ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - คณะรัฐมนตรี “อิ๊ง 1” ของ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรรัฐมนตรี เกิดปัญหาวุ่นวายหนัก แต่ไม่ใช่กับ “พรรคเพื่อไทย” ที่เป็นพรรคหลัก หากเป็น “พรรคพลังประชารัฐ” ที่ช่วงชิง “การนำ” และ “เก้าอี้รัฐมนตรี” อย่างดุเดือดเลือดพล่าน
ระหว่าง 2 ก๊กคือ “ก๊กลุงป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” หัวหน้าพรรค กับ “ก๊กผู้กอง-ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เลขาธิการพรรค
ทั้งนี้ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น หากมองแบบ “ป่าทั้งป่า” ก็จะเห็นว่า ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ “ศึกภายใน” เท่านั้น หากแต่ยังสะท้อนให้ถึง “สถานะทางการเมือง” ของ “พล.อ.ประวิตร” ที่ “ตกต่ำถึงขีดสุด” ได้อีกด้วย เพราะการที่ “น้องรัก” ที่เคยถวายหัวรับใช้ในทุกเรื่องอย่าง “ผู้กอง” กล้าประกาศอิสรภาพ กล้าปะทะซึ่งๆ หน้า ย่อมแสดงว่า มิได้มีความหวาดกลัวในเครือข่ายบ้านป่ารอยต่อฯ แต่ประการใด
ขณะที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้นำตัวจริงของพรรคเพื่อไทยก็มิได้หวั่นเกรง “เครือข่ายป่าแตก” ถึงกับกล้าท้าชนมาหลายต่อหลายครั้ง ตั้งแต่ประโยคเด็ด “คนในป่า” ทำให้วุ่น จนถึงล่าสุดที่ตั้งใจเปิดประเด็นออกมาว่า “ต้องไม่มีวงษ์สุวรรณในครม.อิ๊ง 1”
วันนี้ “ลุงป้อม” มี ส.ส.อยู่ในมือไม่มากนัก และถ้ามีการเลือกตั้งใหม่ก็น่าจะแตกกระซ่านซ่านเซ็นไปอยู่กับพรรคอื่นๆ
วันนี้ “ลุงป้อม” ไม่สามารถโยงใยกับ “กองทัพ” เหมือนที่เป็น “3 ป.” ผู้สร้างตำนาน “เสือตะวันออก” หรือ “บูรพาพยัคฆ์” อีกต่อไป
และอีกไม่นานนัก “ลุงป้อม” ก็จะต่อไม่ติดกับองค์กรอย่าง “สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) หลังหมดวาระของ “บิ๊กกุ้ย-พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ” ในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ รวมทั้งการเลือก ป.ป.ช.ชุดใหม่ในช่วงปลายปีก็ย้ายไปอยู่ในมือของ “ค่ายสีน้ำเงิน”
ดังนั้น ถ้าจะกล่าวว่า “อวสานบ้านป่า” ก็คงจะไม่เกินเลยไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก เพราะฉะนั้นจงอย่าแปลกใจว่าทำไม “ลุงป้อม” ที่อารมณ์เสียอย่างหนักในวันที่โหวตเลือก “แพธาร ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี จนถึงขนาด “หยุมหัวหนักข่าว” กันเลยทีเดียว
ป่าแตกเพราะ “ลุงป้อม” ล้วนๆ
ความจริงต้องบอกว่า ต้นตอความล่มสลายของเครือข่ายป่ารอยต่อฯ ที่ค่อยๆ กลายสภาพมาเป็น “ป่าเสื่อมโทรม” และนำไปสู่ “ป่าแตก” อย่างที่เห็นและเป็นอยู่ ล้วนแล้วแต่มีที่มาจากตัว “ลุงป้อม” ทั้งสิ้น
เมื่อครั้งที่ “3 ป.” ซึ่งมี “พี่ใหญ่ป้อม” เป็นแกนนำรุ่งเรือง มูลนิธิป่ารอยต่อฯ คือแหล่งชุมนุมขุนพลทางการเมืองที่หัวกะไดไม่เคยแห้ง ขณะที่“พรรคพลังประชารัฐ” ถือเป็นศูนย์บัญชาการใหญ่ในการก้าวไปสู่การบริหารราชการแผ่นดิน
