xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ใต้เงาจีน ภาค 2 (4)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


อาคารไม้เก่าแก่ กับตึกระฟ้าสมัยใหม่ที่อยู่เบื้องหลังในคุนหมิง(ภาพ : วิกิพีเดีย)

ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล


คุนหมิงเมื่อทศวรรษ 1990

หลังจากได้พบกับเจ้าหน้าที่หญิงแล้ว เธอก็พาเราไปทานอาหารเย็นด้วยกัน ระหว่างทางไปยังร้านอาหารนั้น เราทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวเองไปด้วย ผมจึงได้รู้ว่า เธอไม่ได้เป็นตำรวจที่สังกัด ตม. แต่เป็นข้าราชการสังกัดกระทรวงการต่างประเทศ (กต.)

 ตอนแรกๆ ผมก็งงเล็กน้อยว่าทำไมถึงมีคนจาก กต. มาอยู่ที่คุนหมิงที่ถือเป็น “ต่างจังหวัด” ของจีน แต่พอฟังเธออธิบายแล้วจึงเข้าใจ ว่าคุนหมิงซึ่งเป็นเมืองเอกของอวิ๋นหนันนี้ถือเป็นหน่วยปกครองที่อยู่ชายแดน ซึ่งอยู่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านสองประเทศคือ เมียนมาและลาว และอยู่ใกล้เวียดนามและไทย การไปมาหาสู่กับประเทศเพื่อนบ้านจึงเกิดขึ้นอยู่เสมอ โดยเฉพาะหลังจากที่จีนใช้นโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศในปี 1979 กต. จึงมีสำนักงานของตนที่คุนหมิงเพื่อดูแลการเข้า-ออกของพลเมืองทั้งของตนและเพื่อนบ้าน 

ว่าที่จริงแล้วไทยเราก็มีเจ้าหน้าที่จาก กต. ไปประจำอยู่ในจังหวัดชายแดนด้วยเช่นกัน และงานที่ทำก็ไม่ต่างกับที่ได้ฟังจากที่เธอเล่ามา ยิ่งในปัจจุบันที่การเข้า-ออกตามชายแดนที่เป็นไปอย่างคึกคักด้วยแล้ว ช่างต่างกันกับเมื่อทศวรรษ 1990 ที่ผมกำลังกล่าวถึงอยู่นี้จนเทียบกันไม่ได้

ส่วนที่ว่าทำไมเธอจึงมาดูแลพวกเรานั้นเธอเล่าว่า เป็นเพราะทาง ตม. ขอยืมตัวมาอย่างค่อนข้างเร่งด่วนและอย่างเฉพาะกิจ คือเฉพาะคราวนี้เท่านั้น เพราะ ตม. เตรียมคนของตนไม่ทัน โดยเธอจะเป็นคนที่พาเราไปทัศนศึกษายังต่างจังหวัดที่อยู่ไม่ไกลจากคุนหมิงอีกด้วย

ตอนที่เธอบอกว่าไปทัศนศึกษาต่างจังหวัดนั้น พวกเราก็ตกใจอีกครั้งหนึ่ง เพราะเป็นเรื่องที่เราไม่รู้มาก่อน และทำให้น้องๆ เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยโวยเล็กน้อยว่า ฝ่ายไทยต้องการมาดูแลหญิงจีนที่ส่งตัวกลับมา แต่นี่ดูแลก็ไม่ได้ดูแล แถมยังจะพาเราไปเที่ยวเสียอีก พูดง่ายๆ ก็คือ พวกเรามาทำงาน ไม่ได้มาเที่ยว

แต่พูดไปก็เท่านั้น เพราะเธอมาจากต่างหน่วยงาน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับภารกิจของ ตม. พอเข้าใจกันแล้ว เราก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นที่ดูเป็นสาระมากกว่า และเรื่องที่เป็นสาระก็คือ ระหว่างที่รถนำเราไปร้านอาหารนั้น เธอได้แนะนำเมืองคุนหมิงให้เราได้รู้จัก รถผ่านไปตรงไหนเธอก็จะแนะนำว่าตรงนั้นคือที่ไหน ซึ่งมีตั้งแต่ชื่อถนน ร้านค้า โรงแรม ที่ตั้งหน่วยงานราชการ ที่ขาดไม่ได้ก็คือ เธอมักจะลงท้ายด้วยประโยคที่ว่า ยังไงก็เจริญสู้เมืองไทยไม่ได้

