ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ข่าวใหญ่ในแวดวงรถยนต์ไฟฟ้า ทั้ง “รถไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (BEV) และ ปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs)” ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 มีอยู่ 2 ข่าวด้วยกัน
ข่าวแรกคือ ยอดขายทั่วโลกของรถยนต์ไฟฟ้าที่ทำท่าจะแผ่วยังคงเดินหน้าและเติบโตต่อไปได้ โดยในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้น 21% ทั้งนี้ ปัจจัยหลักมาจากยอดขายของจีน ที่ถือว่าเติบโตสูงสุดในปี 2024 แม้ว่าการเติบโตจากฝั่งยุโรปจะลดลงก็ตาม
ข่าวที่สองคือ การที่ค่ายรถยนต์เกาหลีอย่าง “ซัมซุง (Samsung)” ได้เปิดตัวนวัตกรรม แบตเตอรี่โซลิดสเตต (Solid-State battery) ที่ช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ไกลกว่า 900 กิโลเมตร โดยแบตเตอรี่ดังกล่าวมีความหนาแน่นของพลังงานที่ประมาณ 500 Wh/kg หรือประมาณสองเท่าของแบตเตอรี่รถอีวีในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังใช้เวลาชาร์จเต็มเพียง 9 นาที และแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานยาวนาน 20 ปี
ทั้งสองข่าวสะท้อนให้เห็นว่า อนาคตของรถยนต์ไฟฟ้านั้นจะยังคงเดินหน้าสร้างความสั่นสะเทือนให้กับ “รถสันดาป” ต่อไป เพราะแม้จะมีปัญหาทำให้สะดุดไปบ้าง แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งได้ โดยเฉพาะการเปิดตัวแบตเตอรี่ใหม่ของซัมซุงที่ต้องถือว่า “ตอบโจทย์” ของผู้ที่กำลังลังเลที่จะซื้อได้อย่างตรงเป้าหมาย
เช่นเดียวกับค่ายอีวียี่ห้ออื่นๆ ที่กำลังเดินหน้าพัฒนาแบตเตอรี่ซึ่งถือเป็น “หัวใจสำคัญ” ของยานยนต์ไฟฟ้ากันอย่างขะมักเขม้น
กล่าวสำหรับยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกนั้น ตามรายงานโดย Rho Motion เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในเดือนกรกฎาคม โดยรวม ทั้ง รถไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (BEV) และ ปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs) มียอดรวมทั่วโลกอยู่ที่ 1.35 ล้านคัน โดยเฉพาะประเทศจีนมียอดขายที่ 8.8 แสนคัน เพิ่มขึ้น +31% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ขณะที่ตลาด ยุโรป มียอดขาย ลดลง -7.8% ในเดือนกรกฎาคม โดยตลาดเยอรมนี ที่ถือเป็นตลาดใหญ่สุดของยุโรป ลดลง -12% ส่วนในตลาด สหรัฐอเมริกาและแคนาดา ยอดขายเพิ่มขึ้น +7.1%
ที่น่าสนใจคือ รถปลั๊กอินไฮบริด กำลังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในตลาดจีน ยอดขายของรถปลั๊กอินไฮบริดช่วง 7 เดือนแรกเพิ่มขึ้นถึง +70% จากปีที่แล้ว สอดคล้องกับยอดขายของค่ายผู้ผลิตรถยนต์ที่ใหญ่สุดในจีนและใหญ่สุดในโลกอย่าง BYD ที่ยอดขายรถ PHEV เติบโตถึง +44% ขณะที่รถ BEV เติบโต +13%
