xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ใต้เงาจีน ภาค 2 (2) เหมือนผจญภัยครั้งแรกในชีวิต

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


(ภาพ : AFP)
ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล

 ตอนที่ผมไปจีนเมื่อต้นปี 1991 นั้นไปทัศนศึกษาหรือจะว่าไปก็คือไปเที่ยวนั่นแหละ และอย่างที่ผมเล่าไปเมื่อตอนที่แล้ว ว่าพอกลับมาผมก็คำถามตัวเองว่าจะมีเหตุให้ไปจีนอีกหรือไม่ แต่พอเวลาผ่านไปไม่กี่เดือนก็มีเหตุให้ผมต้องไปจีนจนได้ และเหตุที่ว่าก็คือ ไปวิจัยเรื่องการค้ามนุษย์ 

การเดินทางของผมเกิดขึ้นในช่วงกลางปีเดียวกันนั้น ฝ่ายจีนที่ไปเป็นหญิงจีน 4-5 คน ฝ่ายไทยมีผมกับเจ้าหน้าที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กอีกสองคน ทั้งสองคนนี้เป็นชายหนุ่มทั้งคู่ เพียงแต่หนึ่งในสองเป็นอาสาสมัครชาวสิงคโปร์ที่มาช่วยงานศูนย์ดังกล่าว ทั้งคู่ดูเหมือนเพิ่งจะจบมหาวิทยาลัยมาไม่กี่ปี

มีเรื่องที่ผมควรจะต้องบอกกล่าวเอาไว้ก่อนคือ  ศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก ที่ขอให้ผมช่วยไปเป็นล่ามให้นี้เป็นองค์กรพัฒนาเอกชน ภาษาอังกฤษเรียกว่า Non-Government Organization หรือที่เราคนไทยมักเรียกผ่านคำย่อภาษาอังกฤษว่า เอ็นจีโอ (NGO) ตอนที่ผมไปร่วมงานด้วยนั้นศูนย์นี้ยังมิได้มีฐานะทางกฎหมาย แต่อยู่ในระหว่างการดำเนินการให้ถูกต้อง และกว่าจะได้เป็นมูลนิธิก็ในปี 1996

เพราะฉะนั้น ปัจจุบันศูนย์นี้จึงมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า  มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก 

แต่ผมขอเรียกโดยผ่านคำว่า “ศูนย์” ต่อไป เพราะเรื่องที่จะเล่านับจากนี้ไปเกิดขึ้นในขณะที่ศูนย์นี้ยังมิได้เป็นมูลนิธิ หรือกล่าวอีกอย่างคือ ตอนที่ศูนย์นี้เป็นมูลนิธินั้น ระยะเวลาก็ห่างจากที่ผมได้ไปคลุกคลีด้วยถึงห้าปี โดยที่ตอนที่เป็นมูลนิธิแล้วนั้นผมยังคงไปช่วยงานอีกเล็กน้อย ไม่เหมือนตอนที่ผมกำลังเล่าอยู่ในขณะนี้ ที่ผมร่วมด้วยช่วยกันค่อนข้างจะเข้มข้น

อีกเรื่องหนึ่งที่ผมควรจะบอกกล่าวด้วยก็คือ เนื่องจากเรื่องที่ผมจะเล่านี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับปัญหาการค้ามนุษย์ และบุคคลที่เป็นผู้เสียหายล้วนเป็นหญิง ผมจึงขอใช้ชื่อสมมติกับเธอเหล่านี้ ซึ่งต้องรวมถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายจีนและฝ่ายไทยด้วย ที่ใช้ชื่อสมมติกับบุคคลกลุ่มหลังด้วยก็เพราะเวลาได้ผ่านไปหลายสิบปีแล้ว มีหลายคนที่ในขณะนั้นอายุอานามก็ไม่น้อยแล้ว ถ้ายังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนที่ผมกำลังเล่าอยู่นี้อายุก็น่าจะร่วมร้อยปีแล้ว

ส่วนคนที่ยังมีชีวิตอยู่เช่นผม หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายจีนและฝ่ายไทยหากไม่ใกล้เกษียณก็เกษียณไปแล้ว อย่างผมกับเพื่อนชาวจีนนั้นเกษียณอย่างแน่นอนแล้ว โดยเพื่อนชาวจีนนี้ในเวลานั้นก็คือเจ้าหน้าที่ฝ่ายจีน พอทำงานร่วมกันนานหลายปีก็เลยกลายเป็นเพื่อนกันมาจนทุกวันนี้ ซ้ำบางคนยังน่าอิจฉาที่หลังเกษียณไปแล้วก็ใช้เวลาที่เหลือไปกับการท่องเที่ยว

