xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เวียงวังหมื่นปี (จบ) เวียงวังที่เวียนว่าย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล

เรื่องราวของ  ซูสีไทเฮา ที่เล่ามาเป็นช่วงๆ นั้น ทำให้เราเห็นได้ว่า เวลานั้นราชวงศ์ชิงอยู่ในช่วงปลายราชวงศ์แล้ว และชาวจีนก็เชื่อต่อๆ กันมาว่า ซูสีไทเฮามีส่วนสำคัญยิ่งที่ทำให้ชิงล่มสลาย โดยเฉพาะเมื่อพระนางได้เข้ามาใช้อำนาจแทนจักรพรรดิอยู่เนืองๆ ซ้ำบางเรื่องยังสะท้อนถึง  ความใจร้าย ของพระนางอีกด้วย ในที่นี้จะยกมาเรื่องที่เกิดขึ้นในปลายราชวงศ์มาเล่าโดยสังเขป

เรื่องหนึ่งคือ มีอยู่คราวหนึ่งจักรพรรดิกวางซี่ว์ได้เสด็จมาร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนและทรงเข้าเฝ้าซูสีไทเฮา เมื่อเสด็จมาถึงซูสีไทเฮาก็ทรงถามว่า พระองค์เสด็จมาจากทางใด กวางซี่ว์ทรงตอบว่า เสด็จมาจากพระที่นั่งเกษตรารมณ์หรือหยั่งซินเตี้ยน

ซูสีไทเฮาทรงถามต่อว่า ใช่เข้ามาทางประตูจงซือหรือไม่? กวางซี่ว์ตรัสว่า ใช่ พระนางจึงทรงถามต่อไปว่า ทรงทราบความหมายของประตูนี้หรือไม่ กวางซี่ว์ตรัสว่า โอรสผู้เบาปัญญาขาดซึ่งความเพียรที่จักเรียนรู้เรื่องนี้ ขอราชมารดาทรงสอนสั่งด้วยเถิด

 แท้จริงแล้วคำว่า จงซือ ที่เป็นชื่อประตูนี้คือคำเรียกตั๊กแตนพันธุ์หนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าเป็นตั๊กแตนที่แพร่พันธุ์เร็วมาก โดยสามารถตกลูกได้คราวละมากมาย การที่ซูสีไทเฮาทรงถามถึงเรื่องนี้ก็เพื่อสื่อเป็นนัยถึงกวางซี่ว์ว่า พระองค์มีหลงอี้ว์เป็นจักรพรรดินีนั้นพึงมีโอรสธิดามากมายดังตั๊กแตนจงซือ การเสด็จผ่านประตูนี้ก็เพื่อความเป็นมงคลเช่นนี้เอง 

แต่ความจริงก็ดังที่ได้เคยกล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ ว่าหลงอี้ว์เป็นราชนัดดาของซูสีไทเฮาที่ถูกเจาะจงเลือกมาให้เป็นจักรพรรดินี เพื่อให้สอดส่องพฤติกรรมของกวางซี่ว์ แล้วนำไปรายงานแก่พระนางเพื่อที่พระนางจักได้ควบคุมจักรพรรดิอีกชั้นหนึ่ง หากพฤติกรรมที่พระนางไม่เห็นด้วยก็จะได้ขัดขวาง

 เหตุดังนั้น การที่ซูสีไทเฮาทรงถามกวางซี่ว์เช่นนั้นก็เพื่อจะสื่อว่า ในเมื่อเสด็จผ่านประตูนี้มาแล้ว ก็ควรที่จะเร่งมีโอรสหรือธิดาโดยเร็ว และควรมีให้มากมายดุจดังตั๊กแตนพันธุ์ดังกล่าว โดยพระนางตรัสในตอนหนึ่งว่า ครั้งที่บรรพชนของเราบุกเข้ายึดวังนี้ได้แล้ว ก็ได้เปลี่ยนชื่อเรียกเดิมของวังหรือพระที่นั่งบางองค์ไปไม่น้อย แต่กับชื่อประตูนี้กลับมิได้เปลี่ยนโดยยังคงชื่อเดิมเอาไว้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะบรรพชนแห่งชิงประสงค์ที่จะให้สายโลหิตในชั้นหลังได้สืบลูกชั่วหลานไม่สิ้นสุด ประดุจหนึ่งตั๊กแตนจงซือที่ตกลูกมากมายแล้วกระพือปีกส่งเสียงจอกแจกจอแจ และว่ากันว่า ตกลูกถึง 99 ตัวในคราวเดียว 

