ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - สถิติการถูกคุกคามและการหลอกลวงบนโลกออนไลน์ของไทยอยู่ในอัตราสูง รอบปีที่ผ่านมาพบการแจ้งความออนไลน์กว่า 5.7 แสนเรื่อง มูลค่าความเสียหายกว่า 6.5 หมื่นล้านบาท หรือเฉลี่ย 80 ล้านบาทต่อวัน เฝ้าระวัง! ลงทะเบียนเพื่อรับเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ผ่านแอปฯ “ทางรัฐ” เปิดช่องโจรออนไลน์วางกับดักลวงกดลิงค์สแกมเมอร์ ติดตั้งแอปฯ ปลอม
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยสถิติการรับแจ้งความออนไลน์ของเรื่องคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ระหว่าง 1 มี.ค. 2565 - 30 มิ.ย. 2567 พบการแจ้งความผ่านระบบแจ้งความออนไลน์ทั้งหมด 575,507 เรื่อง มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 65,715 ล้านบาท เฉลี่ยความเสียหายวันละกว่า 80 ล้านบาท
โดยพบเหยื่อส่วนใหญ่ของคดีอาชญากรรมไซเบอร์ 64 % เป็น ผู้หญิง และอีก 36 % เป็น ผู้ชาย โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในวัยทำงาน จำแนกรายละเอียดตามกลุ่มอายุ ดังนี้ กลุ่มอายุ 11 - 14 ปี : ร้อยละ 0.12 กลุ่มอายุ 15 - 17 ปี : ร้อยละ 0.78 กลุ่มอายุ 18 - 21 ปี : ร้อยละ 6.22 กลุ่มอายุ 22 - 29 ปี : ร้อยละ 25.33 กลุ่มอายุ 30 - 44 ปี : ร้อยละ 41.51 กลุ่มอายุ 45 - 59 ปี : ร้อยละ 19.62 กลุ่มอายุ 60 ปี ขั้นไป : ร้อยละ 6.42
ข้อมูลจากตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) เปิดเผย 5 อันดับ คดีออนไลน์ที่คนไทยตกเป็นเหยื่อมากที่สุด ดังนี้ อันดับ 1 หลอกลวงซื้อขายสินค้าและบริการ, อันดับ 2 หลอกให้โอนเงินเพื่อทำงาน, อันดับ 3 หลอกให้กู้เงิน, อันดับ 4 หลอกให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ และ อันดับ 5 หลอกลวงทางโทรศัพท์ (call center)
ส่วนแนวโน้มรูปแบบของอาชญากรรมออนไลน์ปี 2567 ที่ต้องเฝ้าระวังคือการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการสร้างเนื้อหาปลอมเพื่อใช้ในการฉ้อโกง หรือสร้างความเสียหาย อาทิ การสร้างภาพ หรือคลิปปลอมเป็นบุคคลอื่น (AI Deepfakes) เพื่อใช้ในการฉ้อโกง, การเลียนเสียงของบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือคนรู้จัก (AI Voice Covers) จากตัวอย่างเสียง เพื่อใช้ในการฉ้อโกง ฯลฯ เป็นต้น
พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า นอกเหนือจากกลุ่มเด็กและเยาวชน และกลุ่มผู้สูงอายุ ที่มักจะปรากฏเป็นข่าวว่าตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมไซเบอร์แล้ว จากสถิติดังกล่าวยังพบว่ากลุ่มที่ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมไซเบอร์ส่วนใหญ่ ที่มีจำนวนสูงที่สุด มักจะเป็นกลุ่มวัยทำงาน ในระหว่างช่วงอายุตั้งแต่ 22 ถึง 59 ปี ซึ่งจำเป็นจะต้องระมัดระวังตนเอง และคอยติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับรูปแบบของการหลอกลวงทางไซเบอร์ เพื่อป้องกันตนเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ
ในยุคของเทคโนโลยีเรื่องของภัยคุกคามและการถูกหลอกลวงทางไซเบอร์เป็นเรื่องใกล้ตัวประชาชน และที่ต้องจับตาอย่างยิ่ง คือ การเปิดลงทะเบียนโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet) ตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ซึ่งเริ่มเปิดให้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันที่ 1 สิ.ค. 2567 ที่ผ่านมา
สำหรับ “ทางรัฐ” เป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลที่พัฒนาโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (สพร.) เพื่อเป็นศูนย์กลางในการให้บริการประชาชนแบบครบวงจร Super Apps มีการเชื่อมข้อมูล และบริการจากส่วนราชการต่างๆ มาไว้ในที่เดียวกัน เพื่อให้ประชาชนในทุกช่วงวัยสามารถใช้บริการออนไลน์ของภาครัฐได้ในแอปฯ เดียวอย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย โปร่งใส และตรวจสอบได้ รวมถึงเป็นช่องทางในการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet
ทั้งนี้ การติดตั้งแอปฯ “ทางรัฐ” อาจเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพกระทำที่เข้าข่ายการก่ออาชญากรรม ไม่ว่าเป็นกรณีแอปฯ ปลอม ลิงค์ปลอม หลอกลงทะเบียน เพื่อการโจรกรรมข้อมูลส่วนตัว ประสงค์ร้ายในธุรกรรมทางการเงิน เป็นต้น
