"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
กบฏไท่ผิง ในประเทศจีน ที่เกิดขึ้นช่วงปลายราชวงศ์ชิง ระหว่าง ค.ศ. 1850-1864 เป็นพายุมหาวิบัติที่กวาดไปทั่วประเทศจีน ทำให้ประเทศจมอยู่ในเปลวเพลิงแห่งความขัดแย้งในการช่วงชิงอำนาจและการต่อสู้ทางอุดมการณ์
กบฏปะทุขึ้นจากมณฑลทางใต้ เป็นดังกระแสน้ำท่วมที่เชี่ยวกรากแห่งความไม่สงบทางสังคม ที่จะทำให้ราชวงศ์ชิงจมดิ่งลงไปอยู่ใต้คลื่นแห่งการทำลายล้าง กลุ่มกบฏนำโดย หง ซิ่วเฉวียน ผู้ประกาศตนเป็นศาสดาพยากรณ์ การกบฏครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการลุกฮือทางทหาร แต่เป็นการปฏิวัติต่อต้านจักรวรรดิที่มีอายุหลายศตวรรษ ซึ่งเต็มไปด้วยการคอร์รัปชัน ความเสื่อมถอย และการรุกรานจากต่างชาติ อุดมการณ์อันรุนแรงของการกบฏ ซึ่งผสมผสานองค์ประกอบของคริสต์ศาสนา และความเสมอภาคแบบคอมมิวนิสต์ยุคแรก ท้าทายโครงสร้างของสังคมจีนอย่างถึงรากถึงโคน
หง ซิ่วเฉวียน ผู้นำกบฏ ประกาศตนเป็นน้องชายของพระเยซูคริสต์โดยผสมผสานความคลั่งไคล้ทางศาสนาเข้ากับความกระตือรือร้นเพื่อความยุติธรรมทางสังคม วิสัยทัศน์ของเขาเกี่ยวกับ “อาณาจักรสวรรค์แห่งสันติภาพอันยิ่งใหญ่”สัญญาถึงโลกใหม่ ที่ความยากจน ความไม่เท่าเทียม และความอยุติธรรมจะถูกขจัดออกไปภายใต้ธงแห่งความชอบธรรมอันศักดิ์สิทธิ์
แต่ความฝันอันสูงส่งนี้ เช่นเดียวกับการบินของอิคารัสสู่ดวงอาทิตย์ ถูกลิขิตให้ล่มสลายภายใต้น้ำหนักของความขัดแย้งภายในและแรงกดดันจากภายนอก ความสำเร็จในช่วงแรกของขบวนการในการยึดนานกิง ถูกบดบังด้วยความเสื่อมถอยที่ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาจากการต่อสู้แย่งชิงความเป็นผู้นำ ความเคร่งครัดในหลักการมากเกินไป และในที่สุดก็ถูกแทรกแซงทางทหารโดยมหาอำนาจตะวันตกและผู้จงรักภักดีต่อราชวงศ์ชิง
ในท้ายที่สุด กบฏไท่ผิงได้ทิ้งรอยแผลเป็นอันไม่อาจลบเลือนไว้บนผืนแผ่นดินจีน รอยแผลที่ถูกสลักด้วยเลือดของผู้คนนับล้าน โดยประมาณการกันว่ามีผู้เสียชีวิตอยู่ระหว่าง 20 ถึง 30 ล้านคน ทำให้การกบฏครั้งนี้เป็นหนึ่งในความขัดแย้งนองเลือดที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ความล้มเหลวของการกบฏเป็นชัยชนะชั่วคราวสำหรับราชวงศ์ชิง แต่ตัวราชวงศ์เอง เหมือนต้นไม้โบราณที่ผุพังจากภายใน ก็ยังคงเหี่ยวเฉาอย่างต่อเนื่อง ปูทางให้กับการลุกฮือในอนาคตและการล่มสลายของการปกครองแบบจักรพรรดิในที่สุด กบฏไท่ผิง ในความทะเยอทะยานและโศกนาฏกรรม ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจอันน่าเศร้าใจว่า พลังแห่งการปฏิรูปและการปฏิวัติ แม้จะมีเจตนาอันดีงาม มักจะแฝงไว้ด้วยเมล็ดพันธุ์แห่งความพินาศของตนเองไว้ภายใน
