xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ใต้เงาจีน ภาค 2 (3) น้ำตาในยามจากลา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล

 วันที่เราเดินทางเพื่อส่งหญิงจีนกลับไปยังเมืองจีนนั้น อยู่ในช่วงกลางปี 1991 ผู้เดินทางฝ่ายไทยมีสามคนคือผมกับเจ้าหน้าที่ชายจากศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กอีกสองคน โดยหนึ่งในสองนี้เป็นชาวสิงคโปร์ที่อาสาสมัครมาช่วยงานศูนย์ ในขณะที่ฝ่ายจีนเป็นหญิงห้าคน ทั้งห้าคนนี้ล้วนอยู่ในวัยรุ่นหรือวัยสาว และมีอยู่หนึ่งคนที่ใช้ภาษาจีนกลางได้ดี ซึ่งเธอจะทำหน้าที่เป็นล่ามแบบแปลจีนเป็นจีนให้กับฝ่ายไทย ผมขอเรียกเธอว่า น้องจัง


วันที่ออกเดินทางเรานัดเจอกันที่สนามบินดอนเมือง ก่อนที่ในอีก 14 ปีต่อมาสนามบินสุวรรณภูมิจึงเปิดใช้ เวลานั้นเครื่องบินที่บินไปคุนหมิงของมณฑลอวิ๋นหนัน (ยูนนาน) จะออกเวลาสายๆ ราวสิบโมง และใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงจึงจะถึงคุนหมิง ซึ่งหากคิดเป็นเวลาในไทยก็จะถึงประมาณเที่ยง แต่เวลาที่จีนจะเร็วกว่าหนึ่งชั่วโมง ฉะนั้น เราจะไปถึงคุนหมิงราวๆ บ่ายโมงตามเวลาท้องถิ่น

หลังจากที่พูดคุยทำความรู้จักกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายจีนตามที่ผมเล่าไปเมื่อตอนก่อนแล้ว ทางฝ่ายจีนก็พาเราออกจากอาคารสนามบิน แล้วพาเราไปยังอีกอาคารหนึ่งที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากอาคารแรก เมื่อเข้าไปในอาคารเราก็พบว่าเป็นอาคารสำนักงาน โดยชั้นล่างของอาคารเป็นห้องโถงใหญ่คล้ายล็อบบี้โรงแรมแต่ใหญ่กว่ามาก กลางห้องมีโซฟาทั้งแบบนั่งเดี่ยวและนั่งรวมตั้งเรียงรายนับสิบตัวล้อมเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า

 ตอนที่เห็นแวบแรกทำให้ผมนึกถึงภาพโซฟาที่ผู้นำจีนใช้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง คือเหมือนที่อดีตผู้น้ำจีนเหมาเจ๋อตงที่ล่วงลับไปแล้วนั่งคุยกับผู้นำประเทศต่างๆ ที่ไปเยือนจีน มีเพียงลายผ้าโซฟาเท่านั้นที่ไม่เหมือนกัน แต่ขนาดเหมือนกันหมด นึกได้อย่างนั้นผมก็บอกกับตัวเองว่า ตอนนี้เราจะได้นั่งเป็นแขกบ้านแขกเมืองบ้างแล้ว  

และพอได้นั่งแล้วก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนนุ่ม แต่ที่ชอบคือขนาดที่ใหญ่มาก ใหญ่จนผมรู้สึกตัวเองเล็กลงถนัดใจ ใหญ่จนสามารถนั่งเบียดได้อีกคนเลยทีเดียว

เมื่อทุกคนนั่งเรียบร้อยแล้วก็มีพนักงานหญิงออกมารินชาจีนให้กับทุกคน โดยโต๊ะน้ำชานี้จะตั้งคั่นระหว่างโซฟาเดี่ยวเป็นช่วงๆ ไป แต่ถ้าเป็นโซฟายาวแบบนั่งกันสามสี่คน น้ำชาจะถูกวางไว้บนโต๊ะรับแขกที่วางอยู่ตรงหน้า เรียกได้ว่าทุกคนในห้องจะได้รับน้ำชาร้อนๆ กันครบทุกคน
อย่างไรก็ตาม เมื่อทุกคนนั่งเรียบร้อยแล้วผมก็สังเกตเห็นมีชายวัยกลางคนหนึ่งนั่งบนเก้าอี้ที่ตั้งถัดไปหลังโซฟา และมีเจ้าหน้าที่ชายหญิงนั่งประกบอยู่ข้างๆ หลังจากนั้นเราพูดคุยกันได้ความว่า ตอนนี้ทางฝ่ายจีนได้นำตัวผู้ปกครองของฝ่ายหญิงบางคนมารับลูกของตนตัวกลับไปด้วย แต่ไม่ได้มากันครบทุกคน เพราะมีผู้ปกครองของหญิงบางคนไม่สะดวกมา
ตอนนั้นผมจึงรู้ว่า ชายวัยกลางที่นั่งน่าเศร้าอยู่ด้านหลังก็คือคุณพ่อของน้องจัง แล้วผมก็หันมาดูน้องจังที่นั่งอยู่ฝั่งเดียวกับผมก็เห็นเธอนั่งร้องไห้ เธอคงดีใจและเสียใจระคนกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็มิอาจเดินไปหาผู้เป็นพ่อได้ด้วยรู้ว่ายังไม่ถึงเวลา คือต้องรอเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่ายจะพูดคุยกันจนเป็นที่เข้าใจกัน

