ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
เมื่อการอภิเษกสมรสในเชิงพิธีกรรมผ่านไปแล้ว คราวนี้ฝ่ายหญิงก็เป็นเจ้าสาวเต็มตัว แต่ก็เป็นว่าที่จักรพรรดินีด้วย งานต่อไปหลังจากนี้ก็คือ งานเลี้ยงเฉลิมฉลอง ในงานนี้ทั่วทั้งวังจะเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ปลื้มปีติและตื่นเต้นยินดี
ถนนแทบทุกสายที่มุ่งสู่วังจะถูกปูด้วยพรมแดง โดยวังองค์หลักต่างๆ จะถูกประดับประดาด้วยโคมแดง และผ้าไหมที่ตัดเป็นตัวอักษร “สุขคู่” (ซวงสี่) อันเป็นสัญลักษณ์ในงานแต่งงานของชาวจีน เพื่อสื่อว่าเป็นวันแห่ง “ความสุข” ของคนสองคนซึ่งเป็น “คู่” บ่าวสาว ส่วนภาพวาดเทพผู้พิทักษ์ที่ปิดอยู่ที่ประตูต่างๆ ก็ถูกวาดขึ้นใหม่แล้วนำมาปิดแทนภาพเดิม ในขณะที่ข้าราชบริพารหญิงและขันทีในวังต่างก็แต่งกายด้วยชุดที่ใส่เฉพาะงานนี้
กล่าวกันว่า ในงานอภิเษกสมรสของจักรพรรดิกวางซี่ว์นั้น กรุงปักกิ่งจะถูกประดับประดาด้วยสิ่งอันเป็นมงคลต่างๆ ไม่ต่างกับเทศกาลตรุษจีน เส้นทางที่มุ่งไปสู่ที่ประทับของว่าที่จักรพรรดินีจะถูกกันมิให้ผู้ใดเดินผ่าน และมีการประดับประดาด้วยเช่นกัน
ในการปฏิบัติที่ยึดถือกันมาของราชวงศ์ชิงนั้น จักรพรรดิจะให้ขุนนางไปยังศาลแห่งสวรรค์ ศาลแห่งโลก และศาลบุรพจักรพรรดิ เพื่อทำพิธีกรรมเซ่นไหว้บรรดาเทพเจ้าในภูมินั้นๆ และบรรพชนของจักรพรรดิโดยลำดับ พิธีนี้จะมีขึ้นก่อนวันอภิเษกสมรสหนึ่งวัน
ครั้นวันอภิเษกสมรสมาถึงในวันต่อมา จักรพรรดิจะทรงแต่งกายในชุดที่ใช้ในพิธีนี้ จากนั้นก็จะทรงเสลี่ยงที่หรูหราไปคำนับราชชนนีหรือพระพันปีหลวง จากนั้นจะเสด็จต่อไปยังไท่เหอเตี้ยนหรือพระที่นั่งบรมบรรสาน ในระหว่างนี้วงสังคีตของวังจะบรรเลงดนตรีไปโดยตลอด ในขณะเดียวกันเสียงกลองก็ถูกตีเป็นอาณัติสัญญาณ
เมื่อเสด็จไปถึงก็จะทรงประทับบนบัลลังก์แล้วเสียงดนตรีและเสียงกลองก็จะหยุดลง เมื่อทั่วทั้งวังตกอยู่ในความเงียบแล้ว จักรพรรดิก็จะทรงลงแส้สามครั้งเพื่อส่งอาณัติสัญญาณ จากนั้นคณะทูตานุทูตก็จะเดินขึ้นบันไดที่ปูด้วยพรมแดงไปยังพระที่นั่ง เมื่อไปถึงก็จะคุกเข่าลงถวายบังคมจักรพรรดิ เมื่อขั้นตอนนี้ผ่านไปแล้วขุนนางก็จะอ่านประกาศความว่า
“พระพันปีหลวงทรงมีรับสั่งให้จักรพรรดิสถาปนาหญิงผู้นี้ (เจ้าสาว) ขึ้นเป็นจักรพรรดินีในบัดนี้ กาลอันสำคัญยิ่งได้มาถึงแล้ว สมุดหลวงได้เตรียมไว้พร้อมแล้ว พระพันปีหลวงทรงมีรับสั่งให้ฝ่าบาทพระราชทานของขวัญเพื่อแสดงการต้อนรับจักรพรรดินีด้วยเทอญ”
