"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
ในประวัติศาสตร์ตะวันตก เรื่องราวของชาวโรมันเป็นสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ตั้งแต่มีการสถาปนาอำนาจขึ้นมาและรักษาอำนาจยืนยาวต่อเนื่องกว่าพันปี นับตั้งแต่ 753 ปีก่อนคริสต์ศักราช จนถึงคริสต์ศักราชที่ 476 รวมเวลา 1, 229 ปี และใน ค.ศ.476 แม้ชาวโรมันจะสิ้นอำนาจที่กรุงโรมหรือที่เรียกว่าจักรวรรดิโรมันตะวันตกแล้ว แต่เชื้อสายชาวโรมันยังคงสืบทอดอำนาจไปได้อีกร่วมพันปี ตั้งแต่ ค.ศ. 330 ถึง ค.ศ. 1453 หรือ ในนามจักรวรรดิโรมันตะวันออก หรือเรียกอีกชื่อว่า จักรวรรดิไบแซนไทน์ ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล ในประเทศตุรกียุคปัจจุบัน
ตลอดระยะเวลายาวนานนับพันปี ชาวโรมันได้ใช้ระบอบการเมือง 3 แบบหลักด้วยกัน เริ่มต้นในช่วงแรกเป็นระบอบราชอาณาจักร ต่อมาเปลี่ยนไปใช้ระบอบสาธารณรัฐ และจบลงด้วยระบอบจักรวรรดิ ก่อนจาล่มสลายลงไปในที่สุด ในบทความนี้จะมุ่งเน้นการอธิบายในช่วงรอยต่อการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของโรมันจากระบอบสาธารณรัฐไปสู่ระบอบจักรวรรดิ ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดสงครามกลางเมืองขนาดใหญ่ในกรุงโรมต่อเนื่องกันถึงสองครั้ง และส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งและกว้างไกลต่อการพัฒนาการของโรมันและประเทศอื่น ๆจำนวนมากในยุโรป
ก่อนสงครามกลางเมือง ระบบการเมืองของสาธารณรัฐโรมันเป็นการผสมผสานอันซับซ้อนของสามสถาบันหลักซึ่งเป็นวิหารแห่งอำนาจของชาวโรมัน อันได้แก่ วุฒิสภา (Senate) กงสุล (Consuls) และสภาประชาชน (Assemblies) ระบบนี้ซึ่งได้รับอิทธิพลจากชาวเอทรัสกัน และถูกหล่อหลอมโดยการขยายตัวในช่วงแรก ซึ่งได้วางรากฐานสำหรับความยิ่งใหญ่ในอนาคตของโรม แต่ก็หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความล่มสลายเอาไว้ด้วยเช่นเดียวกัน
สถาบันแรก วุฒิสภา (Senate) ซึ่งประกอบด้วยชนชั้นสูงที่ร่ำรวย มีอำนาจและอิทธิพลอย่างมาก เป็นหนึ่งในสถาบันที่สำคัญที่สุดในสาธารณรัฐโรมัน ทำหน้าที่เป็นสภาที่ปรึกษาให้กับกงสุล (Consuls) และเป็นกลไกตรวจสอบอำนาจของกงสุล และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายของโรมและรักษาขนบธรรมเนียมและค่านิยมของสาธารณรัฐ
ในยุคแรกของสาธารณรัฐ วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิก 300 คน แต่เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 600 คนในช่วงปลายสาธารณรัฐ วุฒิสมาชิกไม่ได้ถูกเลือกตั้งโดยประชาชน แต่ถูกคัดเลือกโดยกลุ่มที่เรียกว่า “เซ็นเซอร์” (Censors) ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่ได้รับเลือกให้รับผิดชอบในการทำสำมะโนประชากรและดูแลศีลธรรมสาธารณะ เมื่อได้รับการแต่งตั้งแล้ว วุฒิสมาชิกจะดำรงตำแหน่งไปตลอดชีวิต เว้นแต่จะถูกถอดถอนเนื่องจากประพฤติมิชอบหรือมีคุณสมบัติด้านทรัพย์สินต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดสำหรับการเป็นสมาชิก