 ประเด็นที่คุยกันคือ ผู้ปกครองของน้องจังสมัครใจที่จะมารับลูกของตนด้วยตนเอง โดยยินดีที่จะออกค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ซึ่งตอนนั้นทางการจีนยังไม่มีเกณฑ์หรือระเบียบอันใดมารองรับการดูแลในเรื่องนี้ เพราะดังที่ผมได้บอกไปแล้วว่าจีนยังไม่เคยเจอปัญหาการค้ามนุษย์มาก่อน พอเจอเข้าจึงต้องแก้แบบเร่งด่วนหรือเฉพาะหน้า

เจ้าหน้าที่ฝ่ายจีนยังบอกอีกว่า หญิงจีนทั้งห้าคนนี้จะถูกนำกลับไปยังบ้านเกิดของเธอในวันนี้ ซึ่งก็หมายความว่า พวกเราฝ่ายไทยจะต้องแยกกับเธอทั้งห้าที่สนามบินนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่เราไม่รู้มาก่อนว่าจะเป็นเช่นนี้ ผมเห็นน้องฝ่ายไทยไม่พอใจที่ทางจีนไม่แจ้งเรื่องนี้ให้ทราบตั้งแต่ที่เราอยู่เมืองไทย และเราก็ถามฝ่ายจีนว่า แล้วเราจะไปเยี่ยมเยียนน้องๆ ได้อย่างไร

ฝ่ายจีนตอบว่า คงต้องเป็นคราวหน้า เพราะสถานการณ์เร่งด่วนเฉพาะหน้าคือ จะทำอย่างไรให้หญิงทั้งห้ากลับไปสู่บ้านเกิดโดยเร็วที่สุด ฝ่ายเราก็ถามว่า จะไปพร้อมกันตอนนี้ได้ไหม ฝ่ายจีนตอบว่ายังไม่ได้ เพราะบ้านน้องๆ อยู่ไกลมาก คืออยู่ถึงสิบสองปันนา

ฝ่ายไทยก็ถามอีกว่า ไกลแค่ไหน ฝ่ายจีนตอบว่า ประมาณเจ็ดแปดร้อยกิโลเมตร พอได้ยินเราก็บอกว่า ก็แค่จากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่เท่านั้นเอง ใช้เวลาประมาณสิบชั่วโมงก็ถึงแล้ว แต่ฝ่ายจีนบอกว่า เส้นทางมันไม่เหมือนกัน ของจีนนั้นต้องใช้เวลาเดินทางสามวัน

ตอนที่ได้ยินเช่นนั้นพวกเราไม่เข้าใจด้วยนึกภาพไม่ออก ได้แต่นึกว่าทางจีนคงกันท่าเราไม่ให้ได้อยู่กับหญิงจีนมากกว่า แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เราก็ต้องปล่อยไปตามนั้น เพราะสาระหลักของเรื่องนี้อยู่ที่ให้หญิงทั้งห้าจะได้กลับบ้านเกิดของเธอเสียที หลังจากถูกพรากมาร่วมปี ส่วนพวกเรานั้นกว่าจะเข้าใจสิ่งที่จีนอธิบายก็ใช้เวลาอีกหลายเดือนหลังจากนี้ ถึงตอนนั้นความไว้วางใจระหว่างกันก็เป็นไปด้วยดี

เมื่อเข้าใจกันแล้ว ทางฝ่ายจีนก็บอกกับพวกเราว่า ตอนนี้เราคงต้องปล่อยให้หญิงจีนได้พบกับผู้ปกครองของเธอ ซึ่งพวกเราก็เห็นดีด้วย ผมซึ่งเอากล้องวิดีโอไปด้วยก็ตั้งท่าถ่ายฉากสำคัญทันที โดยผมจับภาพของน้องจังเป็นหลัก เป็นภาพที่เธอลุกจากที่นั่งเดินตรงรี่ไปหาพ่อของเธอ

 ก่อนจะถึงตัวพ่อไม่กี่ก้าว เธออ้าแขนโผเข้ากอดพ่อของเธอพร้อมกับร้องว่า “อาปา...!!!”

