xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

สงครามกลางเมืองอังกฤษ (1) ความตึงเครียดของระบอบปกครอง อำนาจ ศาสนา และเศรษฐกิจ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 (ภาพ : วิกิพีเดีย)

"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

 ช่วงต้นศตวรรษที่ 17 ในอังกฤษเป็นช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะคือการต่อสู้ระหว่างสถาบันกษัตริย์ (monarchy) และรัฐสภา (parliament) ความตึงเครียดทางศาสนา และพลวัตทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ช่วงเวลานี้ ซึ่งครอบคลุมการครองราชย์ของพระเจ้าเจมส์ที่ 1 (James I) (ค.ศ. 1603-1625) และพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 (Charles I) (ค.ศ. 1625-1649) ได้สะสมเชื้อเพลิงสำหรับสงครามกลางเมืองอังกฤษ (English Civil War) และการเปลี่ยนผ่านในที่สุดจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (absolute monarchy) ไปสู่ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (constitutional monarchy)


ภูมิทัศน์ทางการเมืองของอังกฤษในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 เป็นบรรยากาศที่อึมครึมของความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างสถาบันกษัตริย์และรัฐสภา เจมส์ที่ 1 กษัตริย์องค์แรกแห่งราชวงศ์สจ๊วตของอังกฤษ เชื่อในสิทธิ์เทวราชาของกษัตริย์ (divine right of kings) และพยายามปกครองประเทศด้วยอำนาจเทวสิทธิ์แต่พียงผู้เดียวโดยไม่แบ่งอำนาจให้รัฐสภา จุดยืนนี้ทำให้เกิดขัดแย้งกับสมาชิกรัฐสภาหลายคนที่พยายามจำกัดอำนาจของสถาบันกษัตริย์และยืนยันสิทธิอำนาจของรัฐสภา

การต่อสู้เพื่ออำนาจระหว่างสถาบันกษัตริย์อังกฤษและรัฐสภาเปรียบได้กับการชักเย่อเส้นเชือกแห่งอำนาจ โดยแต่ละฝ่ายพยายามแย่งชิงการควบคุมการบริหารกิจการของประเทศ เจมส์ที่ 1 และผู้สืบทอดตำแหน่ง อันได้แก่ ชาร์ลส์ที่ 1 พยายามดึงเชือกแห่งอำนาจไปให้กับสถาบันกษัตริย์อย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ ในขณะที่รัฐสภาก็พยายามดึงไปในทิศทางที่ให้รัฐสภามีอิทธิพลและการกำกับดูแลการใช้อำนาจของสถาบันกษัตริย์มากขึ้น

ในช่วงเวลาดังกล่าว ศาสนามีบทบาทสำคัญในการกำหนดภูมิทัศน์ทางสังคมและการเมืองของอังกฤษเป็นอย่างมาก ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 สภาคริสตจักรแห่งอังกฤษ (Church of England) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลของพระเจ้าเฮนรีที่ 8 (Henry VIII) ยังคงเป็นศาสนาประจำชาติ อย่างไรก็ตาม มีความตึงเครียดที่มีนัยสำคัญระหว่างสภาคริสตจักรแห่งอังกฤษและกลุ่มโปรเตสแตนต์ต่าง ๆ เช่น ชาวพิวริตัน (Puritans) ที่ต้องการชำระล้างคริสตจักรให้บริสุทธิ์จากองค์ประกอบคาทอลิกที่ยังหลงเหลืออยู่

 ภูมิทัศน์ทางศาสนาของอังกฤษในช่วงเวลานี้เปรียบได้กับผ้าห่มผืนหนึ่งซึ่งถูกถักทอประกอบสร้างขึ้นมาด้วยผ้าหลากหลายประเภทที่มีเฉดสีแตกต่างกัน กลุ่มลัทธิต่าง ๆ ในศาสนาคริสต์เป็นตัวแทนของแต่ละส่วนที่มีลวดลายและสีสันเฉพาะตัว ในขณะที่สภาคริสตจักรแห่งอังกฤษเป็นพื้นหลักของผ้า ชาวพิวริตันและลัทธิอื่น ๆ ที่ไม่เห็นด้วยศูนย์กลางอำนาจของสภาคริสจักรเป็นดังการออกแบบที่เพิ่มสีสันและบางครั้งก็ขัดแย้งกันเข้าไปในองค์ประกอบโดยรวม

