิประเทศมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่การรับมือและการเตือนภัยก็มีส่วนเช่นกัน

การยกระดับการเตือนภัยจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะประเทศไทยที่ติดอันดับความเสี่ยงจากภัยพิบัติโลกร้อน น้ำท่วม เพราะช่วงที่ธรรมชาติรุนแรงถึงขีดสุด กู้ภัยจะเก่งแค่ไหนก็เข้าพื้นที่ไม่ได้ จะมีผู้บริจาคอาหารและสิ่งของจำเป็นมากแค่ไหนก็ไปไม่ถึง ไฟฟ้าดับ สัญญาณโทรศัพท์ไม่มี ทุกสิ่งอย่างถูกตัดขาดจากโลกภายนอก

นอกจากการยกระดับการเตือนภัยของภาครัฐ ประชาชนยังต้องยกระดับการช่วยเหลือตัวเองเช่นกัน โดยเชื่อฟังคำเตือน อพยพเมื่อจำเป็น อย่าคิดว่าหนนี้ก็เหมือนหนก่อนเพราะโลกร้อนขึ้นอาจแรงกว่าเยอะ และต้องเตรียมของไว้เผื่อฉุกเฉินกรณีโดนตัดขาดจากโลกภายนอก อย่างประเทศญี่ปุ่น จะมีรายการของที่ต้องเตรียมไว้ เช่น ไฟฉาย วิทยุใช้ถ่าน เพาเวอร์แบงก์ชาร์จเต็ม น้ำสะอาด เสบียง ไฟแช็ก เชือก ฯลฯ และต้องอัพเดทข้อมูลให้มากขึ้น จะรอให้คนอื่นมาบอกนาทีสุดท้ายอาจไม่ทันเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก

 บทเรียนราคาแพงน้ำท่วมเชียงราย ซึ่งมีปัญหาเรื่องระบบเตือนภัย จำเป็นต้องยกเครื่องใหม่แบบที่สื่อสารให้ชาวบ้านชาวช่องเข้าใจได้ง่าย และเตรียมรับมือกับสถานการณ์ได้ทันท่วงทีนั้น สนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชำแหละต้นสายปลายเหตุว่า กรมอุตุนิยมวิทยา และ สทนช. ขาดแผนการแจ้งเตือนภัยที่ชัดเจน แจ้งแต่ว่าพื้นที่ภาคเหนือตอนบนจะเกิดฝนตกหนัก น้ำท่วมไหลหลากและดินถล่มในพื้นที่ โดยเฉพาะเชียงใหม่ เชียงราย ในช่วงวันที่ 8-13 กันยายน 2567 

การออกคำเตือนดังกล่าว เป็นการเตือนแต่เพียงกว้างๆ ผ่านช่องทางสื่อสารทั่วไป ทางทีวี วิทยุ เฟซบุ๊ก โดยใช้ภาษาวิชาการยากจะเข้าใจ ทำให้ประชาชนไม่ตระหนักถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น เพราะทุกปีก็น้ำท่วมประจำไม่ได้หนักหนาอะไร

ข้อเสนอแนะของอาจารย์สนธิ คือ การสื่อสารหลังคาดการณ์น้ำจะท่วมรุนแรงที่ไหนบ้าง ควรให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือ อปท. สื่อสารถึงตัวประชาชนโดยตรงให้ชัดเจนว่าสถานการณ์ความรุนแรงอยู่ระดับไหน ที่ไหนต้องเก็บข้าวของ ต้องอพยพออกมาไปพักยังจุดใดบ้าง โดยผู้ว่าฯ หรือนายอำเภอ ต้องบัญชาการสั่งดำเนินการทันที กรณีในต่างประเทศ จะมี sms ส่งคำเตือนเข้าโทรศัพท์มือถือผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย ขณะที่ประเทศไทย ยังไม่มีมาตรการป้องกันล่วงหน้า มีแต่รอเกิดวิกฤต แล้วค่อยประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติ เพื่อนำงบมาแก้ไขและเยียวยา ซึ่งล่าช้ามาก เนื่องจากขาดแผนเผชิญเหตุฉุกเฉิน

