xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

สงครามกลางเมืองอังกฤษ (3): การเปลี่ยนผ่านจากราชาธิปไตยสู่ระบอบเครือจักรภพแบบสาธารณรัฐ/ Phichai Ratnatilaka Na Bhuket

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 ภาพเหมือน “พระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ” มองจากสามมุมที่รู้จักกันในชื่อ “Triple Portrait” โดย แอนโทนี แวน ไดค์ (ภาพจากวิกิพีเดีย)
"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

 สงครามกลางเมืองอังกฤษ ซึ่งเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงได้ฉีกโครงสร้างทางสังคมและการเมืองของอังกฤษในศตวรรษที่ 17 ออกเป็นเสี่ยง ๆ จบลงด้วยเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและส่งผลกระทบต่อประวัติศาสตร์อย่างมาก การพิจารณาคดีและการประหารชีวิตพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ตามด้วยการยกเลิกระบอบราชาธิปไตยและการสถาปนาเครือจักรภพที่เป็นสาธารณรัฐภายใต้การนำของโอลิเวอร์ ครอมเวลล์ เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงทิศทางการปกครองของอังกฤษอย่างถึงรากถึง เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่การสิ้นสุดของสงคราม แต่เป็นการเกิดขึ้นของความจริงทางการเมืองใหม่ ที่รากฐานอันเก่าแก่ของอำนาจกษัตริย์ถูกทำลาย และเมล็ดพันธุ์ของระบอบสาธารณรัฐสมัยใหม่ได้ถูกหว่านลง

การพิจารณาคดีพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 เป็นเหตุการณ์สำคัญไม่เพียงแค่ในประวัติศาสตร์อังกฤษ แต่ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์ทั่วโลก เป็นครั้งแรกที่กษัตริย์ผู้ครองราชย์ถูกตัดสินโดยประชาชนของพระองค์เอง ถูกนำมาพิจารณาคดีในที่สาธารณะ และถูกประหารชีวิตในที่สุด ภาพของกษัตริย์ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นผู้ปกครองที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งบนโลก ยืนอยู่ในห้องพิจารณาคดีในฐานะจำเลย เป็นการท้าทายแนวคิดเรื่องเทวสิทธิ์ หรือสิทธิอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์อย่างลึกซึ้ง ราวกับว่าม่านแห่งอำนาจจากสวรรค์ถูกฉีกทิ้ง เผยให้เห็นว่าแม้แต่กษัตริย์ก็สามารถถูกตัดสินโดยกฎหมายของแผ่นดินได้

การพิจารณาคดีของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ดำเนินการโดยศาลพิเศษที่เรียกว่าศาลยุติธรรมสูงสุด ซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นเป็นการเฉพาะสำหรับจุดประสงค์นี้ ข้อกล่าวหาต่อพระองค์คือการกระทำอันเป็นการทรยศต่อราชอาณาจักรอังกฤษโดยการทำสงครามกับรัฐสภาและประชาชน พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ทรงเชื่อในความไม่อาจละเมิดได้ของพระราชอำนาจ จึงปฏิเสธที่จะยอมรับความชอบธรรมของศาล พระองค์ทรงประกาศว่า  “ข้าคือกษัตริย์ของท่าน กษัตริย์ที่ชอบธรรมของท่าน และบาปใดที่ท่านจะนำมาสู่เหนือหัวของท่าน และการพิพากษานั้น พระเจ้าทรงทราบ” การปฏิเสธที่จะให้การในศาลเป็นการปิดผนึกชะตากรรมของพระองค์ เมื่อศาลดำเนินการตัดสินลงโทษพระองค์ด้วยการประหารชีวิต

การประหารชีวิตพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ในวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1649 สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วอังกฤษและทั่วยุโรป ภาพของพระเศียรของกษัตริย์ถูกตัดออกจากพระวรกายในวันหนาวเย็นที่ไวท์ฮอลล์ เป็นภาพอันน่าสยดสยองที่แสดงถึงการตัดขาดจากอดีตอย่างไม่อาจหวนคืน การสังหารกษัตริย์ไม่ใช่เพียงแค่การฆ่าชายคนหนึ่ง แต่เป็นการทำลายระเบียบเก่าในเชิงสัญลักษณ์ ราวกับว่าดาบที่ฟันพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1ลงนั้นได้ตัดแนวคิดเรื่องสมบูรณาญาสิทธิราชย์ขาดสะบั้น ทิ้งไว้ซึ่งความว่างเปล่าที่ไม่อาจเติมเต็มได้โดยง่าย

ความสำคัญของการประหารชีวิตพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 อยู่ที่นัยสำคัญต่อแนวคิดเรื่องราชาธิปไตยและการปกครอง เป็นการสิ้นสุดของความเชื่อที่ว่ากษัตริย์อยู่เหนือกฎหมายและไม่อาจถูกแตะต้องโดยอำนาจทางโลก การสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์เป็นการเตือนอย่างชัดเจนว่าอำนาจอธิปไตยนั้นอยู่กับประชาชน หรืออย่างน้อยก็อยู่กับผู้ที่อ้างว่ากระทำการในนามของประชาชน เหตุการณ์นี้สร้างบรรทัดฐานว่าไม่มีผู้ปกครองคนใด ไม่ว่าจะทรงอำนาจเพียงใด จะอยู่พ้นการเอื้อมของความยุติธรรม หลักการนี้จะสะท้อนผ่านกาลเวลาหลายศตวรรษ และส่งอิทธิพลต่อแนวคิดทางการเมืองในอังกฤษและรัฐชาติอื่น ๆ ทั่วยุโรป

 ในวันที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 1649 รัฐสภาอังกฤษประกาศว่า “ตำแหน่งกษัตริย์ในประเทศนี้... เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น เป็นภาระ และเป็นอันตรายต่อเสรีภาพ ความปลอดภัย และผลประโยชน์สาธารณะของประชาชน” ด้วยคำประกาศนี้ ระบอบราชาธิปไตยถูกยกเลิกอย่างเป็นทางการ และอังกฤษถูกประกาศให้เป็นเครือจักรภพ ซึ่งเป็นระบอบสาธารณรัฐขึ้นมาแทน

การยกเลิกระบอบราชาธิปไตยเป็นมากกว่าการเคลื่อนไหวทางการเมืองทั่วไป เป็นคำประกาศถึงเจตนารมณ์ทางอุดมการณ์อย่างลึกซึ้ง การลบล้างกษัตริย์เป็นสัญลักษณ์ของการปฏิเสธระบบศักดินาที่มีลำดับชั้น ซึ่งครอบงำอังกฤษมาหลายศตวรรษ ราวกับว่าโครงสร้างของอำนาจถูกปรับให้ราบเป็นหน้ากลอง โดยมีเจตนาที่จะสร้างสิ่งใหม่ทั้งหมดขึ้นมาแทนที่ เครือจักรภพถูกวาดภาพว่าเป็นรัฐบาลที่จะเป็นตัวแทนประชาชนมากขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น และสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงของเครือจักรภพนั้นซับซ้อนกว่าที่ผู้สถาปนาคาดคิดและเต็มไปด้วยความท้าทายนานัปการ

การสถาปนาเครือจักรภพยังมีนัยสำคัญต่อศาสนาด้วย รัฐบาลของครอมเวลล์ส่งเสริมการยอมรับทางศาสนาในระดับหนึ่ง อนุญาตให้มีเสรีภาพในการนับถือศาสนาในระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อนภายใต้ระบอบราชาธิปไตยก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม การยอมรับนี้มีข้อจำกัด โดยชาวคาทอลิกและกลุ่มที่ไม่ใช่โปรเตสแตนต์อื่น ๆ ยังคงเผชิญกับข้อจำกัดที่สำคัญ นโยบายทางศาสนาของเครือจักรภพสะท้อนความเชื่อแบบพิวริตันของครอมเวลล์เองและความปรารถนาของเขาที่จะสร้างชาติที่ “เคร่งครัดในศาสนา” ปราศจากความฟุ่มเฟือยและการคอร์รัปชันของศาสนจักรเก่า จุดยืนทางศาสนาของเครือจักรภพเป็นทั้งการสืบทอดและการแยกออกจากการต่อสู้ทางศาสนาที่มีส่วนทำให้เกิดสงครามกลางเมือง