การกบฏไท่ผิง ไม่ใช่การระเบิดของความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่เป็นผลพวงจากความคับข้องใจที่ฝังรากลึกและปัจจัยอันซับซ้อนที่คุกรุ่นมานานหลายทศวรรษ เป็นการปะทุขึ้นจากการผสมผสานของความไม่พอใจทางสังคม การเมือง และศาสนา สาเหตุรากฐานเหล่านี้ ซึ่งฝังลึกอยู่ในโครงสร้างของสังคมจีนในศตวรรษที่ 19 บริบทเหล่านี้เปรียบเสมือนเชื้อเพลิงแห้งที่รอการถูกจุดด้วยประกายไฟแห่งการปฏิวัติ
จีนในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เป็นดินแดนที่กำลังเดินอยู่บนขอบของหายนะ เมื่อความอดอยากและความยากลำบากทางเศรษฐกิจขยายตัวไปสู่ประชาชนส่วนใหญ่ ประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้แซงหน้าผลิตทางการเกษตร ทำให้ชาวนานับล้านต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เช่นเดียวกับพืชผลที่เหี่ยวเฉาในดินที่แห้งแล้ง ชุมชนทั้งหมดต่างก็ขาดแคลนทรัพยากรที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต มากไปกว่านั้น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งสร้างความทุกข์ยากแก่ชาวบ้านอย่างหนักหนาสาหัสอยู่แล้ว ก็ถูกซ้ำเติมให้ทวีความรุนแรงขึ้นด้วยการเก็บภาษีที่สูงเกินไปของรัฐบาลและการบรรเทาทุกข์ที่ไร้ประสิทธิภาพของผู้ปกครองประเทศ ยิ่งทำให้เศรษฐกิจในชนบทตึงเครียดมากขึ้น ความสิ้นหวังของมวลชนกลายเป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์สำหรับการก่อกบฏ ขณะที่คำสัญญาของขบวนการไท่ผิงได้เสนอทางออกจากความหิวโหยและความยากจน
ราชวงศ์ชิง แม้จะยังทรงอำนาจ แต่ก็เป็นราชวังที่กำลังผุพังของการปกครองจีน เต็มไปด้วยการคอร์รัปชันและความไร้ประสิทธิภาพ ข้าราชการท้องถิ่น ซึ่งมักสนใจผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าการรับใช้สาธารณะ เอารัดเอาเปรียบชาวนาด้วยการเก็บภาษีสูง การรับสินบน และการละเลยงานทางราชการ ชนชั้นปกครองได้แยกตัวออกจากความทุกข์ยากของประชาชน เปรียบเสมือนจักรพรรดิที่อยู่อย่างปลอดภัยภายในกำแพงวังของเขา ในขณะที่จักรวรรดิของเขากำลังพังทลายนอกประตูวัง ความไม่พอใจที่เพิ่มขึ้นต่อรัฐบาลชิงนี้ เป็นแรงผลักดันอันทรงพลังสำหรับการก่อกบฏ เมื่อหลายคนเริ่มมองว่าราชวงศ์ไม่ใช่ผู้ปกป้อง แต่เป็นผู้กดขี่
ท่ามกลางเชื้อเพลิงแห่งความยากจนและการทุจริต ประกายไฟถูกจุดขึ้นโดยอุดมการณ์ต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคริสต์ศาสนา การเผยแผ่คำสอนของมิชชันนารีคริสเตียนในภาคใต้ของจีน ได้นำแนวคิดทางศาสนาใหม่ ๆ มาสู่ประชาชนที่ไร้ความหวังต่อการดำรงชีวิต ซึ่งหลายคนกำลังแสวงหาความหวังท่ามกลางการล่มสลายของสังคม
หง ซิ่วเฉวียน ผู้นำของกบฏไท่ผิง ได้ผสมผสานคำสอนเหล่านี้เข้ากับนิมิตของตนเอง โดยประกาศตนเป็นน้องชายของพระเยซูคริสต์ และเรียกร้องให้สถาปนา “อาณาจักรสวรรค์แห่งสันติภาพอันยิ่งใหญ่” การผสมผสานระหว่างหลักคำสอนเรื่องวาระสุดท้ายของคริสต์ศาสนากับความเชื่อลัทธิจุติสหัสวรรษของจีนนี้ กลายเป็นรากฐานทางอุดมการณ์ของขบวนการ ดึงดูดผู้คนให้เข้าร่วมโดยเชื่อว่าพวกเขากำลังต่อสู้ไม่ใช่เพียงแค่เพื่อการปฏิรูปทางการเมือง แต่เพื่อความยุติธรรมอันศักดิ์สิทธิ์
