ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - แม้จะเป็นที่รับรู้กันว่า ตลาดซื้อขายรถยนต์ประเทศไทยอยู่ในช่วงขาลง อย่างต่อเนื่อง แต่ดูเหมือนว่า ปัญหายังคงไม่จบสิ้น แถมยังมีแนวโน้มที่น่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อยว่า หนทางข้างหน้าจะดำเนินไปอย่างไร
โดยเฉพาะศึกระหว่าง “เครื่องยนต์สันดาป” ที่เวลานี้กำลังผลักดัน “ไฮบริด” มาเป็นธงนำในการทำการตลาด และ “เครื่องยนต์ไฟฟ้า” ที่เร่งเครื่องในทุกทิศทิศทุกทาง พร้อมทั้งใช้ “สงครามราคา” เป็นใบเบิกทาง
สัปดาห์ที่ผ่านมามี 2 เหตุการณ์อัน “น่าตื่นตระหนก” และถือว่าเป็น “สัญญาณอันตราย” ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเลยก็ว่าได้
เหตุการณ์แรกก็คือทำให้สินเชื่อเช่าซื้อยานยนต์ในระบบธนาคารไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 หดตัว 6.2% พร้อม ๆ กับแนวโน้มคุณภาพหนี้ที่มีปัญหามากขึ้น โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า สินเชื่อเช่าซื้อในปี 2567 นี้ จะหดตัวลง 5.5% ซึ่งจะเป็นการหดตัวติดต่อกันเป็นปีที่ 2
ตัวเลขสินเชื่อเช่าซื้อที่หดตัว แปลไทยเป็นไทยก็คือ คนกู้เงินซื้อรถยนต์น้อยลงกว่าเดิม และธนาคารก็ปล่อยสินเชื่อยากขึ้น เพราะเพิ่มความระวังด้วยเกรงว่า หนี้จะสูญ นั่นเอง
และถัดจากนั้นไม่นานนักก็เกิด เหตุการณ์อันน่าตื่นตระหนกคำรบที่สองเมื่อ “เกรท วอลล์ มอเตอร์(GWM)” ส่งแคมเปญ The GREAT DEAL ลดแรง แซงทุกดีล กระตุ้นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าก่อนสิ้นปี 67 ด้วยการลดราคา ORA Good Cat และ HAVAL ตลอดเดือน ก.ย. 67 แบบที่ต้องอ้าปากค้างไปตามๆ กัน
ยกตัวอย่างเช่น GWM New ORA Good Cat รุ่น GT จากราคา 1,099,000 บาท เหลือเพียง 859,000 บาท หรือลดถึง 240,000 บาท หรือ All New GWM HAVAL H6 Plug-in Hybrid SUV จากราคา 1,699,000 บาท เหลือเพียง 1,249,000 บาท หรือลดลงไปถึง 450,000 บาท เป็นต้น
เป็นการลดราคาที่หลายคนใช้คำว่า “บ้าระห่ำ” ซึ่งนั่นก็หมายความว่า แบรนด์ญี่ปุ่นและแบรนด์ตะวันตกที่ยังตามไม่ทันจะได้รับผลกระทบไปเต็มๆ
ขณะเดียวกันสิ่งที่เกิดขึ้นยังสะท้อนให้เห็นว่า ตลาดรถยนต์ยังไม่กระเตื้องขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น ไม่เช่นนั้นแล้ว คงไม่ลดราคากันแบบ “ไปไม่หยุดฉุดไม่อยู่” เยี่ยงนี้
“เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระในการซื้อรถยนต์ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันในปัจจุบัน และทำให้ลูกค้าของเราสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์พลังงานใหม่จาก GWM ได้ง่ายขึ้น”นายณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ GWM กล่าวถึงสาเหตุของการจัดโปรโมชั่นดังกล่าว