อย่างไรก็ตาม การรวมศูนย์อำนาจไว้ในมือของคนไม่กี่คนนี้ นำไปสู่ความห่างเหินที่เพิ่มขึ้นระหว่างชนชั้นปกครองกับมวลชน กล่าวได้ว่า รัฐธรรมนูญโรมันเป็นเพียงม่านบังหน้าสำหรับการปกครองของคณาธิปไตยที่แน่นแฟ้นของชนชั้นนำส่วนน้อยกลุ่มหนึ่งเท่านั้น นี่ดูจะคล้ายคลึงกับรัฐธรรมนูญของประเทศไทยในยุคปัจจุบันไม่น้อยทีเดียว
สถาบันที่สอง กงสุล (Consuls) ซึ่งมีการเลือกเป็นประจำทุกปี จากสภาโคมิเทีย เซนทูริอาตา (Comitia Centuriata) ซึ่งเป็นหนึ่งในสภาหลักของโรม มีอำนาจบริหารและบัญชาการกองทัพ ที่จัดระเบียบตามความมั่งคั่งและสถานะทางทหาร ในแต่ละปี กงสุล สองคนจะถูกเลือกให้ดำรงตำแหน่งวาระหนึ่งปี ระบบการนำร่วมกันนี้ ที่รู้จักกันในชื่อ “การร่วมอำนาจ” (collegiality) ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งมีอำนาจมากเกินไป กงสุลทั้งสองมีอำนาจเท่าเทียมกันและสามารถยับยั้ง (veto) การตัดสินใจของอีกฝ่ายได้ ซึ่งเป็นการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน
ในขณะที่ระบบนี้เป็นการตรวจสอบอำนาจของแต่ละบุคคล แต่ก็สร้างความรู้สึกแข่งขันและช่วงชิงอำนาจในหมู่นักการเมืองที่ทะเยอทะยานซึ่งพยายามจะสร้างชื่อเสียงในช่วงการดำรงตำแหน่งอันสั้นของพวกเขา การมุ่งเน้นระยะสั้นนี้มักนำไปสู่การตัดสินใจที่ขาดความรอบคอบ และการให้ความสำคัญกับเกียรติยศส่วนตัวมากกว่าเสถียรภาพการเมืองระยะยาวของสาธารณรัฐ
สถาบันที่สาม สภาประชาชน (Assemblies) เป็นวิธีการหลักที่ชาวโรมันมีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมือง การชุมนุมของประชาชนเหล่านี้ ในทางทฤษฎีแล้ว ทำหน้าที่เป็นกลไกตรวจสอบอำนาจของวุฒิสภา (Senate) ที่เป็นชนชั้นสูงและกงสุล (Consuls) เพื่อให้มั่นใจว่าเสียงและผลประโยชน์ของสามัญชนได้รับการเป็นตัวแทนในการปกครองของรัฐ มีสภาประชาชนหลายประเภทในสาธารณรัฐโรมัน แต่ละประเภทมีองค์ประกอบและหน้าที่ของตนเอง สภาที่สำคัญที่สุดคือ “โคมิเทีย เซนทูริอาตา” (Comitia Centuriata) ซึ่งเลือกตั้งกงสุลและข้าราชการระดับสูงอื่น ๆ การลงคะแนนเสียงถูกถ่วงน้ำหนักให้เอื้อประโยชน์แก่คนร่ำรวยและชนชั้นสูง สภานี้ถูกครอบงำโดย ชนชั้นอัศวิน (equestrian) และชนชั้นพาทริเชียน (patrician) ซึ่งเป็นกลุ่มชนชั้นสูงที่สืบเชื้อสายมาจากตระกูลดั้งเดิมของโรม พวกเขาถือเป็นชนชั้นสูงสุดในสังคมและการตัดสินใจมักสะท้อนผลประโยชน์ของชนชั้นสูงและ “โคมิเทีย ทริบูตา” (Comitia Tributa) ซึ่งเลือกตั้งข้าราชการระดับล่างและออกกฎหมาย
ในทางทฤษฎีแล้วสภาประชาชนเป็นตัวแทนเจตจำนงของประชาชน แต่ในทางปฏิบัติมักถูกครอบงำโดยนักพูดที่ทรงพลังและอยู่ภายใต้อิทธิพลของความมั่งคั่งและการอุปถัมภ์ ตามที่ พี เอ บรันต์ (P.A. Brunt) นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า “สภาประชาชนไม่ใช่องค์กรตัวแทน แต่เป็นการชุมนุมมวลชนที่คนยากจนและไม่รู้หนังสือสามารถถูกชักจูงโดยนักปลุกระดมหรือถูกติดสินบนโดยคนร่ำรวย”