 โอลิเวอร์ ครอมเวลล์ เป็นบุคคลที่ได้รับทั้งการยกย่องและการประณามในระดับที่เท่าเทียมกัน เขาก้าวขึ้นมาจากความวุ่นวายของสงครามกลางเมืองอังกฤษในฐานะหนึ่งในผู้นำที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ การก้าวขึ้นสู่ความโดดเด่นของเขาไม่ได้เป็นเพียงผลผลิตของยุคสมัยที่วุ่นวายเท่านั้น แต่เป็นผลจากการพิสูจน์การกระทำของเขาในการทำสงคราม ที่บ่งถึงความเฉียบแหลมทางทหาร ความเฉลียวฉลาดทางการเมือง และความมุ่งมั่นที่ไม่สั่นคลอนต่อวิสัยทัศน์ในการสร้างสังคมที่เคร่งศาสนา การเดินทางของครอมเวลล์จากคนชนบทที่ไม่เป็นที่รู้จักไปสู่การเป็นลอร์ดโปรเทคเตอร์ของอังกฤษ สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์ เป็นการก้าวขึ้นสู่อำนาจอย่างน่าทึ่งที่ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างของชาติอังกฤษ

อาชีพทหารของครอมเวลล์เริ่มต้นค่อนข้างช้าในชีวิต แต่ก้าวขึ้นอย่างรวดเร็วและพิเศษผ่านลำดับชั้นของกองทัพฝ่ายรัฐสภา เริ่มแรกเขารับใช้ในฐานะกัปตันของกองทหารม้าในสมาคมตะวันออก ครอมเวลล์ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเป็นผู้นำและวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์อย่างรวดเร็ว กองกำลังของเขา ซึ่งมีชื่อเสียงในฉายา  “บุรุษเหล็ก” (Ironsides) เนื่องจากวินัยและประสิทธิภาพในการรบ กลายเป็นกระดูกสันหลังของกองทัพฝ่ายรัฐสภา

ความสำเร็จของครอมเวลล์ในสนามรบไม่ได้เกิดจากอัจฉริยภาพทางยุทธวิธีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความจงรักภักดีและความกระตือรือร้นในหมู่ทหาร เขาเป็นผู้นำที่ต่อสู้เคียงข้างและร่วมทุกข์ร่วมสุขกับทหาร ซึ่งทำให้ได้รับความเคารพและความจงรักภักดีจากเหล่าทหาร ความเชี่ยวชาญทางทหารของครอมเวลล์ปรากฏชัดในการรบที่สำคัญ เช่น มาร์สตัน มัวร์ ในปี 1644 และเนสบี ในปี 1645 การกระทำที่เด็ดขาดของเขาได้พลิกสถานการณ์ให้เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายรัฐสภา ชัยชนะของเขาปูทางสู่การก้าวขึ้นสู่อำนาจ

 โอลิเวอร์ ครอมเวลล์ (Oliver Cromwell) วาดโดย Samuel Cooper (ภาพจาก Wikimedia Commons)
ภายในปี 1648 ครอมเวลล์ได้กลายเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลสูงสุดในฝ่ายรัฐสภา และอิทธิพลของเขายิ่งเพิ่มขึ้นหลังจากการประหารชีวิตพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 บทบาทของเขาในการพิจารณาคดีและการประหารชีวิตกษัตริย์ แม้จะเป็นที่ถกเถียง แต่ก็ได้เสริมสร้างตำแหน่งของเขาให้เป็นผู้นำที่แท้จริงของเครือจักรภพใหม่ การก้าวขึ้นสู่ความโดดเด่นของครอมเวลล์ไม่ใช่เพียงผลมาจากความสำเร็จทางทหารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสามารถในการฝ่าฟันน่านน้ำอันตรายของอำนาจทางการเมืองด้วย เขาเป็นบุคคลที่มีความขัดแย้งในตัวเอง ผสมผสานความเชื่อทางศาสนาอันแรงกล้ากับความเฉลียวฉลาดทางการเมืองในทางปฏิบัติ ซึ่งทำให้เขาสามารถขยายพันธมิตรและเอาชนะศัตรูได้