แต่แล้วเมื่อเกิดความขัดแย้งในหมู่พี่น้อง 3 ป. โดย “ลุงตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” แยกไปทำ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ขณะ “ลุงป้อม” ก้าวขึ้นไปเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐด้วยแรงปรารถนาทางการเมืองของตัวเอง ทุกอย่างก็เริ่มแปรเปลี่ยนไป
ถ้ายังจำกันได้ถึงขนาดเคยมีความพยายามที่จะล้ม “พล.อ.ประยุทธ์” จากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีกลางสภามาแล้ว
หลังเลือกตั้งพฤษภาคม 2566 “ลุงป้อม” ก็ยังคงมีความพยายามที่จะก้าวขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ โดยทั้งตัวเอง สส.ในสังกัดและสว.สายบ้านป่าแสดงออกชัดเจนว่าไม่สนับสนุน “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่พรรคพลังประชารัฐประกาศเข้าร่วมรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ
ว่ากันว่า ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ความสัมพันธ์ของ “ลุงป้อม” กับ “พรรคเพื่อไทย” รวมถึง “ผู้กองธรรมนัส” เข้าขั้น “ห่างเหิน” โดยเฉพาะหลังการตั้งรัฐบาลแล้ว รายหลังแทบไม่ได้ไปเช็คชื่อ “บ้านป่ารอยต่อ” อย่างที่เคยปฏิบัติซักเท่าไร หรือการทำงานในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็มีการวิเคราะห์ตั้งแต่ต้นรัฐบาลแล้วว่า การที่ “เฮียอ้วน” ภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กำกับดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แทนที่จะเป็น “พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ ก็คือหนึ่งในสัญญาณสำคัญ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลังจากที่ “นายใหญ่ทักษิณ” กลับประเทศไทยมา “ผู้กองธรรมนัส” ซึ่งเป็นอดีตคนของพรรคเพื่อไทย ก็แสดงความชัดเจนว่า มีจุดยืนทางการเมืองเยี่ยงไร
รอยร้าวใหญ่ก่อนหน้านี้ไม่นานนักก็คือการที่ “ลุงป้อม” อ้าแขนรับ “หลานหนุ่ม-วัน อยู่บำรุง” เข้าพรรคพลังประชารัฐที่เกิดอาการไม่พอใจ “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเรียกไปตำหนิกรณีไปเชียร์ “บิ๊กแจ๊ส-พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง” ในสนามเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ซึ่ง “สส.ซุ้มผู้กอง” ก็ดาหน้าออกมาถล่มหนักอย่างผิดสังเกต
แต่ “ที่สุดแห่งรอยร้าว” ก็คือการโหวตเลือก “แพทองธาร” เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งทั้ง “ลุงป้อมและลุงเหลิม” ต่างพร้อมใจกันไม่เข้าร่วม อันตามมาซึ่งข่าวใหญ่ที่สะท้านแวดวงการเมืองว่า “นายใหญ่คนเสื้อแดง” มีประกาศิตต้องไม่มี “วงษ์สุวรรณ” ในรัฐบาลแพทองธาร
เป็นข่าวที่กลายเป็นพาดหัวตัวโตของสื่อทุกสำนัก และมีการขยายความว่า จะมีการยึดเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของ “พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ” น้องชายของบิ๊กป้อมคืนอีกต่างหาก
เป็นที่รับรู้กันว่า “ทักษิณ ชินวัตร” ไม่พอใจ “เครือข่ายบ้านป่าฯ” จนถึงกับเอ่ยปากออกมาดังๆ ว่า ต้นเหตุของความวุ่นวายกรณีการตีความอดีตนายกฯ เศรษฐาก็คือ “คนในป่า” ดังนั้น เมื่อมีประกาศิตเรื่องไม่มีวงษ์สุวรรณในรัฐบาลอิ๊ง 1 ออกมา แวดวงการเมืองก็พยักหน้าว่า คงไม่แคล้วต้องเป็นไปตามนั้น