วิสัยทัศน์ทางศาสนาของหง ซิ่วเฉวียน ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนทางอุดมการณ์เบื้องหลังกบฏไท่ผิง มีความเป็นเฉพาะตนและเปี่ยมด้วยรุนแรง มีรากฐานจากประสบการณ์ทางจิตวิญญาณส่วนตัวหลายประการ หลังจากสอบราชการล้มเหลวหลายครั้ง หงได้พบกับข้อความทางศาสนาคริสต์ และในช่วงเวลาที่เขาประสบกับภาวะวิกฤตทั้งทางร่างกายและจิตใจ เขามีความฝันที่เขาเชื่อว่ามาจากพระเจ้า ในความฝันนั้น เขาเห็นตัวเองเป็นน้องชายของพระเยซูคริสต์ ซึ่งได้รับมอบหมายจากพระเจ้าให้ขจัดมารร้ายออกจากประเทศจีน และช่วยเหลือประเทศจีนให้พ้นจากความเสื่อมทรามทางศีลธรรมและการเมือง และสร้างระเบียบใหม่ขึ้นมา ความฝันนี้กลายเป็นพื้นฐานสำคัญของความเชื่อทางศาสนาและการเมืองของเขา การที่เขาระบุตัวเองว่าเป็นบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้า ทำให้เขารู้สึกมีพลังอำนาจและมีจุดมุ่งหมายที่ชอบธรรม
วิสัยทัศน์ของหงไม่ใช่เพียงเรื่องทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังมีนัยทางการเมืองอย่างลึกซึ้ง เขามุ่งมั่นที่จะสถาปนา “อาณาจักรสวรรค์แห่งสันติภาพอันยิ่งใหญ่” ซึ่งเป็นรัฐเทวาธิปไตยที่ปกครองโดยอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์และหลักการคริสต์ศาสนา ในอาณาจักรนี้ ความเสมอภาค ความยุติธรรมทางสังคม และความศรัทธา จะมาแทนที่การทุจริต ความไม่เท่าเทียม และความทุกข์ทรมานที่รังควานจีนในสมัยราชวงศ์ชิง อาณาจักรสวรรค์ไท่ผิงสัญญาว่าจะมีการกระจายที่ดิน การยกเลิกทรัพย์สินส่วนบุคคล ความเท่าเทียมทางเพศ และจรรยาบรรณที่เคร่งครัด ซึ่งห้ามการปฏิบัติต่าง ๆ เช่น การรัดเท้า การสูบฝิ่น และการพนัน
วิสัยทัศน์ทางศาสนาของหงได้เปลี่ยนคริสต์ศาสนาให้กลายเป็นการเรียกร้องให้จับอาวุธปฏิวัติ ปลุกระดมมวลชนให้ตระหนักว่าสารอันศักดิ์สิทธิ์ของเขาเป็นหนทางสู่ความรอดทั้งในชีวิตนี้และชีวิตหน้า อย่างไรก็ตาม การตีความคริสต์ศาสนาของเขาแตกต่างอย่างมากจากเวอร์ชันที่มิชชันนารีชาวตะวันตกเทศนา คำสอนของหงเน้นย้ำบทบาทของตัวเขาเองในฐานะบุตรที่พระเจ้าเลือกสรร และมุ่งเน้นไปที่การสถาปนาสังคมในอุดมคติบนโลก มากกว่าความรอดทางจิตวิญญาณเพียงอย่างเดียว ความกระตือรือร้นแบบพระผู้มาโปรดนี้ ผนวกกับวิสัยทัศน์การปฏิรูปทางสังคมและการเมือง ได้รับการตอบสนองจากผู้คนที่ถูกกดขี่ และดึงดูดผู้คนหลายหมื่นคนให้เข้าร่วมอุดมการณ์ของเขา
