ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ก็เป็นอันว่า “ลุงป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” อ้าแขนต้อนรับ “วัน อยู่บำรุง” ลูกชายสุดที่รักของ “เป็ดเหลิม-ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรง” เข้าสังกัดพรรคพลังประชารัฐเป็นที่เรียบร้อย หลังเกิดเหตุความไม่พอใจจากกรณีที่ “วัน” โผล่ไปให้กำลังใจ “บิ๊กแจ๊ส-พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง” ในสมรภูมิเลือกตั้งนายกองค์การบริหารจังหวัดปทุมธานี จนสร้างความไม่พอใจให้กับ “ลูกอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และถูกเรียกไปตำหนิ
จากนั้น “วัน” ถึงกับหลั่งน้ำตาประกาศลาออกจากพรรคเพื่อไทยกลางไลฟ์สด ตามต่อด้วย “พ่อเหลิม” ที่แสดงความไม่พอใจขั้นสุดพร้อมเรียกร้องให้ขับออกจากพรรคกันเลยทีเดียว
ในครั้งนั้น กูรูการเมืองวิเคราะห์ตรงกันว่า “ร.ต.อ.เฉลิม” ไม่พอใจปฏิกิริยาที่ “ลูกอิ๊งค์” แสดงออกต่อ “ลูกวัน” ด้วยถือว่า ตนเองคือผู้ที่ทำให้ “ทักษิณ ชินวัตร” กลายเป็นเจ้าพ่อธุรกิจโทรคมนาคม จนต้องเปลี่ยนวลีอมตะของ “บิ๊กแจ๊ส” ที่ว่า “มีวันนี้เพราะพี่ให้” เป็น “มีวันนี้เพราะเหลิมให้” เลยก็ว่าได้ ดังนั้น จะทำอะไรก็ควรให้เกียรติหรือเห็นหัวกันบ้าง ด้วยมิใช่ดำรงสถานะเป็น “เด็กในบ้าน” เหมือนนักการเมืองหลายๆ คน
เพราะย้อนกลับไปสมัยที่ครอบครัวชินวัตรยังไม่มีอาณาจักรธุรกิจโทรคมนาคมที่ยิ่งใหญ่ และยังไม่เข้าสู่เวทีการเมืองจนกลายเป็นครอบครัวที่ทรงอิทธิพลทางการเมืองเหมือนทุกวันนี้ ร.ต.อ.เฉลิมกลายเป็นหนึ่งในบุคคลทางประวัติศาสตร์ของครอบครัวชินวัตรในยุคก่อร่างสร้างตัวด้วย เนื่องจากสัมปทานโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิกที่บริษัทไอบีซีที่ของครอบครัวชินวัตรได้รับนั้นนสมัยที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลอสมท.คือ ร.ต.อ.เฉลิม โดยธุรกิจสัมปทานดังกล่าวเรียกได้ว่าเป็นการวางอิฐก้อนแรกๆ ที่นำไปสู่ธุรกิจโทรคมนาคมและดาวเทียมในเวลาต่อมา
ไม่เพียงเท่านี้ เมื่อครั้ง ร.ต.อ.เฉลิมครองเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีดูแลงานตำรวจ ก็เป็นคีย์แมนคนสำคัญที่ผลักดันให้ “พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์” พี่ชายของ “คุณหญิงอ้อ-พจมาน ดามาพงศ์” ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นับจากนั้นบทบาทของ ร.ต.อ.เฉลิมจะเพิ่มพูนมากขึ้น ไม่เว้นแต่เวลาพรรคเพื่อไทยทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านก็ยังเข้ามานั่งหัวโต๊ะร่วมกำหนดทิศทางการทำงานในสภาด้วย โดยเฉพาะการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ
จากเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไม “บิ๊กเหลิม” ถึงไม่ค่อยพอใจเวลาถูกคนในพรรคเพื่อไทยหรือแม้แต่คนในครอบครัวชินวัตรแซะเป็นประจำ
วันนี้ “วัน” ที่ย้ายไปซบ “ลุงป้อม” ก็ประกาศย้ำอีกครั้งว่า อยากให้พรรคเพื่อไทยขับผู้เป็นพ่อจะได้มาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐกันทั้งบ้าน เพราะในวันที่ไปให้กำลังใจ “บิ๊กแจ๊ส” ก็ไปกันทั้งบ้านเพียงแค่ไม่มีภาพออกมาเท่านั้น ซึ่งก็เป็นสัญญาณให้เห็นว่า ไม่สามารถประสานรอยร้าวให้กลับคืนมาเหมือนเช่นครั้งที่แล้วที่ “ลูกอิ๊งค์และสามี” ต้องไปงอนง้อ “ลุงเหลิมและพี่วัน” ที่บ้านบางบอน