กรณีน้ำท่วมอำเภอแม่สาย เชียงราย ครั้งนี้ ประชาชนจำนวนมากติดอยู่บนหลังคา ติดอยู่ในบ้านไม่ต่ำกว่าสองวัน หน่วยงานที่เข้าช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มของมูลนิธิฯ สมาคมฯและภาคประชาสังคม ส่วนหน่วยราชการล่าช้ามาก ยกเว้นหน่วยทหารที่สั่งการและออกปฏิบัติงานได้ทันที

โลกโซเซียลยังถามถึงการทำหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กระทั่งทาง อนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ต้องออกหน้ามากำชับผู้ว่าฯ เชียงราย ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมอย่างใกล้ชิดและช่วยเหลือประชาชนโดยเร่งด่วน

 เฉพาะปี 2567 นี้ อำเภอแม่สาย ถูกน้ำท่วมมาถึง 8 ครั้งแล้ว ไมตรี จงไกรจักร์ ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนไท และอดีตผู้ประสานงานเครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิ จึงตั้งคำถามว่า เมื่อแม่สายเป็นพื้นที่เสียงภัยจากน้ำป่า น้ำท่วมซ้ำซาก ทำไมประชาชนถึงได้รับความสูญเสียอย่างหนัก ทั้งที่มีการแจ้งเตือนพายุล่วงหน้าหลายวัน  

หากกรมอุตุฯ บอกว่าสามารถพยากรณ์ฝนล่วงหน้า 7 วัน แม่นยำถึง 90% ถ้าพยากรณ์ล่วงหน้า 3 วัน จะแม่นยำเกือบ 100% ส่วนข้อมูลการไหลของน้ำ ความแรง เส้นทางน้ำ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ก็รู้ ดังนั้นเมื่อรู้ทั้งข้อมูลฝนตกหนัก รู้เส้นทางน้ำ รู้ปริมาณน้ำในแหล่งต่างๆ แต่กลับไม่มีใครบอกคนแม่สายทำอะไร การเตือนภัยเป็นหน้าที่ของใครกันแน่?

เรื่องนี้ เขามองว่า ควรเป็นหน้าที่ของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งในกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย พร้อมแนะนำว่า การเตือนภัยควรมี 2 ระบบ แรกสุดเตือนล่วงหน้า 3 วัน โดยใช้ข้อมูลของ สทนช. มาประมวลผลแล้วออกคำเตือน และระบบที่สอง กรณีเร่งด่วน เตือนภายใน 24 ชั่วโมง โดยเชื่อมโยงกับทุกเครือข่ายสื่อสาร และส่งข้อความหรือ SMS ไปยังมือถือของผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง แทนแนวปฏิบัติขณะนี้ที่ส่งคำเตือนไปให้กับผู้บริหารส่วนราชการที่มีอำนาจตัดสินใจเท่านั้น

ในฐานะที่เคยเป็นผู้ประสบภัยสึนามิ ไมตรี สนใจแนวทางจัดการภัยพิบัติในรูปแบบชุมชนในพื้นที่เสี่ยงจัดการตัวเอง และเขาจัดทำข้อมูลชุมชนเสี่ยงภัยพิบัติทั่วประเทศ พบว่า มีมากถึง 4 หมื่นชุมชน ขณะที่ภาครัฐจัดสรรงบมาสร้างความรู้ให้ชุมชนได้เพียงปีละ 10-20 ชุมชน แห่งละ 2 หมื่นบาทเท่านั้น

ส่วนกรณีที่หน่วยงานรัฐอ้างว่าเหตุที่ไม่รายงานข้อมูลภัยพิบัติตรงไปยังประชาชน เพราะเกรงการตื่นตระหนก แท้จริงแล้วสะท้อนว่า เพราะรัฐเองไม่สามารถสร้างความไว้วางใจให้ประชาชนได้ การส่งข้อมูลที่แม่นยำ แม้จะหยุดภัยพิบัติไม่ได้ แต่ลดความสูญเสียลงได้มาก ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร ไปที่ไหน ไม่ใช่แค่แจ้งเตือนรวมๆ กว้างๆ ให้ไปคิดกันเอาเอง