ในมณฑลกวางสี อันยากไร้และอดยาก เป็นพื้นที่ห่างไกลและทุรกันดารทางตอนใต้ของจีน เมล็ดพันธุ์แห่งการกบฏได้พบดินแดนที่อันอุดมสมบูรณ์ ภูมิภาคนี้ถูกคุกคามโดยโจรผู้ร้าย และความตึงเครียดทางชาติพันธุ์ระหว่างชาวฮั่นและชาวจ้วงซึ่งเป็นชนพื้นเมืองได้เพิ่มความไร้เสถียรภาพของสังคม ณ ที่แห่งนี้เอง ขบวนการทางศาสนาของหงได้ดึงดูดผู้ติดตามที่หลากหลาย หลายคนเป็นชาวนายากจนและคนงานเหมืองที่สิ้นหวัง ซึ่งต่างก็ปรารถนาแสวงหาทางเลือกอื่นมาแทนการปกครองที่กดขี่ของราชวงศ์ชิง ผู้ศรัทธากลุ่มแรก ๆ เหล่านี้ ซึ่งได้รับแรงบัลดาลใจจากการอ้างความโปรดปรานจากสวรรค์ของหง เริ่มจัดตั้งตัวเองเป็นกองกำลังที่มีระเบียบวินัย พร้อมที่จะท้าทายกำลังของราชวงศ์ชิง
การปะทะครั้งสำคัญครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นพยายามปราบปรามผู้นับถือพระเจ้า เพราะกลัวอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของขบวนการ ผู้ติดตามของหงการนำของ เฟิง หยุนซาน ได้ตอบโต้อย่างไม่หวั่นเกรง จากนั้น การปะทะเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ขยายตัวอย่างรวดเร็วกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ แม้กองทัพไท่ผิงจะขาดแคลนอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่ก็ต่อสู้ด้วยความกล้าหาญและความมุ่งมั่น โดยเชื่อมั่นว่าพวกเขาได้รับคำสั่งจากสวรรค์ให้โค่นล้มราชวงศ์ชิง การกบฏได้กลายเป็นขบวนการที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เมื่อหงประกาศจุดเริ่มต้นของการลุกฮืออย่างเป็นทางการในวันที่ 11 มกราคม ค.ศ.1851 ประกาศตนเองเป็น "ฮ่องเต้สวรรค์" และประกาศการก่อตั้ง "อาณาจักรสวรรค์แห่งสันติภาพอันยิ่งใหญ่" (ไท่ผิงเทียนกั๋ว)
จากการปะทะในช่วงแรกในกวางสี กบฏไท่ผิงแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปทั่วจีนตอนใต้ คำสัญญาของขบวนการที่จะสร้างระเบียบแบบใหม่ที่เท่าเทียมกัน ผนวกกับภาวะผู้นำเชิงบารมีและสารทางศาสนาของหง สร้างแรงบันดาลใจให้กับชาวนา คนงาน และชนกลุ่มน้อยที่ถูกกดขี่จำนวนมาก เมื่อสิ้นปี ค.ศ. 1951 กองกำลังไท่ผิงได้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากหลายหมื่นคน ขณะที่พวกเขาเดินทัพผ่านชนบท รวบรวมผู้สนับสนุนและยึดเมืองต่าง ๆ รัฐบาลราชวงศ์ชิง ซึ่งถูกจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัวจากการเติบโตอย่างฉับพลันของขบวนการทางศาสนาและการเมืองนี้ พยายามดิ้นรนอย่างยากลำบากเพื่อตอบโต้ในช่วงปีแรก ๆ ของการกบฏ
เมื่อกองทัพไท่ผิงเคลื่อนตัวไปทางเหนือ ยึดเมืองยุทธศาสตร์สำคัญ ๆ ได้ กำลังของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ ภายในปี ค.ศ. 1953 กองกำลังกบฏได้ยึดนานกิง หนึ่งในเมืองสำคัญที่สุดของจีน ซึ่งพวกเขาเปลี่ยนชื่อเป็นเทียนจิง (เมืองหลวงแห่งสวรรค์) เหตุการณ์นี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการกบฏ เมื่อนานกิงกลายเป็นฐานปฏิบัติการของอาณาจักรสวรรค์ไท่ผิงในทศวรรษต่อมา ความเร็วที่การกบฏได้รับแรงฉุดในช่วงปีแรก ๆ นี้สร้างความประหลาดใจให้กับผู้สังเกตการณ์จำนวนมาก ทั้งชาวจีนและชาวต่างชาติ และในไม่ช้าก็เป็นที่ชัดเจนว่ากบฏไท่ผิงเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของราชวงศ์ชิง