“หลังจากวันที่ 30 มิถุนายน ได้มีสมาชิกพรรคหลายพรรคติดต่อมายังตน แต่ก็เงียบหายไป ซึ่งไม่รู้ว่าถูกใครแตะเบรกหรือไม่ จนตนเองได้ไปยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยที่ กกต. ได้พบกับนายสามารถ เจนชัยจิตวานิช อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ได้ติดต่อและชักชวนให้มาอยู่กับพลเอกประวิตร และได้นัดให้เข้าพบพลเอกประวิตร ซึ่งครั้งแรกที่ตนเองได้เจอพลเอกประวิตร โดยประโยคแรกที่ทักคือ ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับ มาอยู่พรรคพลังประชารัฐ โดยเป็นที่ซาบซึ้งและประทับใจเป็นอย่างมาก เพราะเหมือนหนีร้อนมาพึ่งเย็น พลเอกประวิตร เป็นคนใจใหญ่ ใจกว้าง ใจถึงพึ่งได้ของจริง ขณะเดียวกันก็ต้องขอบคุณนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรค ที่อวยพรให้ตนเองโชคดี ในการเดินทางการเมืองกับพรรคใหม่”วัน อยู่บำรุง ร่ายยาว
ที่ต้องขีดเส้นใต้ประการถัดมาก็คือ วันบอกว่า จะไม่ตัดความสัมพันธ์กับตระกูลชินวัตรอย่างแน่นอน เพราะทั้งตระกูลชินวัตรและตระกูลอยู่บำรุงรู้จักกันมานาน และยืนยันว่าการที่ตนเองมาซบใต้ปีกของพลเอกประวิตรไม่ใช่การแก้เกมพรรคเพื่อไทยอย่างแน่นอน และก็ไม่รู้ว่าพลเอกประวิตรกับนายทักษิณ ชินวัตร แตกกันหรือไม่ แต่ตนก็ยังคงให้ความเคารพนายทักษิณ อยู่เสมอ ส่วนทางการเมืองก็ว่ากันไป
ความจริงก็ไม่แปลกที่ วันออกตัวลักษณะนั้น เพราะจะว่าไป ณ เวลานี้ ก็ยังมีคนตระกูลอยู่บำรุงสังกัดพรรคเพื่อไทยอยู่อีก 2 คนคือ “กาโม่-นายอาชวิน อยู่บำรุง” ลูกชายของวันที่รั้งเก้าอี้ที่ปรึกษา รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนายเนาวรัตน์ อยู่บำรุง สก.หนองแขม ก็ยังอยู่พรรคเพื่อไทย
ขณะที่ในวันถัดมา ร.ต.อ.เฉลิมก็ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเปิดใจด้วยสีหน้าท่าทีอันแข็งกร้าว พร้อมประกาศย้ำแบบเสียงดังฟังชัดว่า “ผมอยากให้เพื่อไทยไล่ผมออกจากพรรคเร็วๆ การเมืองจะได้สนุก” และตีแสกหน้าแบบเจตนาด้วยว่า “ไม่เคยสร้างตัวเองให้ร่ำรวยในทางการเมือง แต่ผมเคยสร้างมนุษย์บางคนจากที่ไม่มีอะไร จนร่ำรวยๆ ผมไม่อยากบอกชื่อ แต่ทุกคนคงรู้... ชื่อยังไม่อยากได้ยิน ไม่มีแตกหัก เขาจะมาแคร์อะไรผม แต่พร้อมดีเบต ซึ่งตอนที่อยู่ต่างประเทศก็คุยกันตลอด ไม่คุยกันก็ตอนที่กลับมา และผมไม่อยากเปิดประตูความสัมพันธ์ หากจะพูดว่าใครมีบุญคุณต่อกัน ไม่มีใครรู้ แต่ผมรู้ ฟ้าดินรู้ ใครมีบุญคุณกับใคร”
และแน่นอนว่า ทุกคนคงรู้ว่า ร.ต.อ.เฉลิมหมายถึงใคร
ทั้งนี้ เมื่อถูกถามว่า คนที่พร้อมจะดีเบตมีแค่ด้วยแค่นายทักษิณใช่หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า น่าจะเป็นเช่นนั้น ให้เกียรติอดีตรองนายกรัฐมนตรีบ้างสิ ไม่เช่นนั้น ใครจะรู้ประวัติเดิมของกันและกัน นอกจากตนใครจะรู้ว่านายทักษิณเคยไปนั่งที่อสมท. ไปเช่าเวลา นอกจากตนใครจะรู้ว่าใครเป็นคนอนุมัติบริษัทไอบีซี ให้นายทักษิณไม่มีใครมีบุญคุณต่อกันและที่พูดก็ไม่ได้เพื่อเอาบุญคุณ แต่ถ้ามีการดีเบตจะสนุก”
นอกจากนั้น ร.ต.อ.เฉลิมยังวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองและสถานการณ์ของรัฐบาลเอาไว้อย่างออกรสโดยฟันธงเปรี้ยงลงไปว่า โครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะไม่ประสบความสำเร็จและต่อไปอาจมีการสอบสวนทางคดีเรื่องนี้ด้วย ขณะที่รัฐบาลก็จะอยู่ไม่ครบเทอม เพราะกลุ่มคณะการเมืองรวยแต่ประชาชนยากจน ปราบยาก็ไม่ประสีประสา...