ด้านสังคมอังกฤษในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 มีลักษณะเป็นลำดับชั้น โดยมีขุนนางและชนชั้นสูง (nobility and gentry) อยู่ที่ด้านบน ตามมาด้วยชนชั้นกลาง พ่อค้าและผู้ประกอบวิชาชีพซึ่งกำลังเติบโตและขยายตัว และชนชั้นล่างของชาวนาและกรรมกรที่เป็นฐานรากระดับล่าง การเคลื่อนย้ายทางสังคมมีจำกัด และสถานภาพทางสังคมของผู้คนส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการเกิด

ลำดับชั้นทางสังคมของอังกฤษในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 สามารถเปรียบเทียบได้กับปิรามิด โดยมีชนชั้นสูงจำนวนน้อยอยู่ที่ด้านบน ชนชั้นกลางที่กำลังเติบโตอยู่ตรงกลาง และประชากรส่วนใหญ่เป็นฐานที่กว้างขวาง แม้ว่าโครงสร้างของปิรามิดจะคงอยู่เป็นส่วนใหญ่ตลอดช่วงเวลานี้ แต่การเติบโตของชนชั้นกลางเริ่มสร้างแรงกดดันต่อระเบียบทางสังคมแบบดั้งเดิม

สถาบันกษัตริย์และรัฐสภาเป็นสถาบันทางการเมืองหลักสองแห่งในอังกฤษช่วงต้นศตวรรษที่ 17 กษัตริย์ถืออำนาจบริหารและเป็นผู้รับผิดชอบในการปกครองประเทศ ในขณะที่รัฐสภา ซึ่งประกอบด้วยสภาขุนนาง (House of Lords) และสภาสามัญ (House of Commons) มีอำนาจในการออกกฎหมายและจัดเก็บภาษี

ความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันกษัตริย์และรัฐสภาในช่วงเวลานี้เปรียบได้กับความสมดุลที่ละเอียดอ่อน โดยแต่ละสถาบันพยายามรักษาอำนาจและอิทธิพลของตนเองไว้ เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเอียงตาชั่งไปไกลเกินไป เช่น ในกรณีที่ชาร์ลส์ที่ 1 พยายามปกครองโดยไม่มีรัฐสภา ความสมดุลก็จะเสียไป นำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเมืองและสุดท้ายก็เกิดสงครามกลางเมือง

สงครามกลางเมืองอังกฤษ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1642 ถึง ค.ศ. 1651 ไม่ใช่เพียงแค่การปะทะกันระหว่างกลุ่มที่ขัดแย้งกัน แต่เป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่สั่นสะเทือนรากฐานของสังคมอังกฤษ ความขัดแย้งครั้งนี้ ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่างกองกำลังของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 กับฝ่ายรัฐสภา เป็นผลสืบเนื่องมาจากความตึงเครียดที่สะสมมากว่าหลายปีในเรื่องระบอบการปกครอง ศาสนา และธรรมชาติของอำนาจ สงครามครั้งนี้เป็นกระบวนการที่หล่อหลอมอนาคตของชาติอังกฤษและส่งผลกระทบที่ลึกซึ้งไปตลอดหลายศตวรรษ

 หัวใจของสงครามกลางเมืองอังกฤษคือความขัดแย้งพื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของอำนาจอธิปไตย กษัตริย์อยู่เหนือกฎหมายหรือไม่ หรือกษัตริย์ต้องอยู่ใต้กฎหมายเช่นเดียวกับประชาชน คำถามนี้ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นคำถามที่มีผลลึกซึ้งต่อการปกครอง พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 เช่นเดียวกับพระบิดาของพระองค์คือพระเจ้าเจมส์ที่ 1 เป็นผู้ศรัทธาอย่างมั่นคงในสิทธิ์อำนาจที่พระเจ้าประทานให้กษัตริย์ (Divine Right of Kings) พระองค์เห็นว่าตัวเองเป็นผู้ปกครองที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้า ซึ่งต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้าเพียงผู้เดียว ความเชื่อนี้ไม่ใช่แค่หลักการทางทฤษฎี แต่เป็นดาบที่พระองค์ใช้ในการต่อต้านรัฐสภาเมื่อใดก็ตามที่อำนาจของพระองค์ถูกท้าทาย