 เธอว่าเธอไม่เคยไปเมืองไทย แต่ดูจากข่าวหรือภาพที่มีการเผยแพร่แล้ว เธอเห็นว่า กรุงเทพฯ นี้ช่างใหญ่โตและเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องที่ดูทันสมัย แสงสียามค่ำคืนก็น่าดูชม ตอนที่ฟังเธอพูดนั้นผมก็เห็นจริงตามนั้น เพราะคุนหมิงที่ผมไปเห็นเมื่อต้นทศวรรษ 1990 นั้น เทียบไม่ได้กับกรุงเทพฯ เลยไม่ว่าจะในแง่มุมไหน 

โดยหารู้ไม่ว่า อีกไม่เกิน 20 ปีจากนี้ไปผมต้องพูดประโยคที่กลับกันว่า กรุงเทพฯ เจริญเทียบกับคุนหมิงไม่ได้เลย 

คุนหมิงเมื่อทศวรรษ 1990 ที่ผมได้สัมผัสนั้น ดังที่ผมเคยเล่าไปบ้างแล้วว่า ยังคงมีอาคารในแบบยุคคอมมิวนิสต์ให้เห็นอยู่ โดยที่อีกไม่กี่วันหลังจากนั้น คือหลังจากที่เรากลับจากต่างจังหวัดแล้วกลับมาพักที่โรงแรมเดิมอีกครั้ง เรามีเวลาว่างอยู่วันสองวัน ทำให้เราได้เห็นบ้านเมืองคุนหมิงแบบเต็มๆ อีกครั้งหนึ่งอย่างอิสระ

อย่างห้างสรรพสินค้าที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับโรงแรมนั้น เราก็ได้ไปเยือนดังที่ตั้งใจ ปรากฏว่า ห้างนี้มีความสูงเพียงสามชั้น ซึ่งเล็กมากเมื่อเทียบกับห้างในปัจจุบัน ถ้าจะให้เทียบกันแล้วก็ใหญ่ประมาณห้างเซ็นทรัลแห่งแรกที่ตั้งอยู่ที่วังบูรพาฯ ซึ่งผมยังทันได้ไปเดินเล่นสมัยที่ยังเป็นวัยรุ่นเมื่อกว่า 50 ปีก่อน

ภายในห้างไม่มีบันไดเลื่อนและเครื่องปรับอากาศ ตัวอาคารจะเปิดโล่งเหมือนร้านโชห่วยหรือร้านขายของเบ็ดเตล็ดใหญ่ๆ ของไทย สินค้าก็มีไม่มากและไม่ทันสมัย ซึ่งสำหรับจีนในเวลานั้นถือว่าล้ำที่สุดแล้ว แต่ผมก็สนใจอย่างมาก เพราะจะได้สัมผัสสินค้าในยุคคอมมิวนิสต์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเสียที

สินค้าที่ว่านี้มีตั้งแต่ข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของชาวจีน ไปจนถึงสินค้าแบบที่เวลานั้นยังถือเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยอย่างเช่น พัดลม วิทยุ โทรทัศน์ เป็นต้น และที่ดูทันสมัยและเริ่มเป็นที่นิยมบ้างแล้วก็คือ วิทยุ-เทป ซึ่งที่ไทยในตอนนั้นก็กำลังเป็นที่นิยมไม่แพ้กัน

พูดถึงวิทยุ-เทปแล้วผมมีเรื่องที่ขอเล่าแทรกตรงนี้ ด้วยไม่แน่ใจว่าเด็กรุ่นใหม่ในปัจจุบันจะทันได้รู้จักหรือไม่ เพราะเดี๋ยวนี้หาไม่มีแล้ว แต่สำหรับคนรุ่นผมแล้วมันเป็นอะไรที่หาง่ายมาก และเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางเพราะเป็นสิ่งบันเทิงราคาถูก ยิ่งแบบหูหิ้วด้วยแล้วยิ่งเป็นที่นิยมกันมาก ผมคิดว่าที่นิยมกันมากคงเพราะเครื่องเล่นนี้มีทั้งวิทยุและเทปอยู่ในเครื่องเดียวกัน คือจะฟังวิทยุก็ได้ ฟังเทปก็ได้ แถมจะหิ้วไปฟังที่ไหนก็ได้