งานนี้ ถ้าไม่ใช่คำว่า “แค้นสั่งฟ้า” ก็คงไม่มีคำอะไรที่เหมาะสมไปกว่านี้แล้ว
และคนที่สุดจะทนกับ “ลุงเหลิม” ก็ไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็น “หลานอิ๊งค์” ที่ได้ลบ ร.ต.อ.เฉลิม ออกจากกลุ่มไลน์ของส.ส.พรรคเพื่อไทยเป็นที่เรียบร้อย
น.ส.แพทองธาร ยอมรับว่า เป็นคนลบไลน์ของ ร.ต.อ.เฉลิม ออกจากกลุ่มไลน์ สส.ของพรรคจริง เพราะในกลุ่มไลน์ของ สส.เพื่อไทย จะมีการส่งรายละเอียดการนัดหมายต่างๆ รวมถึงเรื่องเวลาการอภิปรายเรื่องงบประมาณ เพื่อให้ สส.รับทราบ ซึ่งตนได้เห็นข่าวเมื่อวาน ก็ไม่อยากให้คนในพรรค โดยเฉพาะคนในกลุ่มไลน์ซึ่งเป็นกลุ่มคนทำงาน เกิดความรู้สึกบั่นทอน โดยก่อนหน้านั้น ร.ต.อ.เฉลิม ก็มีการส่งข้อความเข้ามานิดหน่อย ตนก็ไม่อยากให้มีประเด็น แล้วทุกคนก็รู้สึกกังวลไปด้วย เมื่อรู้ข่าวว่าเป็นแบบนี้ พรรคจะเป็นอย่างไรในกลุ่มจะคุยกันอย่างไร ซึ่งข้อความที่ ร.ต.อ.เฉลิม ส่งมานั้น ก็มีเรื่องการย้ายพรรค ทำให้ทุกคนก็เริ่มอึดอัดใจ จนคิดว่าหากนำเรื่องนี้ไปปรึกษาคนอื่นว่าเอาออก ก็จะมีความเกรงใจกันเกิดขึ้น จึงคิดว่าลบออกไปดีกว่า แค่นั้นเอง
ดังนั้น นับจากนี้ต่อไปคงต้องติดตามกันว่า พรรคเพื่อไทยจะตัดสินใจขับ ร.ต.อ.เฉลิมออกจากพรรคหรือไม่ รวมถึงปฏิกิริยาโดยตรงจาก “ทักษิณ ชินวัตร” ว่าจะมีทีท่าอย่างไร ซึ่งจะว่าไปถ้ามองในมุมของทักษิณก็อาจจะคิดเสียด้วยซ้ำไปว่า ได้ชดใช้หนี้บุญคุณให้กับ “พี่เหลิม” ไปหมดแล้ว
ทว่า ตอนจบอาจไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิดก็ได้ เหมือนเมื่อครั้งก่อนๆ ที่ไปไม่ถึงขั้น “ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ” และสุดท้ายก็เปลี่ยนใจมาเล่นบทตบจูบ ทำเอากองเชียร์และกองแช่งหมดอารมณ์ไปตามๆ กัน
นอกจากนั้น อีกประเด็นสำคัญก็คือในวันที่ “ลุงป้อม” เปิดแถลงข่าวต้อนรับ “วัน” และสมาชิกใหม่รวม 5 คน ผู้สื่อข่าวพยายามถามพล.อ.ประวิตรว่า จะเป็นพรรคสาขาของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ โดยพลเอกประวิตรหันมาตอบด้วยอารมณ์เสียงดังว่า “ไม่มี” ซึ่งแสดงให้เห็นว่า มิติความสัมพันธ์ระหว่าง “ลุงป้อม” กับพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะ “ทักษิณ” ก็เข้าขั้นแตกหักเช่นกัน ดังจะเห็นจากก่อนหน้านี้ที่ “ทักษิณ” เคยออกปากว่าเรื่องยุ่งๆ ที่เกิดขึ้นว่าเป็นเพราะ “บ้านในป่า”
ดังนั้น จงอย่าแปลกใจว่า ทำไม “ลุงป้อม” จึงตัดสินใจรับ “หลานวัน” เข้ามาอยู่ร่วมชายคาพรรคพลังประชารัฐ ทั้งที่พรรคตนเองคือพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งโดยมารยาทแล้ว ก็ไม่ควรรับ