การใช้สิทธิพิเศษของของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 กลายเป็นจุดแตกหักในความขัดแย้งครั้งนี้ พระองค์ยุบรัฐสภาหลายครั้งเมื่อรัฐสภาคัดค้านนโยบายของพระองค์ โดยเฉพาะในปี ค.ศ. 1629 ซึ่งทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “การปกครองด้วยบุคคลเดียว” หรือ “สิบเอ็ดปีแห่งทรราช” (Eleven Years' Tyranny) ในช่วงนี้ พระเจ้าชาร์ลส์ปกครองโดยปราศจากรัฐสภา โดยใช้กฎหมายเก่าแก่และอำนาจพิเศษของพระองค์ในการเรียกเก็บภาษีและบังคับใช้เจตนารมณ์ของตนเอง แนวทางนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ชนชั้นนำทางการเมืองแปลกแยก แต่ยังสร้างความไม่พอใจอย่างลึกซึ้งในหมู่ประชาชนทั่วไป การกระทำของพระเจ้าชาร์ลส์คล้ายกับกัปตันที่พยายามบังคับเรือด้วยตัวเองท่ามกลางทะเลที่มีพายุโหมกระหน่ำ โดยปฏิเสธความเชี่ยวชาญและความช่วยเหลือจากลูกเรือที่มีประสบการณ์ ซึ่งสุดท้ายแล้วทำให้เรือล่มลง

ปัญหาการเก็บภาษีโดยไม่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา (taxation without Parliament's consent) ก่อให้เกิดการต่อต้านอย่างกว้างขวาง การกำหนดเก็บภาษี “เงินเรือ” (Ship Money) ซึ่งเป็นภาษีที่ดั้งเดิมเก็บในพื้นที่ชายฝั่งเพื่อการป้องกันทางทะเล ถูกขยายไปยังทั้งประเทศโดยไม่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา สิ่งนี้ถูกมองว่าเป็นการล่วงละเมิดอำนาจรัฐสภาอย่างชัดเจน เป็นการละเมิดสัญญาโบราณระหว่างกษัตริย์กับประชาชน การต่อต้านภาษีเงินเรือและภาษีอื่น ๆ กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ที่กว้างขวางขึ้นต่อการปกครองแบบเผด็จการ

ปัจจัยด้านศาสนาก็เป็นอีกสนามรบในความขัดแย้งครั้งนี้ นโยบายทางศาสนาของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 สร้างความขัดแย้งอย่างมากและกระตุ้นการต่อต้านจากหลายฝ่าย การสนับสนุนนิกายแองกลิกัน (High Anglicanism) ซึ่งมีลักษณะเฉพาะด้วยพิธีกรรมที่หรูหราและโครงสร้างที่มีลำดับชั้น ถูกมองว่าเป็นความพยายามที่จะนำคริสตจักรแห่งอังกฤษเข้าใกล้กับศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกมากขึ้น สำหรับลัทธิพิวริตัน (Puritans) ที่ต้องการพิธีกรรมที่เรียบง่ายและความเป็นอิสระที่มากขึ้น สิ่งนี้ไม่ใช่อะไรนอกจากเป็นการกระทำของพวกนอกรีต