ทั้งนี้ สมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแห่งประเทศจีน (China Passenger Car Association) เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ในประเทศจีนในเดือนกรกฎาคม หดตัว -5% แต่ภาค การส่งออกเพิ่มขึ้น +20% โดยยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านคัน โดยขายภายในประเทศประมาณ 1.6 ล้านคัน ลดลง 10% จากปีก่อน ส่วนการส่งออกเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% เป็น 399,000 คัน รถยนต์ที่ขายไป มากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นรถยนต์พลังงานใหม่
ตรงนี้ สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า อีวีจากจีนกำลังเดินหน้าบุกตลาดโลกและได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ดังเช่นที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
เฉพาะในจีน ข้อมูลของสมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลจีนที่เผยแพร่ออกมาในวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา พบว่า ยอดขายรถพลังงานใหม่ในจีนแซงหน้ารถเครื่องยนต์สันดาปได้เป็นครั้งแรก
รถพลังงานใหม่ (เอ็นอีวี) ครอบคลุมรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ 100% และรถไฮบริด โดยรถในหมวดหมู่นี้ทำยอดขายได้ 51% ของรถใหม่ทั้งหมดที่ขายได้ในจีนเดือนกรกฎาคม
ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นจาก 36% ในช่วงเดียวกันปีที่แล้ว และจาก 28.6% ในเดือนมิถุนายนที่เฉพาะเซกเมนต์รถยนต์ไฟฟ้านั้นทำยอดขายเพิ่มขึ้น 14.4% จากการคำนวณของซีเอ็นบีซีที่อิงกับข้อมูลของสมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลของจีน
รายงานของสมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลจีนระบุว่า รถยนต์ที่ใช้พลังงานแบตเตอรี่ 100% ขายได้มากกว่ารถไฮบริด ด้วยยอดขาย 28% ของยอดขายทั้งหมดในเดือนกรกฎาคม
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า ตัวเลขยอดขายและยอดจัดส่งประจำเดือนจากบีวายดี, หลี่ ออโต้ และบริษัทรถแห่งอื่นๆ บ่งชี้ว่า ผู้บริโภคในจีนนิยมรถไฮบริดมากขึ้น ขณะที่ข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตยานยนต์จีนยังไม่ออกมา
แม้จีนเป็นตลาดรถใหญ่ที่สุดในโลก แต่การเติบโตโดยรวมยังคงชะลอตัว ขณะที่การแข่งขันดุเดือดในหมวดหมู่รถพลังงานใหม่จุดชนวนสงครามราคา
ข้อมูลของสมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลจีนระบุว่า ยอดขายรถโดยรวมในเดือนกรกฎาคมลดลง 2.8% อยู่ที่ 1.72 ล้านคัน ขณะที่ยอดขายรถพลังงานใหม่พุ่งขึ้นเกือบ 37% เป็น 878,000 คัน
ทั้งนี้ รถพลังงานใหม่ในจีนเติบโตน่าทึ่งมาก จากเมื่อ 3 ปีที่แล้วที่มียอดขายไม่ถึง 7% ของยอดขายรถทั้งหมด ซึ่งปัจจัยสนับสนุนหลักคือมาตรการจูงใจและนโยบายพิเศษต่างๆ มากมายของทางการปักกิ่งที่ริเริ่มมานานกว่าทศวรรษ
ตามรายงานของอิเล็คเทร็ค ปลายเดือนที่แล้ว ทางการจีนเพิ่มมาตรการจูงใจด้วยเงินสดสำหรับการซื้ออีวีเป็น 20,000 หยวน (2,785 ดอลลาร์) โดยมีผลย้อนหลังถึงเดือนเมษายนซึ่งมีการประกาศมาตรการนี้ครั้งแรก
รถพลังงานใหม่ยังได้รับยกเว้นภาษีการขายสูงสุด 30,000 หยวน (4,175 ดอลลาร์) ในปีนี้และปีหน้า และรัฐบาลยังออกโครงการแจกเงิน 20,000 หยวน (2,840 ดอลลาร์) ให้ผู้บริโภคที่เปลี่ยนจากรถใช้น้ำมันไปใช้รถพลังงานใหม่