แต่ก็เป็นที่รู้กันว่า ข้อกังวลของซูสีไทเฮานั้นไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง เพราะจักรพรรดินีหลงอี้ว์มิอาจให้โอรสหรือธิดาแก่กวางซี่ว์ได้เลยตลอดพระชนม์ชีพของพระนาง

อีกเรื่องหนึ่งคือ ก่อนหน้านี้ได้เคยกล่าวไปแล้วว่า ตอนที่กวางซี่ว์ทรงเลือกสตรีที่จะมาเป็นมเหสีหรือที่ต่อไปจะได้เป็นจักรพรรดินีนั้น พระองค์ทรงมีสตรีที่หมายตาอยู่แล้ว แต่ก็ถูกซูสีไทเฮาบังคับให้เลือกหลงอี้ว์ที่เป็นราชนัดดาของพระนาง ส่วนสตรีที่พระองค์หมายตาก็ถูกปัดให้เป็นสนมซึ่งต่อมาก็คือ  สนมเจิน 

เรื่องราวหลังจากนั้นก็คือว่า ซูสีไทเฮาทรงรู้ตลอดว่า กวางซี่ว์พอพระทัยสนมเจินมากกว่าหลงอี้ว์ผู้เป็นจักรพรรดินี พระนางจึงไม่โปรดสนมเจินอย่างยิ่ง จนเดือนสิงหาคม ค.ศ.1900 ได้เกิดความขัดแย้งกันขึ้นระหว่างจีนกับชาติตะวันตกและญี่ปุ่นรวมแปดชาติ ชาติทั้งแปดได้รวมกำลังทหารของตนเข้าทำศึกกับจีนจนบุกยึดพระราชวังต้องห้ามเอาไว้ได้ ตอนที่สถานการณ์กำลังคับขันอยู่นั้น ราชสำนักซึ่งรู้ตัวก่อนแล้วได้พากันหนีภัยต่างชาติไปยังต่างเมือง

แต่ก่อนที่จะหนีไปนั้น ซูสีไทเฮาทรงมีบัญชาให้หัวหน้าขันทีไปนำตัวสนมเจินมาเฝ้าแล้วตรัสแก่พระนางว่า ขณะนี้ทัพต่างชาติบุกเข้าปักกิ่งแล้ว หากแม้นทำให้เจ้าต้องอับอายแล้วก็ย่อมทำให้ราชวงศ์เสื่อมเสียเกียรติไปด้วย และทำให้เราไม่อาจสู้หน้าบรรพชนของเราได้ จากนั้นพระนางจึงทรงบัญชาให้หัวหน้าขันทีนำสนมเจินไปทุ่มลงบ่อน้ำในบริเวณนั้น

 บ่อน้ำนี้ตั้งอยู่ตรงมุมตะวันออกเฉียงเหนือของวังต้องห้าม เนื่องจากเป็นที่ที่สนมเจินสิ้นพระชนม์ บ่อน้ำนี้จึงถูกเรียกกันต่อมาว่า บ่อน้ำสนมเจิน 

หลัง ค.ศ.1900 ไปแล้ว ราชวงศ์ชิงก็เสื่อมถอยลงอย่างหนัก แต่ซูสีไทเฮาก็ยังทรงมีอิทธิพลอยู่ในราชสำนักต่อไปตราบจนสิ้นพระชนม์ใน ค.ศ.1908 ก่อนสิ้นพระชนม์ไม่กี่วันได้มีการสถาปนาให้ปูยีเป็นจักรพรรดิองค์น้อยด้วยวัยเพียงสามชันษา และไม่กี่ปีหลังจากนั้นราชวงศ์ชิงก็ล่มสลายลงใน ค.ศ.1911 และถูกแทนที่โดยสาธารณรัฐจีนใน ค.ศ.1912

ณ บัดนี้การบอกเล่าเรื่องราวของพระราชวังต้องห้ามได้มาถึงสุดทางแล้ว ทั้งนี้หาใช่เพราะมีเรื่องให้เล่าเพียงเท่านี้ ที่จริงแล้วยังมีเรื่องราวอีกมากมาย แต่เห็นว่าเป็นรายละเอียดหยุมหยิม หากเล่าไปก็รังแต่จะสร้างความน่าเบื่อมากกว่าน่าสนุก ลำพังที่เล่ามาก็ไม่แน่ใจว่าจะสนุกหรือไม่ แต่เล่าเพราะได้บอกแต่แรกแล้วว่า วังนี้เป็นหมุดหมายหนึ่งของนักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวจีน ถ้าได้รู้จักวังนี้มากขึ้นในทาง  “เนื้อหา” ก็น่าจะช่วยให้การเยือนยลในทาง “รูปแบบ” ได้ประโยชน์มากขึ้น

