xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“นิด” พังเพราะ “แม้ว” “อิ๊ง” ก็จะพังเพราะ “พ่อแม้ว” ต่อไป?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์




ผู้จัดการสุดสัปดาห์
- จบเรื่องยุบ “พรรคก้าวไกล” ที่กลายมาเป็น “พรรคประชาชน” ภายใต้การนำของ “เท้ง-ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” ผู้เป็นสหายสายตรงไทยซัมมิทของ “เสี่ยเอก-ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ก็มาถึงเรื่องของ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีกำหนดนัดหมายฟังคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมาในคดีการเสนอชื่อ “ทนายถุงขนม พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

หลัง 40 สว. ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรมนูญ มาตรา 170 วรรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ จากกรณีทูลเกล้าฯ รายชื่อทั้งที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ

ก่อนหน้าถึง “วันชี้ชะตา” กระแสข่าวไปกันคนละทิศละทางตามจริตว่า เลือกยืนอยู่ข้างฝ่ายไหน บ้างก็ว่า “รอด” บ้างก็ว่า “ไม่รอด” แถมมีตัวเลขการโหวตของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกมาล่วงหน้าอีกต่างหาก เช่น 6 ต่อ 3 , 7 ต่อ 2 เป็นต้น

ทว่า สรุปสุดท้ายตัวเลขที่ออกมาจบที่ 5 ต่อ 4 โดยมีคำวินิจฉัยว่าการกระทำดังกล่าวของนายเศรษฐา เข้าข่ายเป็นบุคคลที่กระทำการอันไม่ซื่อสัตย์สุจริตและมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐาสิ้นสุดลง โดยมีผลให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งไปด้วย

ทั้งนี้ นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์หลังคำศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งว่า “ขอบคุณตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเคารพและน้อมรับคำตัดสิน ขอยืนยันว่าตลอดเวลาเกือบปีที่ผ่านมา พยายามทำทุกอย่างให้ถูกต้อง มีความตั้งใจจริงในการทำงานเต็มที่และยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตที่ผ่านมาผมไม่ได้ทำตัวเป็นที่ขัดแย้งของทุกๆ คน เสียใจถูกมองเป็นนายกฯ ไม่มีจริยธรรม”

แน่นอน คนที่อยู่เบื้องหลังคำสั่งให้บรรจุชื่อนายพิชิตลงไปในรายชื่อคณะรัฐมนตรี จะเป็นใครเสียไม่ได้นอกจาก “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ ณ เวลานั้นต้องโทษจำคุกวีไอพีอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ และต้องการแสดงอำนาจของตนเองให้เป็นที่ประจักษ์โดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม

เพราะฉะนั้น สรุปแบบไม่ต้องอ้อมค้อมเลยว่า “เศรษฐาพังเพราะแม้ว” ทั้งนี้ ถ้าสังเกตจากอากัปกิริยาก่อนหน้าที่จะมีคำตัดสินใจ ดูเหมือนนายเศรษฐาจะมั่นใจว่า “รอด” และคนในพรรคเพื่อไทยเองก็มีเป็นไปในแนวทางนี้เช่นกัน นับตั้งแต่ “นายวิษณุ เครืองาม” ยอมเป็นที่ปรึกษา มาจนถึงภาพที่งานศพมารดานายเศรษฐา ที่วัดเทพศิรินทร์ฯ ซึ่งทำให้ทุกอย่างดำเนินไปภายใต้สัญญาณที่ดี

ขณะที่เช้าวันนั้น นายเศรษฐาใส่เสื้อฟ้า สูทสีครีมอ่อน เนกไทสีเหลือง แถมเคสโทรศัพท์มือถือก็ยังเป็นสีเหลืองอีกต่างหาก

ทว่า สุดท้ายแล้วก็ “ไม่รอด” ปิดตำนานของตัวเองเร็วเกินคาดเพียงแค่ 358 วันแถมยังไม่ได้พักค้างอ้างแรมในทำเนียบรัฐบาลตามที่ได้ตระเตรียมไว้สักคืนเดียว

ส่งผลให้ “เศรษฐา” นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของประเทศไทย ต้องพ้นจากตำแหน่งผู้นำสูงสุดของประเทศไปทันทีด้วยเวลาที่ขาดอีกเพียง 1 สัปดาห์จะครบ 1 ปี ในวันที่ 22 ส.ค.ที่จะถึงนี้

และเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ที่เก้าอี้หลุดจากคำวินิจฉัยของ ศาลรัฐธรรมนูญ ถัดจาก “ลุงหมัก” สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี คนที่ 25 ขาดคุณสมบัติ เพราะรับจ้างเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์ เมื่อปี 2551 และ “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คนที่ 28 ทึ่ต้องตกเก้าอี้ จากกรณีโยกย้ายเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดยมิชอบ เมื่อปี 2556

“หากจะบอกว่าที่ผลออกมาเป็นอย่างนี้ เพราะตนไว้ใจคนนั้นคนนี้ไม่ใช่หรอก เพราะทุกคนก็มีความหวังดีด้วยกัน ตนมองว่าทุกคนมีความหวังดีกับประเทศชาติดีกว่าแต่จะดำเนินการกันอย่างไรมีแผนงานบริหารจัดการประเทศอย่างไรก็เป็นเรื่องของแต่ละคนไป ด้วยวิธีการทำงาน” อดีตนายกรัฐมนตรีว่าไว้อย่างนั้น

อย่างไรก็ดี สิ่งที่จะต้องติดตามสถานการณ์กันต่อไปคือ จะเกิดอะไรขึ้นภายหลังคำพิพากษาชี้ชัดออกมา

ผลประการแรกคือ “เดอะอ้วน-ภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีคนที่ 1 จะทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรี และมีอำนาจยุบสภา

ทว่า สามารถฟันธง ณ ตรงนี้ได้เลยว่า โอกาสที่จะตัดสินใจยุบสภาคือ “0 เปอร์เซ็นต์”

ขณะที่ “คณะรัฐมนตรี” จะ “รักษาการ” ต่อไป จนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่

จากนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นถัดมาในระหว่างนี้ก็คือ พรรคร่วมรัฐบาลจะต้องเสนอชื่อ “นายกรัฐมนตรีใหม่” โดยแคนดิเดตที่เหลืออยู่ในตอนนี้มีจำนวน 7 คน ประกอบด้วย

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย

นายชัยเกษม นิติศิริ จากพรรคเพื่อไทย

นายอนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จากพรรคพลังประชารัฐ

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค จากพรรครวมไทยสร้างชาติ

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ จากพรรคประชาธิปัตย์

และถึงแม้จะมีโอกาสเป็นไปได้น้อย แต่ก็ยังคงต้องรวมชื่อ “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่วันนี้รับตำแหน่งสำคัญอยู่ เข้าไปอีก 1 คนด้วย

อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 จากพรรคเพื่อไทย

แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย เศรษฐา ทวีสิน แพทองธาร ชินวัตร และชัยเกษม นิติสิริ
ส่วน พรรคก้าวไกล ที่แปลงร่างมาเป็น พรรคประชาชน ในปัจจุบันนั้น เนื่องจากถูกยุบไปแล้ว และ “เสี่ยทิม-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีถูกตัดสิทธิการเมือง จึงหมดสิทธิไปโดยปริยาย ทำได้เพียงแค่จะใช้สิทธิในการเลือกแคนดิเดตฯ จากพรรคอื่นเท่านั้น

ภายใต้กติกาที่ต่างจากหลังเลือกตั้งปี 2566 เพราะวันนี้การลงมติเชือกนายกรัฐมนตรีจะเป็นเรื่องของ “สภาล่าง” สภาผู้แทนราษฎร เท่านั้น สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ไม่มีสิทธิมีเสียงมาร่วมเลือกด้วยแล้ว

โดยกติการะบุว่า บุคคลที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภา ซึ่งปัจจุบันมี สส.ทั้งหมด 493 คน ดังนั้นต้องได้คะแนนเสียงมากกว่า 248 เสียงขึ้นไป จึงจะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี

แน่นอนว่า ผู้ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีย่อมอยู่ในรัฐบาลขั้วปัจจุบันที่เป็นรัฐบาลผสม 11 พรรครวม 314 เสียง ที่มี พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำ ที่จับมือกอดคอกันเหนียวแน่น

และตามมารยาทก็ต้องให้เกียรติพรรคแกนนำเป็นผู้เสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

เป็นโจทย์ใหญ่ของพรรคเพื่อไทย ในฐานะพรรคที่มี สส.อันดับหนึ่งในฟากพรรคร่วมรัฐบาล และผู้มีบารมีเหนือพรรคอย่าง “นายทักษิณ ชินวัตร” ว่าจะเลือกใคร