ส่วนข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลใหม่ คือ สร้างช่องทางสื่อสารตรงถึงประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย ส่งเสริมให้ชุมชนเสี่ยงภัยมีความสามารถจัดการรับมือภัยพิบัติได้ด้วยตนเอง เมื่อเกิดวิกฤตหน่วยงานรัฐต้องเข้าช่วยเหลืออย่างทันท่วงที

หากสแกนลึกลงไปอีกขั้น  นายแพทย์ รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์ หรือ “หมอหม่อง” อาจารย์แพทย์โรคหัวใจ ประจำคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และนักอนุรักษ์เจ้าของรางวัลลูกโลกสีเขียว ชี้ว่าเมื่อพื้นที่ต้นน้ำ แม่สาย แม่จัน คือ ไร่ข้าวโพด ภูเขาหัวโล้น และป่าที่เสื่อมโทรม จากโดนไฟป่าซ้ำซาก เมื่อมีฝนตกหนักในพื้นที่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงน้ำป่าไหลทะลักลงมาท่วมชุมชน ฝายไม่อาจต้านทานสิ่งนี้และเป็นการแก้ไขไม่ตรงเหตุ การฟื้นฟูป่าต้นน้ำอย่างจริงจังเท่านั้น เราจึงจะรอดพ้นภัยพิบัตินี้ได้

ขณะเดียวกัน  เพจ ฝ่าฝุ่น  อธิบายสภาพสันปันน้ำของน้ำแม่น้ำสาย ต้นธารของน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมอำเภอแม่สายว่า อำเภอแม่สาย- ท่าขี้เหล็ก ตั้งอยู่ปากทางออกจากน้ำแม่สาย ที่รวมน้ำจากเทือกเขาขนาดใหญ่ด้านตะวันตกของตัวอำเภอในเมียนมาร์ ถือได้ว่าเป็นพื้นที่รับน้ำขนาดราว 340,000 ไร่ หรือ 543 ล้านตร.ม. น้ำที่ไหลมารวมกันส่วนหนึ่งป่าดูดซับเก็บไว้ ส่วนหนึ่งไหลบ่าลงมาตามแม่น้ำสาย พื้นที่รับน้ำมีระดับความสูงกว่าอำเภอแม่สายราว 200 เมตร ยาวประมาณ 50 กม. หรือเฉลี่ยความชัน 1 : 250 สำหรับลำน้ำถือว่าชันทีเดียว และน้ำจะหลากลงมาแบบน้ำป่า

แม่น้ำสายออกจากหุบเขาแล้วเป็นพรมแดนธรรมชาติ ชายแดนไทย-พม่า จากนั้นแม่น้ำแม่สายจะผ่านทะเลสาบสองสามแห่ง แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นแม่น้ำรวกแล้วลดระดับไหลคดเคี้ยวก่อนลงสู่แม่น้ำโขงที่สามเหลี่ยมทองคำ

พื้นที่รับน้ำของแม่น้ำแม่สายนั้นเป็นหุบเขาขนาดใหญ่ เกิดไฟป่าเป็นวงกว้างทั้งหุบเขานี้ทุกปี อาจเป็นส่วนหนึ่งที่น้ำป่าไหลลงรวดเร็วมากจากการขาดพืชคลุมดิน และผืนป่าเต็มไปด้วยขี้เถ้าจากการเผาที่เหมือนแผ่นฟิลม์กั้นไม่ให้น้ำซึมลงดินได้ง่าย และไฟป่ากลุ่มนี้ในพม่าที่ทำให้อำเภอแม่สาย มีมลพิษทางอากาศสูงที่สุดในประเทศไทยที่หนึ่งทุกปี






พุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวถึงเหตุการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นว่า นอกจากพื้นที่ตลาดสายลมจอยแล้ว ยังมีชุมชนแม่สาย หัวฝาย เหมืองแดง ไม้ลุงขน เกาะทราย ที่ได้รับผลกระทบด้วย น้ำที่ไหลลงมาตามลำน้ำสายมีขอนไม้ เศษไม้ สิ่งปฏิกูลไหลลงมาด้วย คาดว่าพื้นที่ป่าต้นน้ำในประเทศเมียนมาฝนคงตกหนัก