และก๊กลุงป้อมคงถูก “ดีด” ออกจากพรรคร่วมรัฐบาลในเที่ยวนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์
แน่นอน ในอดีต “เครือข่ายบ้านป่ารอยต่อฯ” ไม่อาจดูเบาได้ ยิ่งในช่วง 3 ป.แนบแน่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ซึ่ง “ทักษิณ พรรคเพื่อไทยและผู้กอง” ก็คงรับรู้เป็นอย่างดี แต่เมื่อ “ป่าเสื่อมโทรม” สว.ไม่ได้มีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี แถมบางส่วนยังเลือกที่จะไม่ยืนข้าง “ลุงป้อม” ก็ยิ่งทำให้ “เครือข่ายบ้านป่ารอยต่อฯ” มีแต่ทรงกับทรุด
ขณะที่ “สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)” ที่ถือเป็นมือไม้สำคัญ ก็ไม่ได้มีบารมีพอที่จะสั่งการอะไรได้มากมายนัก และเป็นที่รับรู้กันว่า หลัง “บิ๊กกุ้ย-พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ” หมดวาระในเดือนกันยายนปีนี้ ก็ยิ่งไม่มีอะไรเป็นที่น่าหวั่นวิตกสำหรับ “นายใหญ่คนเสื้อแดง” อีกต่อไป
แถมเมื่อถึงเวลาเลือกตั้ง กรรมการ ป.ป.ช.ใหม่ คนที่จะเคาะก็เปลี่ยนไปอยู่ในมือ “ค่ายสีน้ำเงิน” อีกต่างหาก ซึ่ง “ทักษิณ” แจ้งชัดในเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นจะเกิด “ปฏิญญาเขาใหญ่” ที่ลือลั่นสะท้านแวดวงการเมืองได้อย่างไร
เรียกว่า “ลุงป้อม” แทบไม่เหลือแต้มต่ออะไรอยู่ในมือ ส่วน สส.ที่เคลมว่าเป็นก๊กของตัวเอง ก็เชื่อได้ว่า อีกไม่นานคงมีการ “แปรพักตร์” อย่างเป็นทางการ
“ผู้กอง-ลุงป้อม” เปิดวอร์ถึงขั้น “ผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ”
กล่าวสำหรับสถานการณ์ระหว่าง “ลุงป้อม-ผู้กอง” นั้น ต้องบอกว่า พัฒนาบานปลายถึงขั้นเปิดเกมหักเหลี่ยมโหดครั้งใหญ่กันเลยทีเดียว โดยมีการปล่อยข่าวออกมาว่า ผลจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำพิพากษาคดีนายเศรษฐา ทวีสิน ทำให้พรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะตัว “นายกฯ อิ๊ง” ที่มีความกังวลเรื่องคุณสมบัติของรัฐมนตรีที่จะเข้าร่วมรัฐบาลว่าต้องไม่มีปัญหา “จริยธรรม” ที่ตุลาการยกมาเป็นเหตุผลในการจัดการกับ “อดีตนายกฯ นิด”
และ “ร.อ.ธรรมนัส” ก็คือหนึ่งในผู้ที่เข้าข่ายมากที่สุดจากคดีที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ
แน่นอน คนที่เปิดวอร์เรื่องนี้มาจาก “ก๊กลุงป้อม”
จากนั้น “ลุงป้อมรับบทนักแสดงนำ” ด้วยตัวเอง โดยให้สัมภาษณ์สื่อเสียงดังฟังชัดว่า “ฉันเข้าร่วมรัฐบาล” แถมยังเปิดเผยอีกต่างหากว่า รายชื่อรัฐบาลเที่ยวนี้ไม่มี “ร.อ.ธรรมนัส” และทางพรรคได้ส่งชื่อ “นายสันติ พร้อมพัฒน์” ให้ไปนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แทน
ส่วนเก้าอี้ของ “น้องป๊อด” ยังคงเหมือนเดิม และส่งรายชื่อไปให้พรรคเพื่อไทยเป็นที่เรียบร้อย
เสียงฮือฮาก็ดังกระหึ่มไปทั้งแวดวงการเมืองทันที
ที่เด็ดไปกว่านั้นก็คือ “ลุงป้อม” บอกด้วยว่าโทรเคลียร์ใจกับ “ทักษิณ” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับส่งดอกไม้ไปแสดงความยินดีกับ “นายกฯ แพทองธาร” แล้วอีกต่างหาก