ความนิยมนี้ทำให้วิทยุ-เทปถูกรายการโทรทัศน์นำมาแจกเป็นรางวัลให้แก่ผู้โชคดีในรายการของตน ซึ่งโดยมากแล้วจะเป็นการชิงโชคโดยการจับสลากที่ผู้ชมทางบ้านส่งไป แต่ต้องขอบอกก่อนว่า วิทยุ-เทปที่เป็นรางวัลนี้ไม่ใช่รางวัลใหญ่ หากแต่เป็นรางวัลในระดับปลายแถว รางวัลนี้จึงมีแจกมากกว่าหนึ่งรางวัล บางรายการแจกกันนับสิบรางวัลกันเลยทีเดียว

จนมีอยู่ครั้งหนึ่งเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งก็ถูกรางวัลนี้ ซึ่งเธอต้องไปรับรางวัลนี้ที่สถานีโทรทัศน์ด้วยตัวเอง พอไปถึงเธอก็แจ้งชื่อเพื่อแสดงตัวตน จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ก็นำเธอไปรับรางวัลดังกล่าว พอไปถึงเธอจึงรู้ว่า รางวัลที่เธอได้รับนั้นเป็นวิทยุหนึ่งเครื่องกับเทปคาสเซ็ทเปล่าๆ อีกสิบตลับ

เธอก็โวยขึ้นว่า ทำไมไม่ใช่เครื่องเล่นเทปกับวิทยุในเครื่องเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตอบว่า ก็นี่ไงวิทยุกับเทป ซึ่งทางรายการก็แจ้งรางวัลว่าอย่างนั้น เธอฟังแล้วก็ถึงบางอ้อว่าโดนหลอกเสียแล้ว ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคเสียด้วย เธอจึงไม่รู้จะไปร้องเรียนกับใคร

เธอได้แต่รับเอาวิทยุกับเทปมาแล้วเดินคอตกกลับบ้าน ที่ข้างหนึ่งก็เจ็บช้ำน้ำใจ แต่อีกข้างหนึ่งก็รู้สึกขำให้กับความเจ้าเล่ห์แบบศรีธนญชัยของเจ้าของรายการ ที่เล่นคำว่ามันคือ “วิทยุ (กับ) เทป” จริงๆ

อย่างไรก็ตาม เมื่อดูสินค้าไปเรื่อยๆ แล้วผมก็มาหยุดอยู่ตรงตู้กระจกที่วางขาย  ปากกาหมึกซึมยี่ห้อฮีโร่ (อิงสย์ง, 英雄)  ในรูปแบบที่หลากหลายและราคาที่แตกต่างกันไป ที่ตื่นเต้นก็เพราะเป็นปากกาที่ผมใช้ตั้งแต่เริ่มเรียนชั้นประถมปลาย และใช้เรื่อยมาถึงชั้นมัธยมต้น

 ปากกายี่ห้อนี้ที่ผลิตโดยจีนคอมมิวนิสต์และไทยก็ต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่ที่ผมและเพื่อนเด็กด้วยกันได้ใช้ก็เพราะเราอยู่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่การติดต่อไปมาหาสู่กับทางมาเลเซีย ปีนัง และสิงคโปร์ถือเป็นเรื่องปกติ ทำให้มีสินค้าต่างๆ จากดินแดนแถบนั้นเข้ามายังจังหวัดของเรา 

เวลานั้นเป็นที่รู้กันว่า พอขึ้นชั้นประถมปลายแล้วนักเรียนจะได้ใช้ปากกาแทนดินสอ พวกเราจึงรู้สึกว่าเราโตขึ้นและกำลังจะเป็นผู้ใหญ่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า การได้เหน็บปากกาไว้ในกระเป๋าเสื้อนักเรียนจึงเป็นอะไรที่ดูเท่มาก และปากกาหมึกซึมยี่ห้อฮีโร่ของจีนก็เป็นที่นิยมใช้กันเพราะราคาถูกมาก แถมยังมีความคงทนอีกต่างหาก แบบว่าขนาดทำร่วงจนปลายปากกาปักลงกับพื้นจนปลายงอแล้ว ก็ยังใช้คีมบิดปลายปากกาให้ตรงและใช้เขียนได้อีก

ด้วยเหตุนี้ พอหายตื่นเต้นแล้วผมก็ค่อยๆ เลือกซื้อปากกานี้มาหลายๆ ด้ามด้วยราคาที่แสนจะถูก ที่ซื้อนี้ไม่ได้ซื้อมาใช้ แต่ซื้อมาเก็บไว้เพื่อระลึกที่ว่าในวัยเด็กเคยใช้ปากกานี้ เก็บไปเก็บมาอีท่าไหนก็จำไม่ได้แล้วว่าตอนนี้เก็บไว้ที่ไหน


กำลังโหลดความคิดเห็น