"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
ในสงครามกลางเมืองครั้งแรกของโรมัน ซุลลา (Sulla)ได้รับชัยชนะ สามารถพิชิตกองกำลังของคู่แข่งของเขา มาริอุส (Marius) และสร้างความมั่นคงในการควบคุมกรุงโรม อย่างไรก็ตาม ชัยชนะมาพร้อมกับราคาที่แพงมาก ทั้งสำหรับโรมและตัวซุลลาเอง สงครามกลางเมืองเป็นความขัดแย้งที่นองเลือดและทำลายล้าง ทำให้ชาวโรมันหลายหมื่นคนเสียชีวิตและต้องพลัดถิ่นหรือทุกข์ยากเหลือคณานับ โครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจของสาธารณรัฐถูกทำลายลง และบาดแผลที่เกิดจากสงครามยังคงอยู่ต่อไปอีกนานหลังจากการสู้รบสิ้นสุดลง
ช่วงหลังสงคราม ซุลลาเริ่มรวบอำนาจและปรับเปลี่ยนรัฐโรมันตามวิสัยทัศน์ของเขาเอง เขาประกาศตัวเป็นผู้เผด็จการ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ให้อำนาจเด็ดขาดเหนือสาธารณรัฐ และเริ่มดำเนินโครงการปฏิรูปทางการเมืองและสังคมซึ่งจะมีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อโรม การปฏิรูปของซุลลามุ่งเน้นการเสริมสร้างอำนาจของชนชั้นสูงและจำกัดอิทธิพลของสภาประชาชนและตำแหน่งอัครชน (the tribunes) ของชาวเพลเบียนหรือสามัญชนในโรม เขาริดรอนอำนาจในการยับยั้งกฎหมายของทริบูนและห้ามพวกเขาดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นการทำลายกลไกสำคัญในการตรวจสอบอำนาจของชนชั้นสูงอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังขยายจำนวนสมาชิกวุฒิสภาอย่างมาก โดยแต่งตั้งผู้สนับสนุนและพันธมิตรของเขาเอง
อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปของซุลลาก็ได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความขัดแย้งและความไม่มั่นคงในอนาคต การรวมศูนย์อำนาจไว้ในมือของชนชั้นสูงกลุ่มเล็ก ๆ และการบ่อนทำลายสถาบันที่เคยทำหน้าที่ตรวจสอบอำนาจของชนชั้นสูงตามประเพณีของซุลลาได้สร้างระบบที่ไม่มั่นคงและมีแนวโน้มที่จะถูกใช้ในทางที่ผิด ดังที่นักประวัติศาสตร์ ซัลลัสต์ (Sallust) ตั้งข้อสังเกตว่า “ชนชั้นสูงเริ่มใช้ตำแหน่งของตนในทางที่ผิด และประชาชนจึงเริ่มต่อต้านการกระทำของชนชั้นสูง”
ยิ่งไปกว่านั้น การใช้การประหัตประหารศัตรูทางการเมืองอย่างเป็นระบบของซุลลา โดยการฆ่าล้างตระกูลและริบทรัพย์สิน ได้สร้างบรรทัดฐานอันตรายสำหรับผู้นำในอนาคต อันได้แก่ การใช้ประหัตประหารเป็นเครื่องมือในการปราบปรามทางการเมืองอย่างโหดร้ายและไม่เลือกหน้า ซึ่งสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัวและพรั่นพรึงในสังคมเป็นวงกว้าง ชาวโรมต่างระมัดระวังตัวไม่กล้าแสดงความเห็นที่แตกต่างจากผู้ครองอำนาจรัฐ