 อาร์ชบิชอปลอด (Archbishop William Laud) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยพระเจ้าชาร์ลส์ให้เป็นอาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรีในปี ค.ศ. 1633 กลายเป็นสถาปนิกหลักของการปฏิรูปทางศาสนาเหล่านี้ ความพยายามของลอดในการบังคับให้เกิดความเป็นเอกภาพในเรื่องพิธีกรรม รวมถึงการใช้หนังสือสวดมนต์ร่วมกัน (book of common prayer) และการห้ามการปฏิบัติตามแบบแผนของพิวริตัน ถูกมองว่าเป็นการริดรอนเสรีภาพทางศาสนา และการลงโทษอย่างรุนแรงต่อผู้ที่ไม่เห็นด้วย เช่น กรณีที่น่าอับอายของพรินน์, บาสต์วิก และเบอร์ตัน (Prynne, Bastwick, and Burton) ซึ่งถูกทรมานเนื่องจากความเชื่อในพิวริตัน ยิ่งกระตุ้นให้เกิดการต่อต้านมากขึ้น ราวกับว่าลอดพยายามที่จะปั้นคริสตจักรให้กลายเป็นรูปปั้นที่แข็งแกร่งและมั่นคง แต่ในการทำเช่นนั้นกลับทำให้รากฐานของมันแตกหัก

 วิลเลียม พรินน์ (William Prynne) เป็นนักกฎหมายและนักเขียนที่มีชื่อเสียงด้านความเชื่อพิวริตันอย่างแรงกล้า ในปี ค.ศ. 1633 เขาได้วิพากษ์วิจารณ์ศีลธรรมของการแสดงละครและโดยนัยพาดพิงถึงราชสำนัก แม้ว่าเขาจะไม่ได้ระบุชื่อสมเด็จพระราชินีเฮนเรียตตามาเรีย (Queen Henrietta Maria) โดยตรง แต่การวิพากษ์วิจารณ์ของเขาถูกตีความว่าเป็นการโจมตีต่อสมเด็จพระราชินีผู้ที่ทรงสนุกกับการแสดงละคร พรินน์ถูกนำตัวขึ้นศาลสตาร์แชมเบอร์ (Star Chamber) ซึ่งเป็นศาลที่มีชื่อเสียงด้านการลงโทษอย่างรุนแรงและความไม่เป็นธรรม และถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต ปรับเงินจำนวนมาก และถูกตัดหูซึ่งเป็นการลงโทษที่หมายถึงการประทับตราให้เขาเป็นอาชญากรและกบฏ

 จอห์น บาสต์วิก (John Bastwick) เป็นแพทย์ที่เป็นนักวิจารณ์คนสำคัญของคริสตจักรแห่งอังกฤษ เขาเขียนแผ่นพับหลายฉบับที่วิพากษ์วิจารณ์ลำดับชั้นของคริสตจักรและผู้นำศาสนา โดยเฉพาะการโจมตีอาร์ชบิชอปลอด ในปี ค.ศ. 1637 เขาถูกนำตัวขึ้นศาลสตาร์แชมเบอร์ และถูกตัดสินลงโทษเช่นเดียวกับพรินน์ บาสต์วิกถูกปรับ จำคุก และถูกตัดหูเนื่องจากงานเขียนของเขาที่ถูกมองว่าเป็นการยุยง

เฮนรี่ เบอร์ตัน (Henry Burton) เป็นนักบวชที่ถูกเล็งเป้าเนื่องจากการต่อต้านนโยบายทางศาสนาของยุคนั้น เบอร์ตันได้เทศนาคำสอนที่วิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติทางศาสนาที่สนับสนุนโดยลอด โดยเฉพาะการเน้นที่พิธีกรรมและพิธีการซึ่งพิวริตันเห็นว่าเป็นการบูชารูปเคารพ เช่นเดียวกับพรินน์และบาสต์วิก เบอร์ตันถูกตัดสินให้ปรับเงินและถูกตัดหูในศาลสตาร์แชมเบอร์