การขยายตัวในช่วงแรกของโรม ซึ่งขับเคลื่อนโดยการผสมผสานระหว่างความเชี่ยวชาญทางทหารและทักษะทางการทูต นำความมั่งคั่งและเกียรติยศมาสู่สาธารณรัฐ แต่ก็สร้างความท้าทายใหม่ ๆ ด้วย การหลั่งไหลเข้ามาของทาสและการย้ายถิ่นของชาวไร่ชาวนารายย่อยโดยที่ดินขนาดใหญ่ ทำให้ความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมและเศรษฐกิจเลวร้ายลง ตามที่ พลูทาร์ค (Plutarch) เป็นนักเขียนชีวประวัติ และนักปรัชญาด้านศีลธรรมชาวกรีก ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงต้นของยุคจักรวรรดิโรมัน ตั้งข้อสังเกตว่า “คนรวยยิ่งรวยขึ้นและคนจนยิ่งจนลง และรัฐถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ โดยความขัดแย้งระหว่างพวกเขา” ดูไปดูมา สภาพสังคมประเทศไทยยุคนี้มีความสาธารณรัฐโรมันยุคสองพันกว่าปีที่แล้วอยู่ไม่น้อยทีเดียว
ความสัมพันธ์แบบผู้อุปถัมภ์-ผู้ถูกอุปถัมภ์ (patron-client relationships) ซึ่งเคยก่อให้เกิดความสมานฉันท์ทางสังคมในระดับหนึ่ง เริ่มสลายลงเมื่อช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนกว้างขึ้น การเป็นเจ้าของที่ดินกลายเป็นการรวมศูนย์ในมือของคนไม่กี่คนมากขึ้น ทำให้พลเมืองจำนวนมากไร้ที่ดินและต้องพึ่งพาความเอื้อเฟื้อของคนร่ำรวย สถานการณ์นี้เหมือนหม้อความดันที่รอการระเบิด โดยมีความร้อนของความไม่พอใจก่อตัวขึ้นใต้พื้นผิวของเสถียรภาพที่ปรากฏ ตรงนี้ก็ดูจะคล้ายกับสังคมไทยยุคปัจจุบันเสียเหลือเกินที่รัฐบาลเศรษฐา มีนโยบายแก้กฎหมายให้ชาวต่างด้าวเช่าที่ดินเพิ่มเป็น 99 ปี และซื้อคอนโดได้เพิ่มขึ้นจาก 49 % เป็น 75% ซึ่งจะทำให้ที่ดินและทรัพย์สินของประเทศไทยมีโอกาสกระจุกตัวในมือของนายทุนต่างชาติมากยิ่งขึ้น
สงครามกลางเมืองโรมันครั้งที่หนึ่ง (First Roman Civil War) ที่เกิดขึ้นระหว่าง 88-87 ปีก่อนคริสตกาล เป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐโรมัน (Roman Republic) เป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งภายในชุดหนึ่งที่ในที่สุดจะนำไปสู่การล่มสลายของสาธารณรัฐและการเรืองอำนาจของจักรวรรดิโรมัน (Roman Empire) สงครามมีรากฐานอยู่ในความตึงเครียดทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ที่ก่อตัวขึ้นในโรมเป็นเวลาหลายทศวรรษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังสงครามสังคม (Social War) ระหว่าง 91-87 ปีก่อนคริสตกาล