โดยหน่วยงานภาครัฐตลอดจนสื่อมวลชนทุกแขนงมีการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ประชาชน เริ่มตั้งแต่ปราการด่านแรก การติดตั้งแอปฯ ทางรัฐ เพื่อลงทะเบียนรับสิทธิฯ สามารถดาว์นโหลดผ่าน App Store และ Google Play Store เท่านั้น ย้ำเตือนว่าไม่มีการส่ง SMS ให้ประชาชนกดลิงก์ลงทะเบียนใดๆ ทั้งสิ้น อย่าหลงเชื่อลิงก์ปลอมที่แนบมากับ SMS
นอกจากนี้ มีการกำหนดสถานที่จุดให้บริการ (Walk – in) สอบถามข้อมูล และให้บริการรับลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ รวมเป็นจำนวน 6,107 แห่งทั่วประเทศ เวลาทำการ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนกลุ่มผู้ที่มีสมาร์ตโฟนที่อาจประสบปัญหา และไม่ได้รับความสะดวกเท่าที่ควร
ข้อสำคัญ สามารถลงทะเบียนโครงการฯ ผ่านแอปฯ “ทางรัฐ” ได้ตั้งแต่ 1 ส.ค.67 - 15 ก.ย.67 ส่วนผู้ไม่มีสมาร์ตโฟนสามารถลงทะเบียนประชาชนผ่านช่องทางที่ภาครัฐกำหนด (จะมีการแจ้งรายละเอียดอีกครั้ง) โดยวันที่ 22 ก.ย.67 ผู้ได้รับสิทธิตามโครงการฯ จะมีการผ่านการแจ้งเตือนทางแอปฯ “ทางรัฐ”
ประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า กระทรวงดีอี โดย ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย (Anti Fake New Center หรือ AFNC) และเครือข่าย ได้ติดตามตรวจสอบ และประเมินสถานการณ์การกระทำที่เข้าข่ายการก่ออาชญากรรมออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับ โครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งเริ่มเปิดให้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. ที่ผ่านมา จากการติดตามตรวจสอบ เฝ้าระวัง ตลอดระยะเวลา 5 วันของการเปิดให้เริ่มลงทะเบียนโครงการฯ พบการกระทำที่เข้าข่ายการก่ออาชญากรรมออนไลน์ ในแพลตฟอร์มต่างๆ และประสานงานดำเนินการปิดกั้นแพลตฟอร์มแล้ว ดังนี้
1. แอปพลิเคชันปลอม หลอกลงทะเบียน จำนวน 6 แอปพลิเคชัน, 2.เฟซบุ๊ก แฟนเพจปลอม “ทางรัฐ-เงินดิจิทัล” จำนวน 90 เพจ, 3.ข่าวปลอม ข่าวบิดเบือน จำนวนกว่า 20 ข่าว และ 4. เว็บไซต์ปลอม “dga-thai.com” จำนวน 1 เว็บไซต์
“กระทรวงดีอี ได้ดำเนินการประสานผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต่างๆ ทำการปิดกั้นแพลตฟอร์มหลอกลวงทั้งหมด พร้อมดำเนินการตามกฎหมายกับมิจฉาชีพอย่างถึงที่สุด โดยถือว่าการกระทำดังกล่าว ทั้งการเปิดแอปฯ เว็บไซต์ เพจปลอม ข่าวปลอม หรือข้อมูลบิดเบือน เป็นภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ร้ายแรง ซึ่งสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และความเสียหายต่อประชาชนในสังคมเป็นวงกว้าง เนื่องจากเป็นโครงการสำคัญของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยเหลือประชาชน ซึ่งคนไทยกำลังให้ความสนใจมากที่สุดในปัจจุบัน” นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รมว.ก.ดีอี กล่าว
ขณะที่ ไอรดา เหลืองวิไล รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล รักษาการแทนผู้อำนวยการ DGA เปิดเผยว่าแอปฯ ทางรัฐ อยู่ในระบบที่มีความน่าเชื่อถือ มีเสถียรภาพ มีการตั้ง war room เฝ้าระวังระบบและภัยคุกคามทางไซเบอร์ด้วยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญของ DGA ร่วมกับ สกมช. และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมตลอด 24 ชั่วโมง โดยสามารถพิสูจน์ได้จากวันแรกที่เปิดรับลงทะเบียนโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet ซี่งมีผู้ไม่ประสงค์ดีพยายามโจมตีระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างหนัก ตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่เปิดรับลงทะเบียน โดยเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนกดเข้าใช้งานแอปฯ ทางรัฐเป็นจำนวนมหาศาลเช่นเดียวกัน แต่แอปฯ ทางรัฐก็ยังสามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง โดยสามารถรองรับการลงทะเบียนฯ ได้ถึง 18.8 ล้านคนภายใน 24 ชั่วโมงโดยระบบไม่ล่มและไม่มีปัญหาเรื่องข้อมูลรั่วไหล
อย่างไรก็ดี การป้องกันและปราบปรามภัยคุกคามและการถูกหลอกลวงทางไซเบอร์นับเป็นวาระสำคัญที่รัฐให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมีผู้ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมากและมูลค่าเสียหายสูงมากเช่นเดียวกัน ส่งผลกระทบมิติทางสังคมและภาพรวมเศรษฐกิจ