การลงโทษด้วยการตัดหูของพรินน์, บาสต์วิก, และเบอร์ตัน ไม่ได้เป็นเพียงการลงโทษทางร่างกาย แต่เป็นการกระทำที่จงใจทำให้พวกเขาอับอายในที่สาธารณะ การตัดหูของพวกเขาเป็นการกระทำที่มีสัญลักษณ์ที่สำคัญ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเป็นการเตือนผู้อื่นที่อาจกล้าหาญที่จะต่อต้านนโยบายทางศาสนาของพระจ้าชาร์ลส์ที่ 1 การลงโทษถูกดำเนินการในที่สาธารณะโดยมีผู้คนจำนวนมากมาชม และพวกเขาถูกพาไปตามถนนเพื่อทำให้อับอายยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม แทนที่จะทำให้การต่อต้านเงียบลง การลงโทษเหล่านี้กลับมีผลตรงกันข้าม การปฏิบัติอย่างโหดร้ายต่อบุคคลเหล่านี้ทำให้เกิดความเห็นใจและความไม่พอใจอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่รู้สึกไม่พอใจกับแนวโน้มเผด็จการของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 และอาร์ชบิชอปลอดอยู่แล้ว การตัดหูของพวกเขากลายเป็นสัญลักษณ์ที่ทรงพลังของความเป็นเผด็จการของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 และความตั้งใจของพระองค์ในการกดทับเสรีภาพทางศาสนาและการต่อต้าน กรณีของพรินน์, บาสต์วิก, และเบอร์ตันได้กระตุ้นให้เกิดการต่อต้านพระจ้าชาร์ลส์ที่ 1 และมีส่วนในการนำไปสู่การเกิดสงครามกลางเมืองอังกฤษในที่สุด

ชนวนสงครามกลางเมืองได้ปะทุขึ้น เมื่อพวกสกอตติชคาเวนานเตอร์ (Scottish Covenanters) ที่ต่อต้านการบังคับใช้ธรรมเนียมแองกลิกันในสกอตแลนด์ ลุกขึ้นก่อกบฏ นำไปสู่ สงครามบิชอป (Bishops' Wars) ในปี ค.ศ. 1639-1640 ความขัดแย้งเหล่านี้เป็นการท้าทายโดยตรงต่ออำนาจของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 และแสดงให้เห็นถึงความแตกแยกทางศาสนาที่ลึกซึ้งภายในราชอาณาจักรอังกฤษ ความล้มเหลวของกษัตริย์อังกฤษในการบังคับใช้เจตจำนงของพระองค์ในสกอตแลนด์ และการยึดอำนาจการจัดเก็บภาษีจากรัฐสภาเพื่อหาเงินทุนในการทำสงครามเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การเกิดสงครามกลางเมือง สงครามบิชอปเป็นเหมือนรอยร้าวแรกในเขื่อน ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่สามารถควบคุมได้ และในที่สุดก็ทำให้เขื่อนแตกและเกิดน้ำท่วมที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้

 สำหรับปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดสงครามกลางเมืองอังกฤษอีกเรื่องหนึ่งคือแรงกดดันทางเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากค่าใช้จ่ายในการทำสงครามบิชอปและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในทวีปยุโรป ได้สร้างภาระทางการเงินมหาศาลต่อประเทศ ความพยายามของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ในการเก็บภาษีโดยไม่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภายิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง นำไปสู่ความไม่พอใจอย่างกว้างขวาง

วิธีการเก็บภาษีที่ใช้โดยพระเจ้าชาร์ลส์ไม่เป็นที่นิยมอย่างมาก เช่น การบังคับใช้ภาษีเงินเรือ (Ship Money) และ “การกู้เงินแบบบังคับ” (forced loans)  ถูกมองว่าเป็นการกดขี่และไม่เป็นธรรม ภาษีเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อชนชั้นล่างและชนชั้นกลางที่ต้องต่อสู้กับความยากลำบากทางเศรษฐกิจอยู่แล้ว ให้ย่ำแย่ลงไปอีก โครงสร้างทางสังคมของอังกฤษกำลังถูกยืดออกจนตึงเครียดเกือบจะถึงจุดฉีกขาด โดยช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนยิ่งกว้างขึ้นเรื่อย ๆ นโยบายเศรษฐกิจของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 เป็นเหมือนเครื่องหนีบที่กำลังบีบคั้นประชาชนทั่วไป จนในที่สุดพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องลุกขึ้นมาต่อต้าน