นอกจากนั้นยังมีนโยบายระดับท้องถิ่นที่รวมถึงการใช้ถนนสาธารณะได้ไม่จำกัด ขณะที่รถยนต์ใช้น้ำมันอาจได้รับอนุญาตให้ใช้ได้ตามวันเวลาที่กำหนดเท่านั้น
เดือนที่ผ่านมา ปักกิ่งยังประกาศออกป้ายทะเบียนสำหรับรถพลังงานใหม่เพิ่มอีก 20,000 คัน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกนับจากที่มหานครแห่งนี้เริ่มใช้ระบบโควตาเข้มงวดในปี 2011 เพื่อลดมลพิษทางอากาศและการจราจรที่ติดขัด
ในทางกลับกัน รถพลังงานใหม่ยังไม่ได้รับความนิยมมากนักในอเมริกา โดยอัตราการเข้าถึงในไตรมาสแรกอยู่ที่เพียง 18% ลดลงจาก 18.8% ในไตรมาส 4 ปีที่แล้ว ทั้งนี้ จากการประเมินของวอร์ดส์ อินเทลลิเจนซ์ที่ได้รับการอ้างอิงโดยสมาคมข้อมูลพลังงานแห่งอเมริกา
ตัดภาพกลับไปที่ “เกาหลีใต้”
แม้ว่าเกาหลีใต้อาจไม่ใช่ผู้ชนะในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า หรือรถอีวี เหมือนกับจีนที่กำลังรุกตลาดโลกอย่างรวดเร็ว แต่เกาหลีใต้ก็ยังเติบโตได้ผ่านการขายแบตเตอรี่ โดยล่าสุด ซัมซุงได้เปิดตัวแบตเตอรี่ใหม่ที่วิ่งได้ไกล 900 กิโลเมตร
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ซัมซุง (Samsung) ได้เปิดตัวนวัตกรรม แบตเตอรี่โซลิดสเตต (Solid-State battery) ที่ช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ไกลกว่า 900 กิโลเมตร โดยแบตเตอรี่ดังกล่าวมีความหนาแน่นของพลังงานที่ประมาณ 500 Wh/kg หรือประมาณ สองเท่าของแบตเตอรี่รถอีวีในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังใช้เวลาชาร์จเต็มเพียง 9 นาที และแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานยาวนาน 20 ปี
Ko Joo-young รองประธาน Samsung SDI กล่าวว่า ผู้ผลิตรถยนต์กําลังให้ความสนใจแบตเตอรี่ Next-gen นี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากมีขนาด เล็กกว่า เบากว่า และปลอดภัยกว่า แบตเตอรี่อีวีในปัจจุบันมาก อย่างไรก็ตาม ต้นทุนการผลิตของแบตเตอรี่โซลิดสเตตก็ยังสูงกว่าแบตเตอรี่ในปัจจุบันอยู่มาก ดังนั้น การจะใช้แบตเตอรี่โซลิดสเตตจึงถูกจํากัดให้อยู่ในกลุ่มพรีเมียมสุด
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่ซัมซุง แต่บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง โตโยต้า (Toyota) ยังตั้งเป้าผลิตแบตเตอรี่โซลิดสเตตจำนวนมากภายในปี 2027 โดยนักวิเคราะห์มองว่า โตโยต้าอาจใช้แบตเตอรี่โซลิดสเตตในรถ Lexus EV ระดับพรีเมียม
ในฝั่งของจีน ตอนนี้แบรนด์ นิโอ (NIO) ได้เสนอแบตเตอรี่กึ่งโซลิดสเตตที่เปิดใช้งานระยะทางมากกว่า 900-1,000 กิโลเมตร ความเร็วในการชาร์จ 5C หรือ 6C ultra-rapid ที่ชาร์จได้เร็วเพียง 10 นาที แต่อุปสรรคหลักของการปรับใช้โครงสร้างพื้นฐานการชาร์จที่ยังไม่เพียงพอ
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีโซลิดสเตตไม่ใช่แค่ไม้ตายเดียวของซัมซุง แต่บริษัทกำลังพัฒนา แบตเตอรี่ลิเธียมเหล็กฟอสเฟต (LFP) และแบตเตอรี่ที่ปราศจากโคบอลต์ที่มีราคา ถูกกว่า เพื่อใช้แข่งขันในกลุ่มรถอีวีราคาประหยัด ขณะที่ความนิยมของแบตเตอรี่ LFP เองก็กําลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยรายงานล่าสุดคาดว่า เทคโนโลยีนี้คิดเป็น 40% ของยอดขายรถอีวีแล้ว