ในปี 1653 หลังจากหลายปีของความวุ่นวายทางการเมืองและความล้มเหลวของรูปแบบการปกครองแบบสาธารณรัฐหลายรูปแบบ ครอมเวลล์ได้รับตำแหน่งลอร์ดโปรเทคเตอร์ (Lord Protector) ซึ่งทำให้เขากลายเป็นประมุขของรัฐในทุกด้านยกเว้นชื่อตำแหน่งที่ไม่ได้บ่งบอกถึงความเป็นประมุขรัฐในยุคนั้น ยุคการปกครองในช่วงนี้ของอังกฤษรู้จักกันในชื่อ  “ระบอบอารักขา” (Protectorate) ซึ่งเป็นการทดลองระบอบการปกครองแบบใหม่ ที่ไม่เคยมีมาก่อนในการปกครองของอังกฤษ เป็นระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐในทฤษฎี แต่มีลักษณะของการใช้อำนาจแบบเผด็จการ

รัฐบาลของครอมเวลล์สถาปนาขึ้นตามรัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นฉบับแรกของ ซึ่งสร้างกรอบการบริหารประเทศสำหรับ “ระบอบอารักขา” รัฐธรรมนูญมอบอำนาจบริหารให้กับครอมเวลล์ในฐานะลอร์ดโปรเทคเตอร์ ในขณะเดียวกันก็สร้างรัฐสภาแบบสภาเดียวและสภาแห่งรัฐเพื่อช่วยในการปกครอง อย่างไรก็ตาม การปกครองของครอมเวลล์ถูกกำหนดด้วยความสมดุลที่ไม่มั่นคงระหว่างความปรารถนาของเขาในการปกครองที่มีประสิทธิภาพและอุดมการณ์แบบสาธารณรัฐที่เป็นเชื้อเพลิงให้กับสงครามกลางเมือง ระบอบอารักขามีจุดมุ่งหมายที่จะเป็นรูปแบบการปกครองที่เคร่งครัดในศาสนาและยุติธรรมมากขึ้น แต่ในทางปฏิบัติ มันมักจะคล้ายกับการปกครองแบบเผด็จการทหาร โดยครอมเวลล์สามารถใช้อำนาจอย่างเบ็ดเสร็จทั้งต่อรัฐสภาและกองทัพ

นโยบายของครอมเวลล์ในฐานะลอร์ดโปรเทคเตอร์ถูกกำหนดโดยความเชื่อแบบพิวริตันและวิสัยทัศน์ของเขาเกี่ยวกับชาติที่มีศีลธรรมและเป็นหนึ่งเดียวทางศาสนา (moral and religiously unified nation) เขาดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างแข็งขัน พยายามขยายอิทธิพลของอังกฤษและรักษาผลประโยชน์ของชาวโปรเตสแตนต์ในต่างประเทศ ภายในประเทศ เขาพยายามดำเนินโครงการปฏิรูปศีลธรรม ปราบปรามสิ่งที่เขามองว่าเป็นความชั่วร้ายและความไร้ศีลธรรมของระบอบเก่า ซึ่งรวมถึงการบังคับใช้หลักจรรยาบรรณแบบพิวริตันอย่างเคร่งครัด ซึ่งควบคุมทุกอย่างตั้งแต่การเข้าโบสถ์ไปจนถึงการถือศีลวันอาทิตย์

อย่างไรก็ตาม การปกครองของครอมเวลล์ไม่ได้ปราศจากความขัดแย้งและความท้าทาย ในขณะที่เขาสนับสนุนการยอมรับทางศาสนา แต่การยอมรับนี้ก็มีข้อจำกัดและเลือกปฏิบัติ โดยเฉพาะชาวคาทอลิกและแองกลิกัน ซึ่งยังคงเผชิญกับการกดขี่อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากครอมเวลล์พยายามปราบปรามการปฏิบัติทางศาสนาใด ๆ ที่เขามองว่าเป็นการบูชารูปเคารพหรือขัดกับอุดมคติแบบพิวริตันของเขา วิธีการปกครองของเขา ซึ่งผสมผสานองค์ประกอบของการควบคุมแบบเผด็จการกับความพยายามในการปฏิรูปศีลธรรม สะท้อนถึงลักษณะที่ซับซ้อนและขัดแย้งกันเองในภาวะผู้นำของเขา