ภาพนั้นทำเอาทุกคนในห้องสะเทือนใจ ตัวผมเองก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ น้ำตาของผมรื้นเปื้อนใบหน้าจนภาพที่เห็นในกล้องพร่าเลือน แต่ผมก็ยังตั้งหน้าตั้งตาถ่ายต่อไปไม่หยุด  

หลังจากนั้นพวกเราก็ล่ำลาน้องจังกับเพื่อนๆ ของเธอด้วยความใจหายที่ต้องจากกันแบบไม่ทันได้ตั้งตัว น้องจังและเพื่อนของเธอที่ตอนนั้นพูดภาษาไทยได้บ้างแล้วสู้อุตส่าห์มีน้ำใจชวนพี่ๆ ซึ่งก็คือพวกเราให้ไปหาพวกเธอด้วย คำพูดของน้องๆ ทำเอาพวกเราน้ำตาร่วงอีก

ส่วนผมนั้นน้องจังได้คุยด้วยภาษาจีนกลาง พร้อมกับขอบคุณผมแล้วร่ำไห้ไม่หยุด จากนั้นผมก็หันไปสวัสดีคุณพ่อของเธอ พ่อของเธอร่ำไห้และจับมือผมไว้แน่นพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณไม่หยุด แต่ก็ไม่ลืมที่จะเชิญผมไปเยี่ยมเยียนเช่นเดียวกับคนที่เป็นลูก

เมื่อล่ำลาและแยกจากกันแล้ว ฝ่ายจีนก็พาพวกเราสามคนไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากใจกลางเมือง ตอนที่รถพาเราเข้าตัวเมืองนั้นผมพบว่า คุนหมิงยังมีอาคารที่มีสถาปัตยกรรมในแบบยุคคอมมิวนิสต์หลงเหลืออยู่ แต่ก็มีอาคารแบบจีนที่ผมเคยเห็นที่ซีอันอยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งถ้าหากวัดความเจริญแบบสมัยใหม่แล้วก็ต้องบอกว่าปักกิ่งดูทันสมัยกว่ามาก

และโรงแรมที่เราพักก็มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบยุคคอมมิวนิสต์ ซึ่งถูกใจผมมาก เพราะที่ผ่านมายังไม่เคยพักในอาคารแบบนี้มาก่อน พอได้พักจริงก็รู้สึกตื่นเต้น โดยเฉพาะห้องนอนนั้นกว้างใหญ่และมีเพดานที่สูงมาก บนเพดานมีโคมไฟที่มีลวดลายแบบที่ผมมักเห็นในศิลปะแบบโซเวียตรัสเซีย ในขณะที่ห้องน้ำห้องท่าก็ใหญ่โตเช่นกัน ใหญ่ทั้งอ่างล้างหน้า ส้วมชักโครก และอ่างอาบน้ำ

ตอนที่ฝ่ายจีนพาพวกเรามาที่โรงแรมนี้ก็ได้บอกว่า โรงแรมนี้เป็นของรัฐบาล และเป็นโรงแรมที่ดูเก่าสักหน่อย แต่ที่พามาพักที่นี้ก็เพราะตรงข้ามกับโรงแรมมีห้างสรรพสินค้าตั้งอยู่ ซึ่งตอนนั้นถือเป็นห้างที่ใหญ่ที่สุดในคุนหมิง เผื่อว่าพวกเราจะไปหาซื้อข้าวของเครื่องใช้จะได้สะดวก

 ผมฟังแล้วก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ที่จะได้ไปห้างนี้เพื่อดูสินค้าจีนในยุคนั้น แต่เราก็ยังไม่ไปในทันทีในวันนั้น เพราะเมื่อนำข้าวของเข้าห้องเรียบร้อยแล้ว เราก็ลงมาพบกับเจ้าหน้าที่จีนที่จะดูแลเราหลังจากนี้ เจ้าหน้าที่คนนี้เป็นผู้หญิง อายุอานามคงยี่สิบปลายๆ หรือไม่ก็สามสิบต้นๆ และพูดภาษาอังกฤษได้ดี 


กำลังโหลดความคิดเห็น