อย่างไรก็ตาม แม้จะอยู่ในตำแหน่งที่ดูเหมือนไม่มีใครท้าทายได้ แต่ซุลลาก็สร้างความตกตะลึงให้กับโรมด้วยการสละตำแหน่งผู้เผด็จการโดยสมัครใจในปี 79 ก่อนคริสตกาลและเกษียณสู่ชีวิตส่วนตัว การตัดสินใจของเขา ในด้านหนึ่งแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในความแข็งแกร่งของระบบที่เขาสร้างขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นถึงความไม่มั่นคงของระเบียบทางการเมืองที่ขึ้นอยู่กับความต้องการของบุคคลคนเดียวมากเกินไป
มรดกของซุลลาเป็นสิ่งที่มีทั้งด้านบวกและลบ เขาได้ยุติสงครามกลางเมืองโรมันครั้งที่หนึ่งและสร้างเสถียรภาพให้กับสาธารณรัฐในระยะสั้น แต่การปฏิรูปของเขาก็เป็นการปูทางสำหรับความขัดแย้งในอนาคตและมีส่วนทำให้สาธารณรัฐล่มสลายในที่สุด เหมือนกับแพทย์ที่สั่งยาแรงเพื่อรักษาโรค แต่กลับพบว่าการรักษานั้นเลวร้ายยิ่งกว่าตัวโรค การกระทำของซุลลามีผลที่ไม่คาดคิดซึ่งจะส่งผลกระทบไปทั่วประวัติศาสตร์โรมัน
หลังจากการเกษียณและการเสียชีวิตของซุลลาในปี 78 ก่อนคริสตกาล สาธารณรัฐโรมันเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งเสถียรภาพที่ค่อนข้างมั่นคงระยะสั้น แต่ความตึงเครียดทางสังคมที่เกิดจากความไม่เท่าเทียมที่แฝงอยู่เป็นเสมือนเชื้อเพลิงให้กับสงครามกลางเมืองโรมันครั้งถัดไป ทศวรรษหลังการเป็นผู้เผด็จการของซุลลา นักการเมืองรุ่นใหม่ที่มีความทะเยอทะยานหลายคนปรากฎตัวขึ้นมา แต่ละคนพยายามสร้างชื่อเสียงในประวัติศาสตร์โรมันและกำหนดอนาคตของสาธารณรัฐ
ในบรรดาดาวรุ่งเหล่านี้มี จูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) ชายหนุ่มชนชั้นสูงจากตระกูลโรมันที่มีชื่อเสียง เขามีอาชีพเป็นทหาร นำทัพโรมันสู้ศึกและประสบชัยชนะหลายครั้ง ขณะเดียวกันก็สร้างและขยายพันธมิตรทางการเมืองไปพร้อมกัน อำนาจและอิทธิพลของเขาภายในสาธารณรัฐค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น การที่เขาดำรงตำแหน่งเควสเตอร์ (จัดการเรื่องเงิน เก็บภาษี ค่าใช้จ่ายทหาร)ในสเปนทำให้เขามีชื่อเสียงในด้านความสามารถทางทหารและทักษะการบริหาร และการที่ซีซาร์ได้รับชัยชนะทางทหารอย่างต่อเนื่องทำให้เขาได้รับความเคารพและการยกย่องจากชาวโรมัน เขาพิชิตกอล ดินแดนอันกว้างใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของฝรั่งเศสและเบลเยียมในปัจจุบัน และความสำเร็จของเขาในสนามรบกลายเป็นเรื่องอันน่าอัศจรรย์ แต่ซีซาร์ไม่ได้พอใจกับความสำเร็จเหล่านี้ เขามองหารางวัลที่ยิ่งใหญ่กว่าที่รออยู่ในอนาคต
การครองอำนาจการเมืองในโรมันคือเป้าหมายสำคัญของซีซาร์ เขาเข้าสู่วงการการเมืองด้วยการผสมผสานความชำนาญทางทหาร ความเฉลียวฉลาดทางการเมือง และความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า การที่มีความสามารถหลายด้าน ทั้งในสนามรบและการพูดในห้องประชุม ทำให้เขาได้รับการยอมรับและสามารถขึ้นสู่ตำแหน่งระดับสูงอย่างรวดเร็ว แต่เมื่ออำนาจและอิทธิพลของซีซาร์เพิ่มขึ้น