สำหรับสถานหการณ์ภัยคุกคามและการถูกหลอกลวงทางไซเบอร์ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำและสั่งการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าป้องกันปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ทางเทคโนโลยีหรือการที่ประชาชนถูกหลอกลวงทางออนไลน์ในรูปแบบต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องจริงจัง
โดยสถิติตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา มีการกวาดล้างบัญชีม้า 1 แสนบัญชีต่อเดือน พร้อมกับเร่งรัดการคืนเงินให้ผู้เสียหาย นอกจากนี้ รัฐมีนโนบายสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชน เน้นให้ย้ำทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแจ้งเตือนและให้ความรู้ภัยออนไลน์ต่อเนื่อง เพื่อป้องกันและลดปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ ที่ยังสร้างความเสียหายต่อสังคมและเศรษฐกิจในวงกว้าง ตลอดจนปกป้องประชาชนให้พ้นจากเหล่ามิจฉาชีพ
ย้อนกลับไป เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2567 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี), คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.), สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.), สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.). ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), สมาคมธนาคารไทย และสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมหาประชุมหารือหาแนวทางเรื่องการกวาดล้างบัญชีม้าและเร่งรัดการคืนเงินให้ผู้เสียหาย โดยกำหนดแนวทาง 7 มาตรการสำคัญ เพื่อเดินหน้าแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย
1. การปราบปรามจับกุมอาชญากรรมออนไลน์ทั้งในและต่างประเทศ โดยหน่วยงานด้านการปราบปราม อาทิ ตร. ดีเอสไอ จะเร่งปูพรมจับกุมอาชญากรรมออนไลน์ทั้งในและต่างประเทศ อย่างต่อเนื่อง
2. การป้องกันปราบปรามบัญชีม้า ซิมม้า และจับกุมผู้เกี่ยวข้อง โดยการบูรณาการข้อมูลบัญชีต้องสงสัยร่วมกันระหว่าง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย พร้อมกำหนดหลักเกณฑ์และมาตรการการเปิดบัญชีใหม่ โดยกระบวนการพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริง Customer Due Diligence หรือ CDD และ เป้าหมายการปิดบัญชีม้าไม่ต่ำกว่า 100,000 บัญชีต่อเดือน ต่อเนื่อง
3. การแก้ปัญหาหลอกลวงซื้อขายสินค้าออนไลน์ โดยเฉพาะบริการเก็บเงินปลายทาง (Cash on Delivery) หรือ COD โดยสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) จะเร่งจัดทำประกาศควบคุมฯ ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาการหลอกซื้อขายสินค้าออนไลน์ที่มีผู้เสียหายจำนวนมาก โดยประเมินว่า มาตรการนี้จะช่วยลดจำนวนคดีหลอกลวงซื้อขายออนไลน์ได้อย่างมีนัยยะสำคัญ
4. การเร่งรัดคืนเงินและเยียวยาผู้เสียหาย ได้มอบหมายให้ศูนย์ AOC 1441 เป็น Platform รับและแลกเปลี่ยนข้อมูลและบูรณาการข้อมูลร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยการใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อช่วยลดเวลาและเพิ่มความแม่นยำในการติดตามเส้นทางการเงินเพื่อการจับกุมและคืนเงินให้กับผู้เสียหาย
5.การเพิ่มความรับผิดชอบผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์ ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และผู้ให้บริการทางการเงิน
6. การรณรงค์ประชาสัมพันธ์และสร้างภูมิคุ้มกันอาชญากรรมออนไลน์ แบบเจาะจงเรื่องการหลอกลวงลงทุน การหลอกหารายได้ และแก๊ง call center
และ 7. การเร่งรัดปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ในประเด็นสำคัญ อาทิ การเร่งคืนเงินให้กับผู้เสียหาย การเพิ่มโทษการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล และ การป้องกันการโอนเงินแบบผิดกฎหมายของคนร้ายโดยการใช้สินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะที่เป็นแพลทฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลในต่างประเทศที่ผิดกฎหมาย
โดยภาพรวมภาครัฐมีการบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ พร้อมกับสร้างความตระหนักรู้ในภาคประชาชน เพื่อตั้งรับและต่อสู้กับการถูกคุกคามและการหลอกลวงบนโลกออนไลน์
สุดท้าย คงต้องติดตามกันว่าสถิติการแจ้งความออนไลน์ในรอบปีถัดไปจะลดลงหรือเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นภาภาพสะท้อนภารกิจปราบโจรไซเบอร์ของรัฐไทย