นอกจากฝนตกหนักฝั่งเมียนมา และสภาพป่าที่ถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่เกษตรกรรม ทำไร่ข้าวโพด ซึ่งเป็นสภาพต้นทางน้ำแล้ว ท้ายน้ำที่แม่น้ำรวกบรรจบกับแม่น้ำโขง ระดับน้ำแม่น้ำโขงเพิ่มสูงขึ้นมากช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการสร้างเขื่อนไชยะบุรีของลาว ทำให้การระบายน้ำทำได้ช้า ไม่นับการขยายตัวของอำเภอแม่สายฝั่งไทยและเมืองท่าขี้เหล็กฝั่งพม่า ที่มีสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้น ทำให้พื้นที่รับน้ำลดลง

ผู้ว่าฯ เชียงราย มองการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมแม่สายอย่างยั่งยืนว่า ลำน้ำที่ไหลเป็นเส้นแบ่งเขตแดนของไทย-เมียนมา มีลักษณะเป็นคอขวด มีการปลูกสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ ชุมชนขยายตัว บางส่วนกีดขวางทางน้ำ ทำให้ทางน้ำแคบลง ต้องอาศัยกลไกของคณะกรรมการระหว่างประเทศ หารือเพื่อหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน

รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้เชี่ยวชาญ คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ IPCC เตือนอย่าวางใจอาจเกิด Rain bomb คือ ฝนที่ตกหนักตกแรงแบบไม่ทันตั้งตัว ซึ่งเป็นผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีโอกาสเกิดบ่อยครั้งมากขึ้น ดังเช่นกรณีเชียงราย ที่น้ำท่วมจากเหตุฝนตกหนักต่อเนื่อง เราเตือนไปแล้วตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน เมื่อดูจากปริมาณน้ำฝนรายวันมากกว่า 200 มม. ถือเป็นเหตุการณ์รุนแรงในรอบกว่า 100 ปี แต่ด้วยความไม่พร้อมของหน่วยงานส่วนกลางในการประเมินความรุนแรง ทำให้หน่วยงานท้องถิ่นไม่มีข้อมูลที่จะแจ้งเตือนในรายละเอียดเชิงพื้นที่ และไม่มีความพร้อมที่จะจัดการได้

สทนช.ออกประกาศเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ในช่วงวันที่ 13-18 กันยายน 2567 ร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านประเทศไทยตอนบน ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงขึ้น ทำให้มีฝนเพิ่มขึ้นและฝนตกหนักบางแห่ง จึงขอให้เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน บริเวณที่ลุ่มต่ำและชุมชนเมืองที่เกิดน้ำท่วมขังอยู่เป็นประจำ รวมทั้งน้ำป่าไหลหลากในพื้นที่ 48 จังหวัด

 ขณะที่ระบบเตือนภัยน้ำท่วมและการรับมือกับภัยพิบัติฉุกเฉินมีข้อบกพร่อง รัฐบาลไทยกลับจัดสรรงบประมาณเกี่ยวกับน้ำท่วมโดยทุ่มเทไปกับการก่อสร้างมากที่สุด ตามรายงานของ Rocket Media Lab ระบุว่า งบประมาณที่เกี่ยวกับน้ำท่วม ประจำปีงบประมาณ 2566 เป็นงบประมาณก่อสร้างมากที่สุด คิดเป็น 76.99% หรือเกิน 3 ใน 4 ของงบประมาณทั้งหมด จำนวน 41,093 ล้านบาท 

รองลงมาเป็นงบที่เกี่ยวกับการบำรุงรักษา 21.77% จำนวน 11,621 ล้านบาท งบด้านการวางแผน 0.46% จำนวน 247 ล้านบาท งบที่เกี่ยวกับการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล 0.40% จำนวน 211 ล้านบาท และงบด้านบริหารจัดการ 0.38% จำนวน 203 ล้านบาท

 เป็นสภาพที่ไม่ว่าจะทุ่มเทงบประมาณไปมากมายเท่าใด การเตือนภัยและช่วยเหลือประชาชนเมื่อเกิดอุทัยภัยก็ล่าช้ามาไม่ทันการณ์อย่างที่เห็นและเป็นอยู่ ไม่ว่าที่เชียงรายหรือที่ไหนๆ 


กำลังโหลดความคิดเห็น