สงครามสังคมเป็นการต่อสู้ระหว่างโรมกับกลุ่มพันธมิตรชาวอิตาลี ซึ่งต้องการสิทธิที่เท่าเทียมกันและความเป็นพลเมืองโรมันมาเป็นเวลานาน ความขัดแย้งเกิดขึ้นจากการที่โรมปฏิเสธที่จะให้สัญชาติแก่ชาวอิตาลี แม้ว่าพวกเขาจะมีส่วนสำคัญในความสำเร็จทางทหารของโรม ทำให้ชาวอิตาลี ซึ่งสนับสนุนกำลังทหารเท่า ๆ กันกับชาวโรม รู้สึกโกรธแค้นที่พวกเขาถูกกีดกันจากการเป็นพลเมืองของสาธารณรัฐ ที่พวกเขามีส่วนอย่างมากในการสร้างขึ้นมา แม้ว่าโรมจะเป็นฝ่ายชนะในสงครามสังคมในที่สุด แต่ความขัดแย้งนี้ได้เผยให้เห็นความแตกแยกอย่างลึกซึ้งในสังคมโรมันและทำให้ชาวอิตาลีจำนวนมากรู้สึกขมขื่นและผิดหวัง สงครามยังส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมาก เนื่องจากฟาร์มและเมืองของชาวอิตาลีจำนวนมากถูกทำลาย นำไปสู่ความยากจนและความไม่สงบทางสังคมที่เพิ่มขึ้น
ในช่วงหลังสงครามสังคม นายพลโรมัน ไกอุส มาริอุส มาริอุส (Gaius Marius) และคู่แข่งของเขา ลูเซียส คอร์เนเลียส ซุลลา (Lucius Cornelius Sulla) เข้าสู่การต่อสู้แย่งชิงอำนาจอย่างเข้มข้น มาริอุส ผู้นำฝ่ายประชานิยมที่สนับสนุนอุดมการณ์ของชาวอิตาลี พยายามให้สิทธิพลเมืองแก่ชาวอิตาลีที่เพิ่งได้รับการยอมรับใหม่และแจกจ่ายที่ดินให้กับคนยากจน ขณะที่ ซุลลา ขุนนางฝ่ายอนุรักษ์นิยม คัดค้านการปฏิรูปเหล่านี้และพยายามรักษาโครงสร้างอำนาจแบบดั้งเดิมของสาธารณรัฐเอาไว้อย่างถึงที่สุด ความขัดแย้งระหว่างมาริอุสและซุลลามาถึงจุดสูงสุดใน 88 ปีก่อนคริสตกาล เมื่อซุลลา ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้นายพลผู้บัญชาการสงครามต่อต้านมิทริเดทีสที่ 6 แห่งพอนตุส (Mithridates VI of Pontus) ถูกถอดจากตำแหน่งโดยวุฒิสภา (Senate) ที่มีฝ่ายของมาริอุสเป็นใหญ่ ซุลลาจึงยาตรากองทัพของเขาเข้าสู่กรุงโรมเพื่อตอบโต้ต่อการที่เขาถูกปลด เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐ ที่นายพลโรมันหันกองทัพของเขาต่อต้านการตัดสินใจของผู้ทรงอำนาจในกรุงโรม ซึ่งเป็นการกระทำที่น่าตกใจสำหรับชาวโรมเป็นอย่างมาก
สงครามกลางเมืองโรมันครั้งที่หนึ่งได้เริ่มขึ้น และจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาสองปี โดยมีผู้สนับสนุนมาริอุสต่อสู้กับผู้สนับสนุนซุลลา ความขัดแย้งนี้เต็มไปด้วยความรุนแรงและการกวาดล้างทางการเมือง โดยแต่ละฝ่ายพยายามกำจัดฝ่ายตรงข้ามและยึดอำนาจควบคุมรัฐ ดังที่พลูทาร์ค (Plutarch) สังเกตอย่างเศร้าสลดว่า “เมืองเต็มไปด้วยเลือดของผู้ถูกสังหาร และตลาดเต็มไปด้วยซากศพ” ถนนหนทางของกรุงโรมที่เคยคึกคักพลุกพล่านบัดนี้เงียบสงัด เหลือเพียงเสียงครวญครางแว่วมาแต่ไกล ขณะที่กองกำลังของซุลลาบุกเข้าเมือง พวกเขาทิ้งร่องรอยการสังหารหมู่ไว้เบื้องหลัง ก้อนหินปูถนนที่เคยถูกขัดให้เรียบด้วยรองเท้าแตะของพ่อค้าและชาวเมือง บัดนี้ลื่นด้วยเลือดสีแดงฉาน