ความอิจฉาริษยาและความเกลียดชังของศัตรูในวุฒิสภาก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ซีซาร์สร้างพันธมิตรทางการเมืองกับปอมเปย์ (Pompey) และคราสซุส (Crassus) สองบุคคลที่ทรงอำนาจที่สุดในโรม พันธมิตรนี้รู้จักกันในชื่อ “ไตรภาคีครั้งที่หนึ่ง” (The First Triumvirate) ไตรภาคีนี้เป็นพลังที่แข็งแกร่ง แต่ก็เป็นพันธมิตรที่ไม่มั่นคงนัก เพราะสมาชิกแต่ละคนต่างแย่งชิงอำนาจและอิทธิพลซึ่งกันและกันอยู่เสมอ การเสียชีวิตของคราสซุสในปี 53 ก่อนคริสตกาล ทำให้ซีซาร์และปอมปีย์กลายเป็นสองบุคคลที่ทรงอำนาจที่สุดในโรม และความเป็นศัตรูของพวกเขาก็เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว ปอมปีย์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับซีซาร์ เริ่มที่จะถอยห่างจากเพื่อนเก่า โดยหันไปเข้าข้างฝ่ายอนุรักษ์นิยมในวุฒิสภาที่เห็นว่า ซีซาร์เป็นภัยคุกคามต่ออำนาจและสิทธิพิเศษของพวกเขา
การปะทะกันระหว่างซีซาร์กับวุฒิสภาเป็นผลมาจากปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของความทะเยอทะยานส่วนตัว อุดมการณ์ทางการเมือง และปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกของสาธารณรัฐโรมัน
ในระดับส่วนตัว ซีซาร์เป็นบุคคลที่มีความทะเยอทะยานสูงซึ่งต้องการสร้างชื่อเสียงในประวัติศาสตร์โรมัน เขามีความรู้สึกว่า ตนเองมีความสามารถสูงและความปรารถนาอย่างลึกซึ้งที่จะได้มาซึ่งอำนาจและเกียรติยศเหนือผู้อื่นทั้งปวง ดังที่ พลูทาร์ค (Plutarch) กล่าวว่า “ซีซาร์ได้ตัดสินใจที่จะโค่นล้มปอมเปย์มานานแล้ว เช่นเดียวกับที่ปอมเปย์ก็คิดไม่ต่างกัน เพราะคราสซุส ผู้ซึ่งพวกเขากลัวจนต้องรักษาความสงบสุขเอาไว้ชั่วเคราว ตอนนี้ได้ถูกฆ่าในพาร์เทียแล้ว หากหนึ่งในพวกเขาต้องการทำให้ตนเองเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในกรุงโรม ก็ต้องโค่นอีกคนหนึ่ง และหากต้องการป้องกันไม่ให้ตัวเองล้มลง ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจัดการกับคนที่เขากลัวก่อน”
อย่างไรก็ตาม ความทะเยอทะยานของซีซาร์ก็มีองค์ประกอบทางอุดมการณ์ที่แข็งแกร่งด้วย เขาวางตำแหน่งตัวเองเป็นผู้พิทักษ์ประชาชน สนับสนุนการปฏิรูปที่ดิน การบรรเทาหนี้สิน และการกระจายอำนาจและความมั่งคั่งอย่างเท่าเทียมมากขึ้น นโยบายเหล่านี้ทำให้เขาขัดแย้งกับชนชั้นสูงอนุรักษ์นิยมในวุฒิสภา ซึ่งมองว่าเขาเป็นภัยคุกคามต่อสิทธิพิเศษและอำนาจดั้งเดิมของพวกเขา
ยิ่งไปกว่านั้น การกระทำของซีซาร์เปิดเผยให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกของสาธารณรัฐโรมัน สาธารณรัฐถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันการรวมศูนย์อำนาจไว้ในมือของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ด้วยระบบการตรวจสอบและถ่วงดุลที่ซับซ้อนซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำให้แน่ใจว่าไม่มีฝ่ายใดหรือบุคคลใดสามารถครอบงำรัฐได้ อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นของสังคมโรมันและการขยายตัวอย่างกว้างขวางของจักรวรรดิทำให้ระบบนี้ยุ่งยากและไร้ประสิทธิภาพมากขึ้นตามลำดับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วุฒิสภาได้กลายเป็นป้อมปราการแห่งสิทธิพิเศษของชนชั้นสูง ถูกครอบงำโดยชนชั้นสูงกลุ่มเล็ก ๆ ที่แยกตัวออกจากความต้องการและปัญหาของชาวโรมันส่วนใหญ่ ดังที่ซัลลัสต์ (Sallust) สังเกตว่า “ชนชั้นสูงเริ่มใช้ตำแหน่งของตนในทางที่ผิด และประชาชนจึงเริ่มต่อต้านการกระทำของชนชั้นสูงเหล่านั้น” ดังนั้น การท้าทายวุฒิสภาของซีซาร์จึงสามารถมองได้ว่าเป็นภาพสะท้อนของความตึงเครียดและความขัดแย้งในระดับโครงสร้างสังคมภาพรวมของโรมัน เหมือนกับหม้อความดันที่มีวาล์วทำงานผิดปกติ สาธารณรัฐกำลังสะสมแรงดัน และการกระทำของซีซาร์เป็นประกายไฟที่ทำให้มันระเบิดในที่สุด
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือการปะทะกันระหว่างซีซาร์กับวุฒิสภาไม่ใช่เพียงเรื่องของความทะเยอทะยานส่วนตัวหรืออุดมการณ์ทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังเป็นภาพสะท้อนของธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไปของสังคมโรมันและความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของอำนาจทางทหารในการเมืองโรมัน
เมื่อสาธารณรัฐขยายอาณาเขตและเข้าร่วมในสงครามที่ซับซ้อนและห่างไกลมากขึ้น บทบาทของทหารในสังคมโรมันก็กลายเป็นศูนย์กลางมากขึ้นตามไปด้วย นายพลที่ประสบความสำเร็จ เช่น ซีซาร์ สามารถใช้ชัยชนะทางทหารเพื่อสร้างฐานการสนับสนุนในหมู่ทหารและประชากรโรมันที่ในวงกว้างและท้าทายอำนาจดั้งเดิมของวุฒิสภา
ในแง่นี้ การปะทะกันระหว่างซีซาร์กับวุฒิสภาสามารถมองได้ว่าเป็นอาการของวิกฤตระดับโครงสร้างของสาธารณรัฐโรมัน เพราะสถาบันดั้งเดิมของรัฐพิสูจน์ว่าไม่สามารถจัดการกับความท้าทายที่ซับซ้อนของจักรวรรดิที่กำลังขยายตัวและสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงมากขึ้นได้อีกต่อไป ดุจดังกับต้นไม้ที่เติบโตสูงเกินไปและหนักเกินไปสำหรับรากเดิมที่จะรองรับได้ สาธารณรัฐกำลังโอนเอนอยู่บนขอบของการล่มสลาย และการกระทำของซีซาร์เป็นลมแรงที่ทำให้มันล้มลงในที่สุด
เมื่อความตึงเครียดทวีความรุนแรงขึ้น ซีซาร์ได้ทำการเคลื่อนไหวซึ่งเป็นการเปิดฉากสงครามกลางเมืองขึ้นมา ในเดือนมกราคม ปี 49 ก่อนคริสตกาล เขาได้ข้ามแม่น้ำรูปิคอนพร้อมกับกองทัพ โดยไม่เชื่อฟังคำสั่งของวุฒิสภาให้สลายกองกำลัง การกระทำของซีซาร์เป็นการกระทำเชิงสัญลักษณ์ที่แสดงเจตนารมณ์ที่จะยึดอำนาจรัฐโรมันด้วยกำลัง แม่น้ำรูปิคอนเป็นเขตแดนระหว่างเมืองของซีซาร์ที่กอลและอิตาลี และการข้ามแม่น้ำพร้อมกองทัพเป็นเสมือนการประกาศสงครามต่อรัฐโรมัน การเคลื่อนทัพของซีซาร์จึงเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามกลางเมืองโรมันครั้งที่สอง ซึ่งเป็นความขัดแย้งที่จะนำไปสู่การล่มสลายของสาธารณรัฐและการก่อตัวของจักรวรรดิโรมันในเวลาต่อมา