สิ้นคำประกาศ ราชเลขาธิการสำนักพระราชวังก็จะนำของขวัญขึ้นทูลเกล้าแก่จักรพรรดิ เมื่อทรงรับมาแล้วจักรพรรดิก็จะถวายของขวัญแก่คณะทูตานุทูต จากนั้นก็ทรงลงแส้สามครั้งเพื่อส่งอาณัติสัญญาณอีกครั้งให้เป็นที่ได้ยินโดยทั่ว แล้วเสียงจากวงสังคีตก็จะเริ่มบรรเลง ส่วนจักรพรรดิก็จะเสด็จกลับไปยังวังที่ประทับ
อนึ่ง สมุดหลวงในคำประกาศนั้นก็คือ สมุดคู่มือแนะนำวังที่ประทับและพระที่นั่งต่างๆ ในวัง เพื่อให้จักรพรรดินีไว้ศึกษา
ในเวลาเดียวกันนี้ ขบวนแถวของราชองครักษ์ก็จะเคลื่อนขบวนนำคณะทูตานุทูตออกจากพระที่นั่งไปทางประตูบรมบรรสาน (ไท่เหอเหมิน) และประตูรุ่งโรจน์ (อู่เหมิน) อันเป็นกองเกียรติยศเพื่อถวายพระเกียรติแก่เจ้าสาวที่จะเป็นจักรพรรดินีในอนาคตอันใกล้นี้
ขบวนแถวเกียรติยศจะเคลื่อนมาถึงวังที่จะเป็นประทับของจักรพรรดินีต่อไป เมื่อถึงแล้ว (ราช) บิดาของจักรพรรดินี และ (พระ) ญาติวงศ์ฝ่ายชายก็จะเข้ามาคุกเข่าเพื่อถวายความเคารพอยู่หน้าประตูวัง พร้อมกันนั้นเจ้าพนักงานจากสำนักพระราชวังก็นำชุดเจ้าสาวมาให้แก่ขันที แล้วขันทีก็ส่งมอบให้แก่ข้าราชบริพารหญิง และข้าราชบริพารหญิงก็จะถวายแก่ผู้จะเป็นจักรพรรดินีต่อไป
เมื่อได้รับแล้วข้าราชบริพารหญิงก็จะแต่งชุดเจ้าสาวให้แก่เจ้าสาวทันที เมื่อแล้วเสร็จคณะทูตานุทูตก็จะอ่านพระบรมราชโองการ จากนั้นบิดาและญาติวงศ์ของว่าที่จักรพรรดินีก็จะถวายบังคมโค่วโถว เสร็จแล้วก็จะถอยออกไป
เสร็จจากนี้ก็จะมีเจ้าพนักงานหญิงของวังออกมาอ่านข้อปฏิบัติแก่จักรพรรดินี ขณะที่อ่านจักรพรรดินีจักต้องคุกเข่าฟัง เมื่ออ่านเสร็จก็จักต้องถวายบังคมโค่วโถวเช่นกัน เมื่อพิธีในขั้นตอนนี้แล้วเสร็จ จักรพรรดินีจะออกจากวังนี้ด้วยการทรงเสลี่ยงโดยมีขบวนแถวเกียรติยศเดินไปอย่างเป็นระเบียบ ซึ่ง ราชวงศ์ชิงมีกฎว่าผู้ที่จะใช้ประตูรุ่งโรจน์ได้จะมีก็แต่จักรพรรดิและพระพันปีหลวงเท่านั้น แต่ในกรณีจักรพรรดินีนี้ถือเป็นกรณีพิเศษเพราะเป็นงานอภิเษกสมรส อันถือเป็นเกียรติที่ได้ใช้ประตูนี้
อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนต่อไปคือ เหล่าเสนามาตย์ในงานนี้จะเดินข้ามสะพานธารทองหรือเน่ยจินเหอเฉียว ใครที่อยู่บนหลังม้าก็ต้องลงจากหลังม้าเดินข้ามสะพานนี้ ทุกคนจะเดินช้าๆ และสำรวม ระหว่างนี้เสียงระฆังและกลองจะดังขึ้นตลอดจนกว่าจะมาถึงประตูรุ่งโรจน์ เมื่อถึงแล้วว่าที่จักรพรรดินีจะทรงออกจากเสลี่ยงเพื่อเดินไปยังพระที่นั่งสมานศานต์ (เจียวไท่เตี้ยน)
เมื่อไปถึงก็จะมีเสลี่ยงที่บนหลังคามีรูปนกยูงประดับคอยรับอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นจักรพรรดินีก็จะเข้าไปประทับในเสลี่ยงที่มีแปดคนหามเพื่อนำไปยังวังโลกยศานต์ (คุนหนิงกง) ที่วังนี้จักรพรรดิและจักรพรรดินีจะได้พบกันอีกครั้งหนึ่ง
ภายในวังนี้จะจัดแต่งด้วยสีแดงแทบทั้งหมด รายละเอียดของวังนี้ได้เคยเล่าไปแล้วในตอนที่ 14 จึงไม่ขอเล่าอีก แต่ที่ว่าทุกสิ่งอย่างในห้องนี้ล้วนเป็นสีแดงก็คือ ไม่ว่าจะเป็นม่านที่ทอจากผ้าไหม พรมปูพื้นที่ทอเป็นรูปมังกรและหงส์พร้อมตัวอักษร “ความสุข” (สี่) ล้วนเป็นสีแดงทั้งสิ้น
ปูยี จักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์ชิงทรงเล่าว่า เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงอภิเษกสมรสนั้นก็มีพิธีในวังนี้เช่นกัน “เมื่อเราเข้ามาถึงห้องที่ดูทึบไปด้วยสีแดงนั้น ทุกสิ่งสรรพล้วนเป็นสีแดง ไม่ว่าจะเป็นม่านพระแท่นบรรทมสีแดง ปลอกหมอนสีแดง เครื่องแต่งกายสีแดง กระโปรงสีแดง ดอกไม้สีแดง และพระพักตร์สีแดง ทุกสิ่งสรรพดูไปแล้วราวกับขี้ผึ้งของเทียนสีแดงที่ละลายไปทั้งห้อง”
เมื่อจักรพรรดิและจักรพรรดินีเสด็จมาถึงแล้วก็จะประทับหันพระพักตร์เข้าหากัน โดยจักรพรรดิอยู่ข้างซ้าย จักรพรรดินีอยู่ข้างขวา จากนั้นทั้งสองพระองค์จะยกจอกมงคลสมรส (nuptial cup) ที่ภายในมีสุรา (wine) ขึ้นดื่ม เพื่ออายุมงคลวัฒนะและความโชคดีมีชัย
ในขณะที่ด้านนอกจะมีการอ่านบทกวีที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการแต่งงาน โดยภรรยาของขุนนางชั้นสูงและชายาของเจ้าชายจะเป็นเจ้าภาพจัดเลี้ยงใหญ่ (banquet) และเมื่องานเลี้ยงเลิกรา แขกเหรื่อทั้งหมดก็จะกลับไป โดยปล่อยให้จักรพรรดิและจักรพรรดินีอยู่ตามลำพังสองพระองค์ เพื่อที่จะได้เสวยบะหมี่เพื่อให้มีชีวิตที่ยืนยาว งานแต่งหรืออภิเษกสมรสรดับเจ้านายจึงสิ้นสุดลง
งานแต่งที่สุดอลังการนี้ใช้งบประมาณไปทั้งสิ้น 5.5 ล้านเหรียญเงิน โดยที่หากคิดตามค่าเงินในเวลานั้นแล้ว เงินจำนวนดังกล่าวสามารถนำมาเลี้ยงประชากรจีน 1.9 ล้านคนได้ถึงหนึ่งปี