ยิ่งไปกว่านั้น ความยากลำบากทางเศรษฐกิจถูกทำให้รุนแรงขึ้นด้วยการเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ไม่ดีและภาวะเศรษฐกิจถดถอยหลายครั้งในช่วงทศวรรษ 1630 ความยากลำบากเหล่านี้เพิ่มพูนความรู้สึกถึงความอยุติธรรมและกระตุ้นความโกรธของผู้ที่รู้สึกว่าพวกเขาถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมจากนโยบายของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ความไม่พอใจทางเศรษฐกิจของประชาชนไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของเงินทอง แต่เกี่ยวกับการรับรู้ว่าพวกเขากำลังสูญเสียสิทธิและเสรีภาพของตนไป ราวกับว่าอาณาจักรกำลังอยู่ในสภาพป่าแห้งแล้งที่พร้อมจะถูกเผาไหม้โดยเศษถ่านแห่งความทุกข์ยากทางเศรษฐกิจ

 โดยสรุป สาเหตุของสงครามกลางเมืองอังกฤษมีหลายประการและเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน มีส่วนทำให้เกิดการสู้รบในท้ายที่สุด ความขัดแย้งระหว่างอำนาจของสถาบันกษัตริย์กับรัฐสภา ซึ่งถูกทำให้ขยายตัวขึ้นโดยการใช้อำนาจเผด็จการของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 และนโยบายทางศาสนาของพระองค์ สร้างสภาพแวดล้อมที่พร้อมสำหรับการปะทะกัน แรงกดดันทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นในประเทศยิ่งทำให้สถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น และนำไปสู่สงครามที่เปลี่ยนแปลงธรรมชาติของการปกครองของอังกฤษ สงครามกลางเมืองอังกฤษไม่ใช่เพียงแค่การปะทะกันของกองทัพ แต่เป็นการต่อสู้เพื่อจิตวิญญาณของชาติ โดยมีรากฐานจากโครงสร้างทางการเมือง ศาสนา และเศรษฐกิจของยุคนั้น สาเหตุทั้งหมดเหล่านี้ร้อยเรียงเข้าด้วยกันจนกลายเป็นพรมผืนใหญ่แห่งความวุ่นวายและการเปลี่ยนแปลง ที่นำไปสู่สงครามกลางเมืองอังกฤษ และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของสังคมและการปกครองประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบที่ยาวนานต่ออนาคตของอังกฤษ และเป็นรากฐานสำหรับการปกครองแบบรัฐสภาของอังกฤษในปัจจุบัน (ยังมีต่อ)

อ้างอิง
Carlton, Charles. Going to the Wars: The Experience of the British Civil Wars, 1638-1651. London: Routledge, 1992.
Cressy, David. England on Edge: Crisis and Revolution 1640-1642. Oxford: Oxford University Press, 2006.
Coward, Barry. The Stuart Age: England, 1603-1714. 4th ed. London: Routledge, 2012.
Gaunt, Peter. The English Civil War: A Military History. London: I.B. Tauris, 2014.
Holmes, Clive. Why Was Charles I Executed? London: Hambledon Continuum, 2006.
Kishlansky, Mark A. A Monarchy Transformed: Britain, 1603-1714. New York: Penguin Books, 1997.
Morrill, John. Revolution and Counter-Revolution in England, Ireland and Scotland 1658-1660. Oxford: Oxford University Press, 2003.
Morrill, John, ed. The Oxford Illustrated History of Tudor and Stuart Britain. Oxford: Oxford University Press, 1996.
Russell, Conrad. The Causes of the English Civil War. Oxford: Clarendon Press, 1990.
Sharpe, Kevin. The Personal Rule of Charles I. New Haven: Yale University Press, 1992.
Smith, David L. "The Early Stuart Parliaments, 1603-1629." In The Oxford Handbook of the English Revolution, edited by Michael J. Braddick, 56-72. Oxford: Oxford University Press, 2015.


กำลังโหลดความคิดเห็น