ขณะเดียวกันคำถามดังกล่าวก็ทิ่มแทงใจดำ “พี่ใหญ่แห่งบ้านป่ารอยต่อฯ” อยู่ไม่น้อย เพราะเป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่า พรรคแตกออกเป็น 2 มุ้งคือมุ้งที่สังกัด “ลุงป้อม” โดยตรง กับ สส.ใน “มุ้งผู้กอง” ที่เอนเอียงไปทางสายสีแดงค่อนข้างเด่นชัด จนสังคมมองว่า พรรคพลังประชารัฐคือสาขาของพรรคเพื่อไทย ซึ่งก็ทำให้ “ลุงป้อม” เสียรังวัดและเสื่อมบารมีในทางการเมืองอยู่พอสมควร
ที่น่าสนไม่แพ้กันอยู่ตรงที่ หลังจากเปิดตัวไปซบพรรคพลังประชารัฐ ก็มีคำให้สัมภาษณ์ออกมาจากปากของ “นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช” สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ และอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นคนชวนวันให้มาร่วมงานกับลุงป้อม ให้สัมภาษณ์ว่า “การมาของนายวันครั้งนี้ มาแบบใหญ่เลย ไม่ได้มาแบบตัวเล็กๆ พล.อ.ประวิตร ได้มอบหมายให้นายวันดูแล กทม.แทนนายสกลธี ภัททิยกุล สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ที่ลาออกไป เพราะเห็นศักยภาพและเห็นค่าในตัวของนายวัน ทั้งๆ ที่นายวันขอดูแลแค่ฝั่งธน ไม่ได้ขอดูแล กทม.”
เรียกว่า คอการเมืองถึงกับต้องร้อง “ว้าว” ออกมาดังๆ เลยทีเดียว เพราะแม้บ้านบางบอนจะเป็น “บ้านใหญ่” ที่มีขุมกำลังกว้างขวางในย่านฝั่งธนฯ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ณ วันนี้ สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป โดยในครั้งที่ผ่านมาก็สอบตกกันยกบ้าน ขณะที่ตัว “ผู้ใหญ่บ้าน” อย่าง “เป็ดเหลิม” ก็อ่อนล้าในทางสุขภาพ และเสื่อมมนต์ขลังในทางการเมืองไปอย่างมาก
ดังนั้น จึงทำให้เกิดคำถามว่า เป้าประสงค์ในการมอบหมายงานการเมือง กทม.ให้กับ “วัน อยู่บำรุง” แทน “นายสกลธี” ที่ลาออกไปนั้น อยู่ที่ตรงไหน
เป็นแค่การตอกย้ำให้เห็นถึงความขัดแย้งกับพรรคเพื่อไทย
หรือเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในทางการเมืองแบบ “เอามัน” ในยามที่สถานการณ์ของพรรคพลังประชารัฐกำลังตกต่ำลงอย่างน่าใจหาย
ที่สำคัญคือ ยังมองไม่เห็น “จุดเปลี่ยน” เลยว่า พรรคพลังประชารัฐจะใช้ “วัน” ไปต่อกรกับพรรคก้าวไกลที่ยืนหนึ่งในสมรภูมินี้ได้อย่างไร เพราะขนาดพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยเป็นขวัญใจคนกรุงยังต้องสูญพันธุ์มาแล้ว รวมกระทั่งถึงพรรคเพื่อไทยของนายทักษิณ ชินวัตรด้วยเช่นกัน