 ในวันเดินทางผมกับเจ้าหน้าที่ศูนย์และหญิงจีนก็มาถึงที่สนามบินดอนเมืองตามเวลาที่นัดกันกันไว้ จากนั้นเราก็พากันขึ้นเครื่องบินโดยมีปลายทางที่คุนหมิง ซึ่งเป็นเมืองเอกของมณฑลอวิ๋นหนัน หรือที่เราคนไทยมักเรียกกันว่า ยูนนาน  

พูดถึงอวิ๋นหนันหรือยูนนานแล้วก็มีเรื่องที่ต้องบอกกล่าวกันหน่อยว่า หน่วยปกครองท้องถิ่นของจีนที่ใหญ่ที่สุดก็คือ  มณฑล  แต่ละมณฑลจะมีเมืองเอก จังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ลดหลั่นกันลงมาคล้ายกับหน่วยปกครองของไทย แต่เมืองเอกนี้ไม่มีในการปกครองของไทย แต่ที่จีนมีก็เพราะจีนเป็นประเทศที่กว้างใหญ่ไพศาล แต่ละมณฑลจึงคล้ายกับหนึ่งประเทศ ซ้ำบางมณฑลยังมีขนาดพื้นที่ที่ใหญ่กว่าเมืองไทยเสียอีก
เมื่อเป็นเช่นนี้จีนจึงแบ่งหน่วยปกครองของตนตามความเป็นจริงของขนาดพื้นที่ เมืองเอกจึงเป็นเมืองหลวงกลายๆ ของมณฑล ถ้าเทียบกับไทยเราก็จะคล้ายกับอำเภอเมืองนั่นแหละ ที่สำคัญ ด้วยเหตุที่แต่ละมณฑลมีพื้นที่กว้างใหญ่ การแบ่งหน่วยปกครองในมณฑลจึงมีมากกว่าจังหวัด อำเภอ หรือตำบลในแบบบ้านเรา ก็ประมาณได้ว่าแบ่งเป็นเขต เทศบาล หรือสุขาภิบาล แบบบ้านเราโดยเปรียบเทียบ

อย่างอวิ๋นหนันที่ใกล้ประเทศไทยมากที่สุดนี้มีพื้นที่เล็กกว่าไทยไม่กี่มากน้อย เรียกว่าถ้าเที่ยวทั่วมณฑลนี้แล้วก็คล้ายกับได้เที่ยวทั่วไทยยังไงยังงั้น

ด้วยความที่อยู่ใกล้ไทยโดยมีเมียนมาและลาวขวางกั้น เราจึงใช้เวลาบินราวๆ สองชั่วโมง และเมื่อไปถึงคุนหมิงแล้วผมก็พบว่า สนามบินของเมืองนี้ก็ไม่ต่างกับสนามบินมณฑลอื่นของจีนที่ผมได้ไปเห็นมาก่อนหน้านั้น ซึ่งถ้าให้เปรียบกับไทยแล้วทั้งการออกแบบ ขนาด ระบบ และการบริหารจัดการของไทยดีกว่าหลายเท่า

ดังนั้น พอไปถึงแล้วเดินออกจากเครื่องบินไปไม่ไกลก็เจอเจ้าหน้าที่ฝ่ายจีนที่มาต้อนรับแล้ว และด้วยเหตุที่เราเป็นแขกที่มา  “ราชการ”  การลงตราเอกสารการเดินทางจึงมีเจ้าหน้าที่รับไปทำให้ ส่วนเราก็ถูกนำไปห้องรับรองหรือห้องวีไอพี ซึ่งในเวลานั้นยังเป็นห้องที่เล็กมาก คือกว้างคูณยาวประมาณห้าเมตรเท่านั้น โซฟา โต๊ะ เก้าอี้ หรือเครื่องประดับอื่นๆ ดูเก่าและมีรอยกระดำกระด่าง พื้นห้องก็เช่นกัน