ผลกระทบของการปกครองของครอมเวลล์นั้นลึกซึ้งและกว้างไกล ทิ้งมรดกที่จะหล่อหลอมสังคมอังกฤษไปอีกหลายชั่วอายุคน ภายในประเทศ  “ระบอบอารักขา” แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการปกครองแบบสาธารณรัฐ แม้ว่าในที่สุดมันจะไม่สามารถหยั่งรากได้ก็ตาม การรวมศูนย์อำนาจไว้ในมือของลอร์ดโปรเทคเตอร์และการพึ่งพากองทัพของครอมเวลล์ได้สร้างแบบแผนที่จะมีอิทธิพลต่อการเมืองอังกฤษนานหลังจากเขาเสียชีวิต แนวคิดที่ว่าผู้นำที่เข้มแข็งสามารถขึ้นสู่อำนาจได้นอกกรอบของราชาธิปไตยแบบดั้งเดิม เป็นแนวคิดที่จะสะท้อนอยู่ในความคิดทางการเมืองของอังกฤษไปอีกหลายปี

ด้านนโยบายการปฏิรูปศาสนาและการปกครองด้วยศีลธรรมก็ได้ทิ้งรอยแผลอันไม่อาจลบเลือนไว้ในสังคมอังกฤษ การบังคับใช้คุณค่าแบบพิวริตันของครอมเวลล์ แม้จะมีเจตนาที่จะสร้างชาติที่เคร่งครัดในศาสนามากขึ้น แต่นำไปสู่ความไม่พอใจและการต่อต้านในหมู่ผู้ที่อึดอัดกับข้อจำกัดของระบอบการปกครองของเขา การห้ามความบันเทิงที่เป็นที่นิยม เช่น โรงละคร หรือการห้ามไม่ให้จัดเทศกาลประเพณี เช่น คริสต์มาส และการควบคุมชีวิตประจำวันอย่างเข้มงวด ส่งผลให้เกิดความรู้สึกถูกกดขี่ในหมู่สามัญชนชาวอังกฤษทั้งชายและหญิงอย่างรุนแรง

 กล่าวโดยสรุป ภายใต้การนำของโอลิเวอร์ ครอมเวลล์ ระบอบเครือจักรภพแบบสาธารณรัฐ ซึ่งมีลักษณะผสมผสานระหว่างการปกครองแบบเผด็จการทหารและการปฏิรูปแบบพิวริตันถูกสถาปนาขึ้นมา ด้านหนึ่งมุ่งที่จะสร้างรัฐบาลที่สะท้อนเจตจำนงของพระเจ้าและประชาชน แต่อีกด้านหนึ่งจะใช้วิธีการที่รุนแรงและเผด็จการ ระบอบเครือจักรภพแบบสาธารณรัฐ แทนที่จะเป็นอุดมคติแห่งความสามัคคี กลับเต็มไปด้วยความแตกแยกภายใน ความยากลำบากทางเศรษฐกิจ และความขัดแย้งที่ดำเนินอยู่ทั้งภายในและภายนอกประเทศ อุดมคติของสาธารณรัฐที่อำนาจอยู่กับประชาชนถูกบ่อนทำลายอย่างต่อเนื่องในทางปฏิบัติภายใต้ข้ออ้างของการรักษาความสงบเรียบร้อยและการปกครอง และท้ายที่สุดระบอบนี้ก็ล่มสลาย หลังจากทดลองใช้เพียงไม่กี่ปี (ยังมีต่อ)

อ้างอิง
Coward, Barry. The Stuart Age: England, 1603-1714. 3rd ed. London: Longman, 2003.
Gaunt, Peter. The English Civil War: A Military History. London: I.B. Tauris, 2014.
Hirst, Derek. England in Conflict 1603-1660: Kingdom, Community, Commonwealth. London: Arnold, 1999.
Holmes, Clive. Why Was Charles I Executed? London: Hambledon Continuum, 2006.
Kishlansky, Mark A. A Monarchy Transformed: Britain, 1603-1714. New York: Penguin Books, 1997.
Morrill, John. Oliver Cromwell and the English Revolution. London: Longman, 1990.
Morrill, John. Revolution and Counter-Revolution in England, Ireland and Scotland 1658-1660. Oxford: Oxford University Press, 2003.
Worden, Blair. The English Civil Wars: 1640-1660. London: Weidenfeld & Nicolson, 2009.
กำลังโหลดความคิดเห็น