ทว่า “ลุงป้อม” เปิดวอร์ได้ไม่นานนัก “ผู้กอง” ก็เปิดวอร์กลับในเช้าวันรุ่งขึ้นไม่รอช้า โดยเปิดปากให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลแบบดุเดือดเลือดพล่าน
รอ.ธรรมนัสชี้แจงถึงการที่ พล.อ.ประวิตรบอกไม่มีชื่อใน ครม.ชุดใหม่ ว่า “ไปปลุกท่านมาสัมภาษณ์ ท่านหลับหรือเปล่า ผมยังไม่รู้สถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้นในพรรค อยากจะบอกทุกคนว่า ผมไม่ทะเลาะกับใคร ประสบการณ์ 6 ปีที่ผ่านมา ผมรับใช้คนๆ หนึ่ง มาพอสมควรถึงเวลาที่ต้องเดินออกมา ไม่ขอทะเลาะกับใคร”
พร้อมกับประโยคเด็ดที่ว่า “วันนี้คงถึงเวลาที่ต้องประกาศความเป็นอิสรภาพ”
ขณะเดียวกันก็ทิ้งปริศนาเอาไว้ด้วยว่า “แต่คิดว่างานนี้ตาอยู่เอาไปกิน” ซึ่งก็มีการตีความกันว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ “พรรคประชาธิปัตย์” ภายใต้การนำของ “เสี่ยต่อ-เฉลิมชัย ศรีอ่อน” พร้อมจะเข้ามาเสียบแทนเพื่อเสถียรภาพของรัฐบาล
และว่ากันว่า เก้าอี้รัฐมนตรีว่าการทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เป็นของ “พล.ต.อ.พัชรวาท” จะถูกโยกมาให้กับ “เสี่ยต่อ” แทน ส่วนอีก 1 เก้าอี้เป็นของ “เดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์
งานนี้ แม้จะยังไม่มีการเคาะสรุป แต่ “ก๊กเสี่ยต่อ” ก็แบะท่าพร้อมร่วมรัฐบาลเพื่อไทยแบบไม่เหนียมอายชัดแจ้งอยู่แล้ว
จากนั้น การสำแดงพลังระหว่าง “ก๊กลุงป้อม” กับ “ก๊กผู้กอง” ว่าใครจะมี สส.ในมือมากกว่ากัน ก็ดำเนินไปอย่างฉับพลับและชิงไหวชิงพริบขั้นสุด
กล่าวคือในขณะที่ “ก๊กลุงป้อม” นัดรวมตัวกันที่มูลนิธิป่ารอยต่อห้าจังหวัดฯ “ก๊กผู้กอง” ก็นัดรวมตัวกันที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เช่นกัน
ก๊กลุงป้อมเคลมว่า มี สส.เด็กในป่า 25 คน ส่วนก๊กผู้กองก็บลัฟกลับว่า มี สส.ร่วมทีม 34 เสียง โดยในจำนวนนี้รวมพรรคเล็กอีก 5 เสียง แถมถ่ายรูปโชว์ให้เห็นกันจะจะๆ ไม่เหมือนก๊กลุงป้อมที่นับรวมได้เบ็ดเสร็จ 14 คน รวมตัว “ลุงป้อม” เองด้วย จากจำนวนเต็ม 40 เสียงของสส.พรรคพลังประชารัฐทั้งหมด
ที่เด็ดเสียยิ่งกว่าคือ มีคน “เหยียบเรือสองแคม” นั่นคือขณะที่ “สันติ” ไปปรากฏตัวที่บ้านป่ารอยต่อฯ แต่กลับส่ง “ภรรเมีย-นางวันเพ็ญ พร้อมพัฒน์” พร้อมกับบรรดา สส.เพชรบูรณ์ไปถ่ายรูปกับพี่น้องผองเพื่อนที่กระทรวงเกษตรของผู้กองธรรมนัส
รายงานข่าวแจ้งว่า ซึ่ง “ธรรมนัส” ไม่ส่งชื่อตัวเองเป็นรัฐมนตรีงวดนี้ และได้ส่งรายชื่อ 4 แคนดิเดต ใน 3 เก้าอี้ที่ได้รับการจัดสรรไปให้ทางพรรคเพื่อไทยพิจารณา
โดยตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ส่งไป 2 ชื่อ คือ อัครา พรหมเผ่า อดีตนายก อบจ.พะเยา น้องชายของตัวเอง กับชื่อ ”มาดามแหม่ม“ นฤมล ภิญโญสินวัตน์ ผู้แทนการค้าไทย หัวหน้าพรรคกล้าธรรม
อีกชื่อเป็น อรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา ในตำแหน่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่เจ้าตัวนั่งอยู่เดิม