ทั้งนี้ แม้ที่ผ่านมาจะมีกระแสออกมาถึง “สัญญาณพิเศษ” ต่อตัว “เสี่ยหนู-อนุทิน” จากการไปพบกันที่เขาใหญ่ และการปรับนโยบายเรื่องกัญชา รวมถึงอื่นๆ อย่างที่รับรู้กัน

ทว่า โอกาสที่หวยจะออกมาเป็น “เสี่ยหนู” ก็ค่อนข้างจะยากอยู่ไม่น้อย ด้วย “นายใหญ่” ไม่ไว้ใจใครง่ายๆ นอกจากคนใน “ตระกูลชินดาพงษ์” ด้วยมีบทเรียนมาจาก “นายสมัคร สุนทรเวช” ที่ “สั่งไม่ได้ดั่งใจทุกเรื่อง”

ยิ่งเป็นคนต่างพรรคด้วยแล้ว ก็ยิ่งมีปัญหา เพราะไม่อาจชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้อย่างที่ต้องการได้ แถมยังต้องตกอยู่สภาวะ “ยืมจมูกคนอื่นหายใจ” ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ได้เป็นผลดีต่อเสถียรภาพของรัฐบาลในระยะยาว

ที่สำคัญคือ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ระดับความสัมพันธ์ระหว่าง “ทักษิณ ชินวัตร” กับ “อาจารย์ใหญ่เนวิน ชิดชอบ” ผู้เป็น “ลมใต้ปีก” ของ “เสี่ยหนู” ดำรงอยู่ในสถานะใด ด้วยอดีตที่ผ่านมา “เสี่ยเน” ก็คือคนที่ทำให้ “ทักษิณ” เจ็บปวดที่สุดคนหนึ่งในเส้นทางการเมือง

คำว่า “มันจบแล้วครับนาย” คือประโยคอมตะที่เชื่อเหลือเกินว่า คนอย่างทักษิณ ชินวัตร “ไม่ลืมง่ายๆ”

ดังนั้น ตัวเลือกจึงน่าจะยุติที่ “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” จาก “พรรคเพื่อไทย” ที่เหลืออยู่อีก 2 คนคือ “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” ลูกสาวสุดที่รัก และ “ชัยเกษม นิติสิริ”

เอาเข้าจริงคนที่เหมาะสมที่สุดก็คือ “อุ๊งอิ๊ง” เพราะถูกแต่งตั้งมารับตำแหน่งใหญ่ตามรอยพ่อบังเกิดเกล้า แต่ก็เปลี่ยนแผนกลางคัน และดึง “เศรษฐา” มาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง และเป็นนายกรัฐมนตรีหลังจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ

ด้วยประเด็นการก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของ “อุ๊งอิ๊ง” ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “ตัวเธอ” ขึ้นอยู่กับ “พรรคเพื่อไทย” หรือขึ้นอยู่กับ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้เป็นพ่อเท่านั้น

หากแต่ยังขึ้นอยู่กับ “คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์” ผู้เป็นแม่ด้วย

 ทักษิณ ชินวัตร กับแพทองธาร ชินวัตร
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา มีความชัดเจนออกมาจากฝั่งคุณหญิงพจมานว่า ยังไม่ต้องการให้ “ลูกอิ๊ง” เป็นนายกรัฐมนตรีในห้วงเวลานี้ เพราะอยากให้มีประสบการณ์ในการทำงานการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดินให้มากกว่านี้เสียก่อน ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ส่งให้ “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นนายกรัฐมนตรี

ด้วยเหตุดังกล่าว จึงต้องมีการเคลียร์กันภายในครอบครัวให้ชัดเจนก่อน

ขณะที่ “ชัยเกษม นิติสิริ” แรกเริ่มเดิมที ชื่อนี้แม้จะไว้ใจได้ แต่ก็ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ คงไม่ใช่บริการ ด้วยนอกจากจะไม่ใช่คนในตระกูลแล้ว ยังมีปัญหาด้านสุขภาพรุมเร้าเข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญอีกด้วย

ส่วนประชาชนคนทั่วไปก็เสียงแตกออกเป็น “เสี่ยงๆ” ตามจริตทางการเมืองของแต่ละคน มีทั้งเชียร์ ”เสี่ยหนู-ลุงป้อม-พีระพันธุ์“ แม้กระทั่ง “ลุงตู่” แต่ความเห็นที่น่าสนใจและโอกาสที่จะเป็นจริงมากที่สุดก็คือ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ให้ “อุ๊งอิ๊ง” เป็นนายกรัฐมนตรีเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยจะได้รู้ว่า “มีฝีไม้ลายมือ” แค่ไหน เพราะถึงจะอย่างไรก็ต้องรับสัญญาณและคำปรึกษาจากผู้เป็นพ่อในการบริหารราชการแผ่นดินอยู่ดี