ในปี ค.ศ. 1851 หง ซิ่วเฉวียนประกาศการสถาปนาอาณาจักรสวรรค์ไท่ผิง รัฐเทวาธิปไตยปฏิวัติที่มุ่งหมายจะแทนที่ราชวงศ์ชิงและนำมาซึ่งยุคใหม่แห่งการปกครองโดยสวรรค์ การประกาศอันกล้าหาญนี้เป็นเครื่องหมายของการเปลี่ยนแปลงจากขบวนการทางศาสนาท้องถิ่นไปสู่การกบฏทางการเมืองและการทหารเต็มรูปแบบ ซึ่งจะทำให้จีนตกอยู่ในสงครามกลางเมืองที่นองเลือดกว่าทศวรรษ คำประกาศของหงไม่ใช่แค่การปฏิเสธอำนาจของราชวงศ์ชิงเท่านั้น แต่ยังเป็นวิสัยทัศน์อันทะเยอทะยานของสังคมใหม่ที่สร้างขึ้นบนความเชื่อทางศาสนาและคำสัญญาในการปฏิรูปสังคมอย่างถึงรากถึงโคนของเขา
เมื่อวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 1851 หง ซิ่วเฉวียน ซึ่งได้รับกำลังใจจากผู้ติดตามจำนวนมากที่เพิ่มขึ้นและการต่อต้านกองกำลังราชวงศ์ชิงที่ประสบความสำเร็จในมณฑลกวางสี ได้ประกาศตนเองอย่างเป็นทางการว่าเป็น “เทียนหวาง” (กษัตริย์สวรรค์) ของอาณาจักรสวรรค์ไท่ผิง อาณาจักรใหม่นี้ถูกจินตนาการให้เป็นการปรากฏบนโลกของพระประสงค์ของพระเจ้า โดยมีหงเป็นผู้ปกครองจากสวรรค์ ซึ่งพระเจ้าทรงเลือกให้เป็นผู้นำพาชาวจีนเข้าสู่ยุคแห่งสันติภาพและความชอบธรรม ในทางทฤษฎีแล้ว อาณาจักรสวรรค์ไท่ผิงมีเป้าหมายที่จะแทนที่ราชวงศ์ชิงที่เน่าเฟะและ “ถูกปีศาจครอบงำ” ด้วยระบอบการปกครองแบบเทวาธิปไตยที่อยู่บนพื้นฐานของการตีความคริสต์ศาสนาของหง ซิ่วเฉวียน
การสถาปนาอาณาจักรสวรรค์ไท่ผิงเป็นมากกว่าสัญลักษณ์ มันคือการประกาศสงครามกับระบอบการปกครองของราชวงศ์ชิง นับจากจุดนี้เป็นต้นไป กองกำลังไท่ผิงได้วางตำแหน่งตนเองไม่ใช่แค่เป็นกบฏ แต่เป็นรัฐบาลทางเลือกที่ชอบธรรม ซึ่งนำเสนอระเบียบทางสังคมและการเมืองแบบใหม่สำหรับจีน การประกาศนี้ได้รับเสียงตอบรับอย่างกว้างขวางจากประชาชนที่ถูกกดขี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวนาและกรรมกร ซึ่งมองเห็นขบวนการไท่ผิงเป็นคำสัญญาแห่งความรอดพ้นจากความทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและจิตวิญญาณ (ยังมีต่อ)
อ้างอิง
Kuhn, Philip A. Rebellion and Its Enemies in Late Imperial China: Militarization and Social Structure, 1796-1864. Cambridge, MA: Harvard University Press, 1970.
Platt, Stephen R. Autumn in the Heavenly Kingdom: China, the West, and the Epic Story of the Taiping Civil War. New York: Knopf, 2012.
Spence, Jonathan D. God's Chinese Son: The Taiping Heavenly Kingdom of Hong Xiuquan. New York: W. W. Norton, 1996.