บวกกับอีก 1 ชื่อที่ไปแทนโควตาของ ”บิ๊กป๊อด“ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องชายของลุงป้อม แต่ไม่ใช่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
“ทักษิณ” ส่งสัญญาณเลือกข้าง “ผู้กอง”
ส่วนถามว่า สุดท้ายแล้วสถานการณ์ของพลังประชารัฐในการเข้าร่วมรัฐบาล รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่าง “ลุงป้อม” กับ “ทักษิณ” ว่าดำเนินไปตามที่ว่าหรือไม่ ก็คงต้องดูปฏิกิริยาจากผู้มีอำนาจตัวจริงอย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” เพราะเวลานี้ ทั้ง 2 ก๊กต่างก็ส่งรายชื่อรัฐมนตรีของตัวเองไปให้พรรคเพื่อไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ “ทักษิณ” ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โทรศัพท์เคลียร์ใจว่า “ยังไม่เคยได้ยินเสียง พล.อ.ประวิตรเลย ได้ยินจากที่ลอดจากโทรศัพท์หัวหน้าพรรคอื่น แต่ไม่ได้ยินจากผม”
“คีย์เวิร์ด” ที่สำคัญยิ่งก็คือ เมื่อถามว่า การแตก 2 ฝ่าย ใครจะเข้ามาร่วม นายทักษิณกล่าวว่า ฝ่ายที่ทุ่มเทให้กับรัฐบาลมาตลอดก็น่าเป็นฝ่ายที่ถูกต้อง
“อยากจะร้องเพลงอัสนีว่า ถ้าจะมาก็มาทั้งตัว”
ตรงนี้ เห็นชัดได้ว่า เลือกข้าง รอ.ธรรมนัสแบบไม่มีกั๊ก
ขณะที่เมื่อถามถึงประเด็นเรื่องโอกาสที่ประชาธิปัตย์จะเข้ามาร่วมรัฐบาลว่า “เป็นธรรมชาติว่าต้องมีเสียงให้มีเสถียรภาพ เรามีปัญหามาก ต้องเปลี่ยนเชิงโครงสร้างในเรื่องเศรษฐกิจ ต้องแก้กฎหมาย ต้องได้รับสนับสนุนจากสภา ต้องให้มีเสียงพอได้รับความเชื่อมั่น”
เพราะตีความหมายได้เลยว่า ถ้ามีปัญหาก็พร้อมจะดึงพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาร่วมรัฐบาล
ถึงตรงนี้ เห็นได้ชัดว่า ระหว่าง “ลุงป้อมกับผู้กองธรรมนัส” ได้ “สิ้นสุดทางรัก” สะบั้นความสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นที่เรียบร้อย โดย “ก๊กผู้กอง” คือผู้ชนะในเกมนี้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ขณะที่ “เครือข่ายบ้านป่าฯ” ของ “ลุงป้อม” ก็มีอันต้องรับสภาพ “บ้านป่าแตก” แถมถูก “ไฟไหม้” ชนิดแทบจะถอนรากถอนโคน เฉกเช่นเดียวกับ “พรรคพลังประชารัฐ” ที่นับถอยหลังรอวันม้วนเสื่อสถานเดียว พร้อมๆ กับปิดฉากทางการเมืองของ “ตระกูลวงษ์สุวรรณ” ไปเป็นที่เรียบร้อย
ส่วนเก้าอี้รัฐมนตรีของพรรคอื่นๆ มีการเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีนัยสำคัญอะไรมากนัก พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคประชาชาติยังคงเป็นเก้าอี้ตัวเดิม เว้นแต่จะติดปัญหาเรื่อง “จริยธรรม” อย่างในรายของ “ชาดา ไทยเศรษฐ์” หรือรัฐมนตรีหน้าใหม่อย่าง “ขิง-เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” ซึ่งรายหลังยังโดนโจมตีเรื่องสถานะ “อดีตแกนนำ กกปส.” ที่ขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่วันนี้กลับยอมเป็น “ลูกน้อง” ร่วมรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร
ขณะที่ “พรรคเพื่อไทย” ส่วนใหญ่ยังคงยึดครม.ชุดเดิมของ นายเศรษฐา ทวีสิน เพื่อให้เดินหน้าบริหารงานได้อย่างต่อเนื่อง แต่โผก็มีพลิกไปมา และฝุ่นตลบพอสมควร