แต่เห็นห้องขนาดนั้นก็เถอะ เวลาที่ผู้โดยสารชาวจีนที่มาจากเที่ยวบินอื่นเดินผ่านไปมาแล้วมองเข้ามา ผมเห็นได้ถึงสายตาที่มองพวกเราเหมือนไม่ใช่คนธรรมดา จะไม่ธรรมดาได้ยังไงล่ะครับ ก็ในเมื่อพวกเราฝ่ายไทยล้วนแต่งชุดไปรเวท ไม่ได้ใส่สูทผูกไท แต่กลับได้มานั่งในห้องวีไอพี ในขณะที่ฝ่ายจีนถ้าไม่แต่งชุดเครื่องแบบตำรวจก็จะใส่สูทผูกไทกันเรียบร้อย โดยเฉพาะการใส่สูทผูกไทนั้นเป็นที่นิยมกันไม่น้อย เพราะเป็นการสะท้อนให้โลกรู้ว่าจีนพร้อมที่จะก้าวไปกับนานาชาติแล้ว

 แต่ที่ผมว่า “ไม่ธรรมดา” อีกเรื่องหนึ่งก็คือ คนที่เดินผ่านไปมาก็มองเห็นหญิงจีนนั่งอยู่ด้วย และก็คงสงสัยว่า หญิงจีนที่แต่งตัวปอนๆ เหล่านี้มานั่งอยู่ในห้องวีไอพีได้อย่างไร แถมบางคนมีใบหน้าที่แสดงถึงความประหม่าและวิตกกังวลอยู่ด้วย 

 ตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่า คนจีนโดยทั่วไปมักมีความรู้สึกยำเกรงเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมากกว่าคนไทยเสียอีก ยิ่งไปทำอะไรหรือเจออะไรที่ไม่ชอบมาพากลอย่างหญิงจีนเหล่านี้ด้วยแล้ว ก็จะมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลจนเห็นได้ชัด หลังจากนั้นไม่นานผมจึงรู้จากพวกเธอว่า พวกเธอรู้สึกกลัว เพราะไม่รู้ว่าชะตากรรมหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป คือกลัวว่าหลังจากพวกเรากลับไปแล้วพวกเธอทั้งหมดจะถูกทางการลงโทษหรือไม่ 

ที่สำคัญ พวกเธอบอกว่า ตลอดเวลาที่อยู่ในการดูแลของศูนย์ในเมืองไทยนั้น เธอรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นใจอย่างมาก หลังจากที่ต้องเผชิญเรื่องร้ายๆ จากพวกอาชญากรข้ามชาติที่มาล่อลวงและพรากพวกเธอจากบ้านเกิดไปยังประเทศไทย

ตลอดเวลาที่ผมฟังพวกเธอเล่าผ่านคำให้การกับตำรวจไทย และจากที่ผมได้พูดคุยด้วยตอนที่อยู่ที่เมืองไทยจนมาถึงที่เมืองจีนอย่างเช่นตอนนี้นั้น รายละเอียดที่พวกเธอเล่ามา (ผมจะได้เล่าในตอนต่อๆ ไป) นั้น ทำให้ผมรู้สึกว่า การมาเมืองจีนของผมครั้งนี้ไม่ใช่มาแบบปกติ แต่มาแบบมีเรื่องร้ายๆ เป็นฉากหลังของเรื่องราว

ตอนนั้นเองที่ผมบอกกับตัวเองว่า แม้จะมาวิจัยเรื่องการค้าประเวณีหญิงจีนในไทยก็ตาม แต่พอเจอเข้าอย่างนี้แล้วผมก็อดตื่นเต้นไม่ได้ เพราะหลังจากนี้ผมคงต้องได้ฟังเรื่องราวจากฝ่ายจีนบ้าง ซึ่งก็คงเป็นเรื่องราวของพวกอาชญากรที่มีทั้งคนจีนและที่ไม่ใช่คนจีนร่วมอยู่ในขบวนการ คนพวกนี้ถือเป็นกลุ่มอาชญากรค้ามนุษย์ข้ามชาติรุ่นแรกๆ ของจีนก็ว่าได้

และด้วยเหตุที่เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นต่างกรรมต่างวาระของเหยื่อ (หญิงจีน) แต่ละคน และเกิดในชนบทอันไกลโพ้น การเดินทางของผมนับจากนี้จึงเป็นการไปหาข้อมูล และไปทำความเข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นในถึงในพื้นที่ที่เกิดเหตุจริงๆ

 การเดินทางมาจีนของผมครั้งนี้และครั้งต่อๆ ไปแม้จะมาทำ “วิจัย” แต่เอาเข้าจริงแล้วก็ไม่ต่างกับการผจญภัย ที่ต้องร่วมรับรู้ถึงชะตากรรมของหญิงจีนในฐานะเพื่อนร่วมโลก การผจญภัยนี้สำหรับผมถือเป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้อีกแล้ว 



กำลังโหลดความคิดเห็น