อย่างไรก็ดี หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้นายเศรษฐาพ้นเก้าอี้นายกฯ ก็มีรายงานข่าวว่า นายทักษิณได้เรียก “แกนนำพรรคร่วมรัฐบาล” เข้าหารือที่บ้านจันทร์ส่องหล้าในทันที ตามรายชื่อที่ปรากฏก็อย่างเช่น นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี, นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย, นายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ, ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ, นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค รวมไทยสร้างชาติ, นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ และนายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา

หลังคุยกัน 3 ชั่วโมง ก็มีรายงานข่าวออกมาว่า ได้เคาะชื่อ “นายชัยเกษม นิติสิริ” เป็นตัวแทนของพรรคร่วมรัฐบาลในการโหวตเก้าอี้นายกรัฐมนตรีใหม่

พรรคร่วมรัฐบาลแถลงข่าวยืนยันเมื่อวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า มีมติเสนอชื่อ “แพทองธาร ชินวัตร” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทยต่อสภา เพื่อโหวตเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 31

แต่พอรุ่งขึ้น สถานการณ์ก็เปลี่ยนอีกครั้ง เมื่อที่ประชุม สส.และกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย มีมติจะเสนอชื่อ ”อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร” ให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ลงมติเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของประเทศไทย

ข่าวว่าวงประชุม “จันทร์ส่องหล้า” ต่างเห็นตรงกันว่า ”อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร” มีความเหมาะสมในการเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ติดที่รอให้ “ครอบครัว” ตัดสินใจ จึงโยนชื่อ “ชัยเกษม” ออกมาเพื่อลดแรงเสียดทาน ก่อนที่จะได้สัญญาณไฟเขียวจาก “คุณหญิงแม่”

และสุดท้ายก็เป็นไปตามนั้น

โดยเมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา ณ อาคารชินวัตร 3 ภายหลังการประชุมพรรคร่วมรัฐบาล แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลได้ร่วมกันแถลงข่าว โดยระบุว่า มีมติเสนอชื่อ “แพทองธาร ชินวัตร” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทยต่อสภา เพื่อโหวตเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 31

“ขอขอบคุณกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยและ สส.เสนอชื่อตนเป็นนายกฯ และขอบคุณพรรคทุกพรรคที่สนับสนุน จะทำทุกอย่างเต็มความสามารถ...เพื่อไทยพร้อมผลักดันประเทศต่อไป มั่นใจในพรรคเพื่อไทย มั่นใจพรรคร่วมทุกพรรคในการร่วมกันนำพาประเทศ เรามีความตั้งใจมุ่งมั่นผลักดันประเทศให้ไปต่อ” ว่าที่นายกฯ อุ๊งอิ๊งกล่าว

ส่วนในวันลงมติของรัฐสภา ผลก็เป็นไปตามความคาดหมายกล่าวคือ โดยมี สส.ลงมติเห็นชอบ 319 เสีย ไม่เห็นชอบ 145 เสียง และงดออกเสียง 27 เสียง

ที่ต้องขีดเส้นใต้ก็คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ไม่ได้เดินทางมาลงมติให้ ขณะที่ “สส.พรรคไทยสร้างไทย” ที่อยู่ในฝั่งฝ่ายค้าน สำแดงตนเป็น “งูเห่ายกพรรค” ด้วยการยกมือเห็นชอบให้ “อุ๊งอิ๊ง” เป็นนายกรัฐมนตรี

ดังนั้น คงต้องติดตามกันต่อไปว่า รัฐนาวาภายใต้การนำของ “ลูกสาวเถ้าแก่” จะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากยุคของนายเศรษฐามากน้อยแค่ไหน และจะสร้างผลงานให้เป็นที่ยอมรับได้ขนาดไหน หลังจากที่ “นายกฯ พี่นิด” สร้างมาตรฐานไว้สูงปรึ๊ด โดยเฉพาะบทบาทบนเวทีต่างประเทศ