กระนั้นก็ดี เมื่อตรวจสอบยอดขายของ GWM ในช่วงที่ผ่านก็คงทำให้ถึง “บางอ้อ” เพราะลดลงไปอย่างน่าใจหาย กล่าวคือ ยอดขาย 7 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.ค.67) ทำได้ 4,489 คัน ลดลง 35.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ทว่า ไม่ใช่แค่ GWM เท่านั้น ขณะที่แบรนด์จีนผู้มาก่อนอย่าง เอ็มจี เพิ่งเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ All new MG3 HYBRID+ แต่ไม่กล้าตั้งราคาสูง โดยเปิดราคาพิเศษช่วงแนะนำต่ำกว่า 6 แสนบาท หรือ BYD ก็เปิดตัวเอสยูวีปลั๊ก-อินไฮบริด รุ่นประกอบในประเทศ BYD Sealion 6 ราคา 939,900 บาท ถือเป็นรถ PHEV ราคาต่ำที่สุดในตลาด
ขณะที่ปลายปีนี้ยังมีรถจีนแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาบุกตลาดไทยต่อเนื่อง ทั้ง จีลี่ โดยแบรนด์ Riddara กระบะไฟฟ้า และ Galaxy เอสยูวี EV รวมถึงค่าย FAW ในแบรนด์ หงฉี ที่ได้พันธมิตรในไทยเรียบร้อยและวางแผนเปิดตัวธุรกิจอยู่ ซึ่งก็คงไม่แคล้วใช้ “ราคา” เป็นกลยุทธ์หลักในการทำการตลาดเช่นเดียวกัน
ศูนย์วิจัย กสิกรไทย เปิดเผยข้อมูลธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในไทย ตามฐานข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดเช่าซื้อรถยนต์ ในภาพรวมประมาณ 65% ของระบบ พบว่า สินเชื่อเช่าซื้อ ณ สิ้นไตรมาส 2/2567 หดตัว 6.2% จากระยะเดียวกันของปีก่อน (YOY) ซึ่งหดตัวลึกลงจากไตรมาสแรกที่หดตัว 3.0% YOY ขณะที่ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ยอดคงค้างสินเชื่อเช่าซื้อลดลงจาก ณ สิ้นปี 2566 ประมาณ 5.77 หมื่นล้านบาท
สาเหตุหลักมาจากการ “ชำระคืนหนี้” ตามงวดผ่อนชำระของยอดสินเชื่อเดิม ในอัตราที่เร็วกว่ายอดจัดสินเชื่อใหม่ ที่คาดว่าจะลดลงตามยอดขายรถใหม่ที่หดตัว 24.2% ในครึ่งปีแรก ประกอบกับน่าจะมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากปัญหาด้านรายได้และกำลังซื้อ รวมถึงนโยบายเครดิตที่ระมัดระวังของผู้ให้บริการสินเชื่อในภาพรวม
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ณ สิ้นปี 2567 สินเชื่อเช่าซื้อรถจะหดตัว 5.5% ซึ่งเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่สอง จากที่หดตัว 0.4% ในปี 2566 และต่ำกว่าประมาณการเดิมที่คาดไว้ที่ขยายตัว 1.0-2.0% ค่อนข้างมาก สอดคล้องกับยอดขายรถยนต์ใหม่ในปีนี้ที่คาดว่าจะลดลงจากสมมุติฐานเดิม มาอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 600,000 คัน
3 ประเด็นกดดันสินเชื่อเช่าซื้อที่น่าจะยังไม่คลี่คลายโดยเร็ว ประกอบด้วย
1.ผลบวกจากยอดขายรถ BEV ต่อสินเชื่อเช่าซื้อปีนี้มีจำกัด แม้ในปี 2567 ยอดขายรถ BEV จะเป็นตัวแปรสำคัญในการช่วยดันยอดขายรถในภาพรวมด้วยส่วนแบ่งต่อยอดขายรวมที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นแตะ 11.7% เทียบกับ 9.5% ในปี 2566
อย่างไรก็ตาม การตีตลาดของรถ BEV จากค่ายรถต่างประเทศที่ราคาต่ำลง ทำให้ผู้ซื้อบางส่วนเลื่อนการตัดสินใจซื้อรถใหม่ออกไป ทำให้สินเชื่อเช่าซื้อไม่ได้อานิสงส์จากยอดขายรถ BEV มากดังที่ควรจะเป็น