ซากศพเกลื่อนกลาดตามท้องถนน ดวงตาไร้ชีวิตจ้องมองท้องฟ้าเบื้องบนอย่างเลื่อนลอย อากาศหนักอึ้งด้วยกลิ่นคาวเลือดและกลิ่นความหวาดกลัวอันรุนแรง ผู้ที่รอดชีวิตจากการโจมตีครั้งแรกต่างหลบซ่อนตัวตามมุมมืด สวดภาวนาต่อเทพเจ้าที่ดูเหมือนจะทอดทิ้งพวกเขาไปเสียแล้ว ณ ใจกลางเมือง ตลาด ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์แห่งชีวิตชีวาและการค้าขายของโรม บัดนี้กลายเป็นอนุสรณ์สถานอันน่าสยดสยองแห่งความตาย ที่ซึ่งเคยมีแผงขายผ้าสีสันสดใสและผลผลิตสด ๆ บัดนี้กลับกลายเป็นภูเขาศพอันน่าสะพรึงกลัว ร่างไร้วิญญาณถูกกองซ้อนทับกัน เป็นประจักษ์พยานอันโหดร้ายถึงความไร้ปรานีของซุลลาและราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการต่อต้าน
ในที่สุด ฝ่ายซุลลาก็เป็นฝ่ายชนะในสงครามกลางเมืองโรมันครั้งที่หนึ่ง แต่ความขัดแย้งนี้ได้เผยให้เห็นรอยแยกที่ลึกซึ้งในสังคมโรมันและเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามกลางเมืองในอนาคต สงครามได้แสดงให้เห็นว่าสถาบันดั้งเดิมของสาธารณรัฐไม่สามารถแก้ไขความตึงเครียดทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองที่ลึกซึ้งที่รบกวนโรมได้อีกต่อไป ดังที่นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ แมรี่ เบียร์ด (Mary Beard) กล่าวว่า “สงครามกลางเมืองครั้งแรกเป็นอาการของโรคร้าย (malaise) ที่ลึกซึ้งกว่าในระบบการเมืองของสาธารณรัฐ”
สงครามกลางเมืองไม่ใช่แค่เหตุการณ์โดด ๆ แต่เป็นการแสดงออกของปัญหาที่ฝังรากลึกซึ่งรบกวนระบบการเมืองของโรมันมาหลายทศวรรษ โครงสร้างทางการเมืองของสาธารณรัฐโรมัน ถูกสร้างขึ้นบนความสมดุลอันละเอียดอ่อนของอำนาจระหว่างสามสถาบันหลัก อันได้แก่ วุฒิสภา, กงสุล และสภาประชาชนอย่างไรก็ตาม เมื่อโรมขยายตัวและสังคมซับซ้อนมากขึ้น ระบบนี้เริ่มเครียดภายใต้น้ำหนักของความท้าทายใหม่ๆ และผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกัน ความมั่งคั่งและอำนาจที่เพิ่มขึ้นของชนชั้นสูงโรมัน อิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของนายพลที่ทะเยอทะยาน และความไม่พอใจของชนชั้นล่างและพันธมิตรชาวอิตาลี ทั้งหมดนี้มีส่วนทำให้เกิด "โรคร้าย" (malaise) ที่เบียร์ดกล่าวถึง กลไกแบบดั้งเดิมของสาธารณรัฐ ซึ่งออกแบบมาสำหรับสังคมที่เล็กกว่าและเป็นเอกพันธุ์มากกว่า ไม่เพียงพออีกต่อไปที่จะจัดการกับปัญหาเหล่านี้
สงครามกลางเมืองโรมันครั้งแรก จึงสามารถมองได้ว่าเป็นอาการของความไร้ประสิทธิภาพทางการเมืองในภาพรวมของโรมัน ความขัดแย้งระหว่างมาริอุสและซุลลาไม่ใช่แค่การแข่งขันส่วนตัว แต่เป็นภาพสะท้อนของความแตกแยกที่ลึกซึ้งกว่าในสังคมโรมันและความไร้ความสามารถของสถาบันสาธารณรัฐในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ เป็นจุดเปลี่ยนในประวัติศาสตร์โรมัน เป็นจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดของสาธารณรัฐ เป็นสัญญาณบอกเหตุของความขัดแย้งที่ใหญ่กว่าจะเกิดขึ้นตามมา ซึ่งในที่สุดจะนำไปสู่การเรืองอำนาจของจูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) อันนำไปสู่จุดจบของสาธารณรัฐ และจุดเริ่มต้นของจักรวรรดิ (ยังมีต่อ)