ส่วน “เก้าอี้รัฐมนตรีใหม่” คงไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก เพราะพรรคร่วมรัฐบาลน่าจะจับกันเหนียวแน่นเหมือนเดิม และไม่น่าจะถึงพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาร่วมรัฐบาล ที่จะมีเติมเข้ามาแน่ๆ ก็คือเก้าอี้ของ “นายเอกณัฏ พร้อมพันธุ์” โควตาของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มาแทนที่ “นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ” ซึ่งลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังจากเหตุไม่พอใจการแบ่งงานของ “นายพิชัย ชุณหวชิร” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รวมทั้งอาจจะมีการขยับเก้าอี้อีกเล็กๆ น้อยๆ จากความไม่ลงรอยกันในพรรคพลังประชารัฐ

สำหรับนโยบายที่กำลังเป็นประเด็นในโลกสังคมออนไลน์ก็คือเรื่องการแจกเงินหมื่นของรัฐบาล ซึ่งบางคนถึงกับลบแอฟฯ “ทางรัฐ” ทิ้ง กันเลยทีเดียว เพราะเชื่อว่า น่าจะไปไม่รอด

กรณีนี้ ทั้ง “นายเศรษฐา” และ “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังยอมรับว่า กระทบจริง และไม่ได้ให้ความชัดเจนหรือมั่นใจในการเดินหน้าโครงการนี้ต่อไปสักเท่าไหร่

ถามว่า พรรคเพื่อไทยจะถือโอกาส “ล้ม” หรือไม่

ในทางทฤษฎีก็มีความเป็นไปได้ เพราะนับเป็นข้ออ้างที่พอจะกล้อมแกล้มไปได้เนื่องเพราะก็ต้องยอมว่า ยังไม่มีความมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า นโยบายนี้จะบรรลุอย่างที่กำหนดเอาไว้

แต่ในทางปฏิบัติ ถ้าล้มด้วยปัจจัยนี้ ก็ดูจะไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ เพราะนโยบายแจกเงินหมื่นเป็นของพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่ของนายเศรษฐาหรือรัฐบาลของนายเศรษฐา

ทว่า สุดท้ายแล้วจะมีบทสรุปอย่างไร ก็ต้องบอกว่า “อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ในบ้านนี้เมืองนี้”

“ส่วนใครจะเดินหน้าดิจิทัลวอลเล็ต หรือไม่เอาดิจิทัลวอลเล็ต ทำแลนด์บริดจ์หรือทำแลนด์บริดจ์ และซอฟพาวเวอร์จะทำต่อหรือไม่ทำต่อ ก็เป็นหน้าที่ของคนที่จะมาทำหน้าที่ตรงนี้ต่อไป รวมทั้งคณะรัฐมนตรี(ครท.)ใหม่ด้วย ซึ่งผมก็ขออำนวยพรให้ทุกๆ ท่าน ที่จะมาทำงานตรงนี้”นายเศรษฐาว่าไว้ในวันที่พ้นจากตำแหน่ง

กระนั้นก็ดี ถึงตรงนี้ คงยืนยันได้ว่า สถานการณ์การเมืองไทยคงจะดำเนินต่อไป ดังที่หลายคนหยิบยืมมอตโตของพรรคส้มก่อนถูกยุบมาใช้ว่า “แม้วยักไหล่...แล้วให้ลูกอิ๊งไปต่อ” อย่างน้อยก็ได้สร้างประวัติศาสตร์เป็นนายกรัฐมนตรีพ่อ-ลูก

ส่วน “กัปตันอิ๊ง” จะพารัฐนาวาไปต่อจนครบเทอมหรือไม่ ก็น่าห่วงอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะการที่ “พ่อษิณ” ที่คงไม่แค่ประคับประคอง แต่จะคอย “ล้วงลูก” ไปตลอดทาง ดังนั้น โอกาสที่จะ “พังเพราะพ่อแม้ว” จึงมีความเป็นไปได้สูงยิ่ง

ที่เห็นและเป็นไป ก็ “นายกฯ น้องปู” ที่ต้องปิ๋ว เพราะพี่ชายตีธงให้ดันร่างกฎหมายนิรโทษฯสุดซอย จนเกิดวิกฤตการเมือง มาถึง “นายกฯ นิด” ก็ถูกยัด “ทนายถุงขนม” ใส่มือ จน “เกม” ไปในที่สุด

มองใกล้ๆ เอาแค่ให้รอดครบเทอมไปก่อน ส่วนความฝันจะกลับมาชนะเลือกตั้งรอบหน้า ยังอีกไกล.


กำลังโหลดความคิดเห็น