2.ปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงและปัญหาคุณภาพหนี้ เป็นเงื่อนไขหลักที่ทำให้เกิดการชะลอตัวทั้งฝั่งความต้องการซื้อรถและความต้องการปล่อยสินเชื่อ โดย ณ ไตรมาสที่ 2/2567 สัดส่วนสินเชื่อ Stage 2 (ค้างชำระ 30-90 วัน) และ NPL (ค้างชำระเกิน 90 วัน) ต่อสินเชื่อเช่าซื้อรวม ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 17.35% โดยเป็นการเร่งตัวขึ้นทั้งในส่วนของสินเชื่อค้างชำระ Stage 2 ขยับขึ้นมาที่ 15.09% และสัดส่วน NPL มาที่ 2.26% จากไตรมาสแรกสัดส่วนสินเชื่อ Stage 2 อยู่ที่ 14.49% และสัดส่วน NPL อยู่ที่ 2.14%
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า สัดส่วนสินเชื่อ Stage 2 และ NPL ต่อสินเชื่อเช่าซื้อรวม มีโอกาสขยับเข้าหาระดับ 18% ในช่วงสิ้นปี 2567 เนื่องจากสถานการณ์รายได้ในภาพรวมของกลุ่มลูกหนี้รายย่อยยังน่าจะไม่ดีขึ้น สวนทางกับภาระค่าใช้จ่าย หรือภาระการชำระหนี้ที่ยังอยู่ในระดับสูง
ข้อสังเกตเพิ่มเติม คือ การก่อหนี้รถไม่ใช่หนี้ประเภทเดียวที่ผู้กู้มีในปัจจุบัน ผู้กู้จึงอ่อนไหวต่อเหตุการณ์ไม่คาดคิดมากขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ และอาจทำให้สถานการณ์ยึดรถยังน่าจะอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง
จากแบบสอบถามของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ในช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค. 2567 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ที่มีสินเชื่อเช่าซื้อ มักมีหนี้มากกว่า 1 ประเภท โดยเฉลี่ยแล้วมีหนี้อยู่ประมาณ 2.66 ผลิตภัณฑ์ และประมาณ 19.0% ของผู้ตอบแบบสอบถาม เป็นผู้ที่น่าจะเคยมีปัญหาการชำระหนี้ เพราะเคยผ่านการปรับโครงสร้างหนี้มาแล้ว
3.มาตรการดูแลการปล่อยสินเชื่อ อาทิ มาตรการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ซึ่งในกรณีของสินเชื่อใหม่ ผู้ให้บริการโดยเฉพาะสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้การกำกับของ ธปท. จะต้องคำนึงถึงรายได้คงเหลือจากการชำระหนี้ในแต่ละเดือน ให้มีเพียงพอต่อการดำรงชีพ
ขณะที่ในกรณีของลูกหนี้ที่มีสัญญาณว่าจะมีปัญหาและไม่เคยปรับโครงสร้างหนี้มาก่อน ผู้ให้บริการจะต้องเสนอแผนปรับโครงสร้างหนี้ 2 ครั้ง ตามแนวทางที่กำหนด ซึ่งแม้จะดีกับลูกหนี้ แต่ก็เพิ่มกระบวนการให้กับผู้ให้บริการ
นอกจากนี้ สินเชื่อเช่าซื้อที่ผ่านกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ทยอยเพิ่มสูงขึ้น ก็เป็นสัญญาณเตือนให้สถาบันการเงินต้องเพิ่มความระมัดระวังต่อความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับปัญหาคุณภาพหนี้ในระยะข้างหน้า
ขณะที่ตลาดลูกค้าที่มีศักยภาพ จำกัดอยู่ที่ฐานรายได้ระดับกลางและบน ทั้งนี้ ผู้ให้บริการมีแนวโน้มให้น้ำหนักกับลูกค้าที่มีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 30,000 บาท หรือ 50,000 บาทขึ้นไปมากขึ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนเงินออมเฉลี่ยต่อรายได้ ในระดับที่ใกล้เคียงหรือสูงกว่าสัดส่วนภาระหนี้เฉลี่ยต่อรายได้ โดยที่อาจต้องเลือกระยะเวลาผ่อนที่ยาวขึ้น เพื่อให้สามารถดูแลยอดผ่อนต่อเดือนได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดอายุสัญญา
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ตลาดรถมือสองยังมีความเสี่ยงสูง ทำให้ผู้ให้บริการสินเชื่อคงเน้นไปที่ตลาด “จำนำทะเบียน” โดยแม้ดัชนีราคารถยนต์นั่งมือสองเริ่มปรับตัวดีขึ้น จากจุดต่ำสุดในช่วงปลายปี 2566 แต่ภาพรวมตลาดก็ยังอยู่ในภาวะซบเซา เพราะความเสี่ยงของลูกค้ารถมือสองอยู่ในระดับสูงกว่ารถมือหนึ่ง ผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อจึงยังให้ความระมัดระวังในการเล่นตลาดดังกล่าว โดยเฉพาะผู้เล่นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ทำให้ตลาดมือสองต้องอาศัยผู้เล่นที่เป็นบริษัทเช่าซื้อและลีสซิ่งน็อนแบงก์มากขึ้น
นอกจากนี้ ด้วยความเสี่ยงของลูกค้าที่ยังสูง จึงทำให้จะยังคงเห็นภาพการจัดไฟแนนซ์ด้วยวงเงิน (LTV) ที่ลดลง เพิ่มเงินดาวน์ หรือภาพที่เต็นท์รถเน้นให้ลูกค้าซื้อรถด้วยเงินสดมากขึ้น
ดังนั้น ผู้ให้บริการสินเชื่อจึงอาจเลือกเพิ่มผลตอบแทนของพอร์ตในภาพรวม ด้วยการที่ยังคงให้น้ำหนักกับตลาดจำนำทะเบียน โดยเฉพาะแบบโอนความเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในรถ (โอนเล่ม) ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า ส่วนแบบไม่โอนเล่มแต่ใช้ทะเบียนรถเป็นประกัน คงต้องจับตาความเสี่ยงคุณภาพหนี้ที่เพิ่มขึ้น หลังจากที่ปัจจัยนี้ส่งผลทำให้สินเชื่อกลุ่มนี้เติบโตชะลอลง โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/2567 สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน (รวมแบงก์และน็อนแบงก์) ขยายตัว 25.3% ชะลอลงจาก 36.2% ณ สิ้นปี 2566
ด้าน “ดร.อมรเทพ จาวะลา” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย มองว่า สถานการณ์ราคารถยนต์ที่ลดลงเป็นปัจจัยที่น่าห่วง แม้จะเป็นเพียงสงครามด้านราคา แต่อีกด้านสะท้อนกำลังซื้อคนในประเทศที่อ่อนแอมากขึ้น เพราะภาคอุตสาหกรรมรถยนต์เป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศ และเป็นปัจจัยที่ 4-5
ดังนั้นราคารถที่ลดลงไม่เพียงเฉพาะการแข่งขันด้านราคาเท่านั้น แต่สะท้อนถึงกำลังซื้อระดับล่างและระดับกลางของระบบของระบบเศรษฐกิจที่กำลังซื้ออ่อนแอลงอย่างมาก ทำให้ความต้องการซื้อรถยนต์ต่างๆลดลง
โดยเฉพาะกระบะที่ลดลงอย่างมาก ที่สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอของภาคเกษตรอย่างมาก ที่ถือเป็นโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่สำคัญ เพราะจากปัญหากำลังซื้อ ที่ลดลงอาจลามกระทบต่อการบริโภค การจ้างงาน กำลังการผลิตในระยะข้างหน้าให้ลดลงด้วย สุดท้ายอาจลามกระทบต่อเศรษฐกิจไทยให้มีความเสี่ยงมากขึ้น
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องระวัง จากราคารถที่ปรับลดลง คือพฤติกรรมการทิ้งรถ ระหว่างการผ่อนชำระ เพราะมองว่าการไม่คุ้มค่าในการผ่อนต่อไป ดังนั้นอาจปล่อยให้รถถูกยึดมากขึ้น รวมถึงอาจกระทบต่อรถมือสองมากขึ้นไปอีก
..เห็นข้อมูลดังกล่าวแล้ว งานนี้ บอกได้ว่า “ดุเดือดและเต็มไปด้วยสัญญาณอันตราย” ชนิดที่ไม่อาจกระพริบได้กันเลยทีเดียว