สิ่งที่เป็นประเด็นที่พึงกล่าวในตอนท้ายนี้ก็คือ แม้วังนี้จะถูกสร้างขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา แต่เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งวังนี้ก็หนีไม่พ้นต่อการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ตามวัฏสงสารของทุกสรรพสิ่งที่ไม่อาจหนีการเวียนว่ายตายเกิดไปได้ซึ่งก็คือ กฎแห่งอนิจจัง 

 พระราชวังต้องห้ามก็เป็นเช่นนั้น ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์รวมแห่งอำนาจทางการเมืองมายาวนานนับหลายร้อยปี แต่พอจีนเข้าสู่โลกสมัยใหม่ ศูนย์รวมแห่งอำนาจนี้ก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจนทำให้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ล่มสลายลง โดยที่ควรกล่าวด้วยว่า แม้ในยามที่ราชวงศ์หมิงและชิงใช้ประโยชน์จากวังนี้อยู่นั้น ก็ใช่ว่าวังนี้จะหลีกหนีภัยไปได้เช่นกัน ความจริงแล้ววังนี้เคยถูกเพลิงไหม้ถึงหกครั้ง 

เพลิงที่ไหม้นี้แม้จะมิได้ไหม้วังทั้งหมด แต่ก็ไหม้ในอาคารที่สำคัญของวังแทบทุกครั้ง โดยครั้งแรกเพลิงได้ไหม้สามพระที่นั่งใหญ่ใน ค.ศ.1420 กว่าจะสร้างขึ้นใหม่จนแล้วเสร็จก็ใน ค.ศ.1441 ครั้งที่สองเพลิงไหม้อาคารหลักด้านนอกใน ค.ศ.1557 กว่าจะเก็บกวาดซากปรักหักพังให้แล้วเสร็จก็ต้องใช้แรงงานไปถึง 30,000 คนและเกวียนอีก 5,000 เล่ม ครั้งที่สามเกิดขึ้นใน ค.ศ.1597 ครั้งนี้เพลิงได้ไหม้เฉียนชิงกงหรือวังสวรรค์พิสุทธิ์กับคุนหนิงกงหรือวังโลกยศานต์ ครั้งที่สี่เกิดขึ้นใน ค.ศ.1514 โดยไหม้วังทั้งสององค์นี้เช่นกัน

ครั้งที่ห้าเกิดขึ้นใน ค.ศ.1888 โดยไหม้บริเวณไท่เหอเหมินหรือประตูบรมบรรสาน ครั้งนี้มีสาเหตุมาจากขันทีหลับยามแล้วปล่อยให้โคมไฟของตนไหม้ลามไป และครั้งที่หกเกิดในยุคสาธารณรัฐ ซึ่งตอนนั้นปูยีทรงเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายที่ไร้อำนาจแล้ว แต่ยังคงได้รับอนุญาตจากรัฐบาลสาธารณรัฐให้ประทับอยู่ในพระราชวังต้องห้ามได้ต่อไป ส่วนเหตุเพลิงไหม้นั้นเกิดใน ค.ศ.1923 โดยฝีมือของขันทีที่ถูกจับได้ว่าได้ขโมยสิ่งของมีค่าในวังไปขายนอกวัง จึงได้เผาวังเป็นการทำลายหลักฐาน

อย่างไรก็ตาม ตลอดยุคสาธารณรัฐนั้น จีนหาใช่ประเทศที่สงบไม่ หากมิใช่เพราะมีการแย่งชิงอำนาจภายในก็เป็นเพราะต้องทำศึกกับญี่ปุ่น พระราชวังต้องห้ามจึงถูกทิ้งให้รกร้างยาวนานหลายนับสิบปี จนในปี ค.ศ.1949 เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนยึดอำนาจการปกครองได้แล้ว พระราชวังต้องห้ามจึงได้รับการบูรณะครั้งใหญ่จนงดงามอลังการมาถึงทุกวันนี้ แต่ก็มิใช่วังที่มีชีวิตเยี่ยงอดีต หากแต่เป็นโบราณสถานและพิพิธภัณฑ์ให้คนในปัจจุบันได้ศึกษาอดีต เสมือนหนึ่งได้เวียนว่ายตายเกิดมายังอีกภพหนึ่ง

 ไม่มีเวียงวังหมื่นปีเมื่อวานนี้อีกแล้ว 


กำลังโหลดความคิดเห็น