ปอมปีย์ซึ่งไม่ทันตั้งตัวกับการเคลื่อนไหวของซีซาร์ ได้หลบหนีออกจากโรมพร้อมกับสมาชิกส่วนใหญ่ของวุฒิสภา โดยหวังว่าจะรวบรวมการสนับสนุนในเมืองต่าง ๆ และเปิดการโจมตีโต้กลับ แต่ซีซาร์เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ยึดครองอิตาลีและไล่ตามปอมปีย์และพันธมิตรของเขาข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ช่วงต้นของสงคราม ซีซาร์เอาชนะปรปักษ์ของเขาอย่างรวดเร็วหลายครั้ง ที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถทางยุทธศาสตร์และการสร้างแรงบันดาลใจให้กับทหารเพื่อต่อสู้ด้วยความกล้าหาญ เขาเอาชนะกองทัพของปอมปีย์ในสเปนและกรีซ และไล่ตามไปถึงอียิปต์ ที่ซึ่งปอมปีย์ถูกทรยศและลอบสังหารในที่สุด
แต่ว่าสงครามยังห่างไกลจากจุดสิ้นสุด และไม่ช้าซีซาร์ก็พบว่า ตัวเองต้องเผชิญหน้ากับขบวนการศัตรูชุดใหม่ ที่รวมถึงพันธมิตรและผู้สนับสนุนเก่าของปอมปีย์หลายคน ความขัดแย้งย้ายไปยังแอฟริกาเหนือ ที่ซึ่งกองทัพของซีซาร์ได้ปะทะกับกองทัพของกษัตริย์ยูบาแรกที่หนึ่งแห่งนูมิดียา และนายพลของฝ่ายสาธารณรัฐ เมเทลลัส สคิปิโอ อย่างไรก็ตาม การรบที่ธัปซุสในปี 46 ก่อนคริสตกาล เป็นเหตุการณ์ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงสำคัญในสงคราม โดยกองทัพของซีซาร์เอาชนะกองทัพฝ่ายสาธารณรัฐอย่างเด็ดขาด และยึดควบคุมแอฟริกาเหนือได้สำเร็จ จากนั้นซีซาร์ก็เดินทางกลับมายังกรุงโรม ซึ่งเขาได้เฉลิมฉลองการชัยชนะหลายครั้ง ซีซาร์เป็นผู้ชนะในความขัดแย้งนี้ แต่ชัยชนะของเขาต้องแลกมาด้วยราคาที่แพงมาก จากสงครามกลางเมืองโรมันครั้งใหญ่ที่คร่าชีวิตชาวโรมันจำนวนมาก รวมถึงพันธมิตรและผู้สนับสนุนของซีซาร์เอง
ซีซาร์เริ่มรวมศูนย์อำนาจและปรับโครงสร้างรัฐโรมันในแบบของเขาเอง เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นเผด็จการตลอดชีวิต ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ให้มีอำนาจควบคุมรัฐบาลและกองทัพโดยไม่มีข้อจำกัดในรัฐโรมัน เขาได้จัดทำชุดการปฏิรูปที่มุ่งแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างระดับรากฐานในสังคมโรมัน รวมถึงระบบปฏิทินใหม่และมาตรการเพื่อลดความยากจนและหนี้สิน แต่การปฏิรูปและอำนาจที่เพิ่มขึ้นของซีซาร์กลับยิ่งเพิ่มความเกลียดชังและความกลัวในหมู่ศัตรูของเขาในวุฒิสภา หลายคนเห็นว่าเขากำลังกลายเป็นทรราช บุรุษผู้คุกคามและทำลายรากฐานของสาธารณรัฐและแทนที่ด้วยราชาธิปไตย
กรุงโรมถูกแบ่งแยกอย่างลึกซึ้งหลังสงคราม โดยมีหลายคนในวุฒิสภายังคงเกลียดชังและขมขื่นต่อบุรุษที่ได้ล้มล้างสาธารณรัฐ แม้ซีซาร์พยายามที่จะจัดการกับความแตกแยกเหล่านี้ผ่านการปฏิรูปและการกระทำเพื่อสร้างความสมานฉันท์ รวมถึงการให้อภัยโทษแก่ศัตรูเก่าของเขาและการแต่งตั้งพวกเขาในตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล แต่ก็ไม่อาจสยบเปลวเพลิงแห่งความคับแค้นและเกลียดชังให้มอดดับได้ ศัตรูของเขาในวุฒิสภายังไม่ยอมแพ้และวางแผนต่อต้านเขาในความลับอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเวลาผ่านไป ความตึงเครียดระหว่างซีซาร์กับศัตรูของเขาก็เติบโตขึ้นอย่างมากขึ้น มีข่าวลือเกี่ยวกับแผนการและการสมคบคิดเพื่อลอบสังหารซีซาร์ และซีซาร์เองก็เริ่มมีความหวาดระแวงและสงสัยมากขึ้นเรื่อย ๆ รอบตัวเขารายล้อมไปด้วยด้วยองครักษ์และไม่ค่อยปรากฏตัวในที่สาธารณะโดยไม่มีการคุ้มกันที่มีอาวุธหนัก
แม้จะมีมาตรการป้องกันที่แข็งแกร่ง แต่ศัตรูของซีซาร์ก็วางแผนอย่างแยบยลเพื่อโจมตีเขาได้สำเร็จ ในวันที่ 15 มีนาคม ปี 44 ก่อนคริสต์ศักราช กลุ่มวุฒิสมาชิกนำโดยมาร์คัส บรูตุส (Marcus Brutus) และไกอัส แคสเซียส (Gaius Cassius) ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่สุดและพันธมิตรของซีซาร์ ได้ทำการโจมตีซีซาร์ในอาคารวุฒิสภา การลอบสังหารนั้นเป็นเหตุการณ์ที่โหดร้ายและนองเลือด ซีซาร์ถูกแทงมากกว่า 20 ครั้งโดยกลุ่มผู้โจมตี
รอบตัวซีซาร์ เหล่าผู้สมคบคิดยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง มีดที่เปื้อนเลือดยังคงอยู่ในมือที่สั่นเทาของพวกเขา แต่ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ซีซาร์เจ็บปวดที่สุด สิ่งที่ทำให้ใจของเขาแตกสลายคือ การเห็นใบหน้าหนึ่งในหมู่ผู้คนเหล่านั้น บรูตุส ผู้เป็นเพื่อนรักและศิษย์ของเขา ที่ยืนอยู่ที่นั่นกับคนอื่น ๆ ชายหนุ่มที่ซีซาร์เคยสั่งสอน รักเหมือนลูกชาย และไว้ใจมากกว่าใครทั้งหมด บัดนี้กลับจ้องมองเขาด้วยดวงตาที่เย็นชาและไร้ความรู้สึก
ขณะที่ชีวิตกำลังจะหมดลง ซีซาร์รวบรวมกำลังครั้งสุดท้าย เสียงของเขาที่เคยทรงพลังพอจะดึงดูดความสนใจของคนนับพัน บัดนี้แผ่วเบาเป็นเพียงเสียงกระซิบ “แม้แต่เจ้าหรือบรูตุส? (Et tu, Brute?)” เขาพึมพำ ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของผู้ทรยศ
สามคำง่าย ๆ แม้แผ่วเบา แต่กลับก้องกังวานไปทั่วห้องโถง หนักอึ้งด้วยน้ำหนักของความไว้วางใจที่แตกสลายและสายสัมพันธ์ที่ขาดสะบั้น ในช่วงเวลานั้น ไม่ใช่ความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ทรมานซีซาร์ แต่เป็นความทุกข์ทรมานจากการถูกทรยศครั้งใหญ่หลวง ขณะที่ความมืดปกคลุมรอบตัวเขา สิ่งสุดท้ายที่ซีซาร์เห็นคือใบหน้าของบรูตุส ซึ่งจารึกอยู่ในความทรงจำสุดท้ายของเขาในฐานะตัวแทนของการทรยศ
การลอบสังหารจูเลียส ซีซาร์ทำให้กรุงโรมเข้าสู่ช่วงเวลาของความขัดแย้งกลางเมืองและความไม่แน่นอนใหม่ ขณะที่ฝ่ายต่าง ๆ แข่งขันแย่งชิงอำนาจกันเพื่อควบคุมการเมืองโรมันในช่วงหลังจากการตายของเขา (ยังมีต่อ)