"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
ในประวัติศาสตร์อันแสนสั้นของมนุษยชาติเมื่อเทียบกับโลกและจักรวาล แทบไม่มีช่วงเวลาใดที่มนุษย์จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติโดยปราศจากความขัดแย้ง สงครามเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งสงครามระหว่างชนเผ่าในยุคบรรพกาล สงครามระหว่างนครรัฐในยุคการสร้างอารยธรรม สงครามศาสนาในยุคแห่งวัฒนธรรมและความเชื่อ และสงครามระหว่างประเทศในยุครัฐ-ชาติ และในท่ามกลางสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกัน ก็ยังมีสงครามระหว่างผู้คนภายในชนเผ่า นครรัฐ อาณาจักร และรัฐชาติเดียวกันเกิดขึ้นคู่ขนานกันไปไม่ว่างเว้น จวบจนถึงปัจจุบันที่ล่วงมาถึงหนึ่งในสี่ของศตวรรษที่ 21 แล้ว ก็ยังมีสงครามระหว่างรัฐ-ชาติ และสงครามภายในรัฐ-ชาติเดียวกันที่เรียกกว่าสงครามกลางเมือง (civil war) เกิดขึ้นในหลายประเทศอย่างต่อเนื่อง
สงครามกลางเมืองคือ ความขัดแย้งรุนแรงระหว่างกลุ่มที่จัดตั้งขึ้นภายในประเทศเดียวกัน มักเป็นการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ ควบคุมรัฐบาล ทรัพยากร หรือดินแดน สงครามกลางเมืองมีลักษณะเด่นคือการมีส่วนร่วมของประชากรจำนวนมาก ซึ่งแตกต่างจากการก่อความไม่สงบโดยกลุ่มกบฏหรือผู้ก่อการร้ายขนาดเล็ก ในสงครามกลางเมือง ฝ่ายที่เป็นปรปักษ์ต่อกันมักมีเป้าหมายทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคมที่ไม่สามารถประนีประนอมกันได้ และความขัดแย้งมักส่งผลให้เกิดการสูญเสียชีวิตจำนวนมาก การทำลายโครงสร้างพื้นฐาน และความแตกแยกในสังคมที่ยาวนาน
ลักษณะสำคัญของสงครามกลางเมืองคือ เป็นความขัดแย้งภายใน หมายความว่าตัวแสดงหลักมาจากกลุ่มประชาชนประเทศเดียวกัน ซึ่งแตกต่างจากความขัดแย้งระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับรัฐอธิปไตยตั้งแต่สองรัฐขึ้นไป ในสงครามกลางเมือง ฝ่ายที่เป็นปรปักษ์มักเป็นกลุ่มหรือฝ่ายที่จัดตั้งขึ้นภายในประเทศ เช่น พรรคการเมือง กลุ่มชาติพันธุ์หรือศาสนา หรือขบวนการทางการเมือง
อีกแง่มุมหนึ่งของสงครามกลางเมือง คือระดับการจัดตั้งของฝ่ายที่เกี่ยวข้อง สงครามกลางเมืองมีความแตกต่างจากความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวหรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง กล่าวคือสงครามกลางเมืองเกี่ยวข้องกับกลุ่มที่มีโครงสร้างการนำและมีเป้าหมายที่กำหนดไว้ชัดเจน รวมทั้งมีความสามารถในการระดมทรัพยากรและผู้สนับสนุนจำนวนมาก กลุ่มที่จัดตั้งเหล่านี้มักมีการเข้าถึงอาวุธ เงินทุน และสื่อเพื่อส่งเสริมอุดมการณ์ของตนและมีส่วนร่วมในปฏิบัติการทางทหารอย่างต่อเนื่อง
สงครามกลางเมืองยังมีลักษณะเด่นคือ การมีความขัดแย้งที่เข้มข้นสูง ขนาดและความรุนแรงในสงครามกลางเมืองมักมีมากกว่าความขัดแย้งภายในประเภทอื่น ๆ เช่น การประท้วงหรือการจลาจล ความขัดแย้งที่เข้มข้นสูงของสงครามกลางเมืองอาจเกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่ ธรรมชาติที่ฝังรากลึกของประเด็นที่เป็นเดิมพันของคู่ขัดแย้ง การมีกองกำลังติดอาวุธที่พร้อมใช้ และการเข้ามามีส่วนร่วมของตัวแสดงภายนอกที่อาจให้การสนับสนุนแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือหลายฝ่าย
สงครามกลางเมืองมักส่งผลให้เกิดความทุกข์ทรมานของมนุษย์อย่างแสนสาหัส รวมถึงการสูญเสียชีวิตของพลเรือนสุดที่จะคณานับ การพลัดถิ่น และการทำลายโครงสร้างพื้นฐาน ต้นทุนทางเศรษฐกิจและสังคมของสงครามกลางเมืองมีความร้ายแรงอย่างไม่อาจประมาณได้ โดยมีผลกระทบระยะยาวที่ขัดขวางการพัฒนาและเสถียรภาพของประเทศไปหลายชั่วอายุคน การเข้าใจลักษณะเฉพาะของสงครามกลางเมืองจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการวิเคราะห์สาเหตุ พลวัต และผลกระทบของสงครามเหล่านี้ ตลอดจนการพัฒนากลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันและแก้ไขปัญหา
สงครามกลางเมืองอาจเกิดขึ้นจากหลายปัจจัยเช่น ความแตกต่างทางชาติพันธุ์ ศาสนา หรืออุดมการณ์ทางการเมืองที่ฝังรากลึก ความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจ การกดขี่ทางการเมือง หรือการล่มสลายของสถาบันของรัฐ นอกจากนี้ยังอาจถูกจุดชนวนโดยเหตุการณ์เฉพาะ เช่น การเลือกตั้งที่มีข้อพิพาท การลอบสังหารผู้นำ หรือการรัฐประหารของทหาร
หนึ่งในสาเหตุหลักของสงครามกลางเมือง คือความแตกแยกทางชาติพันธุ์หรือศาสนาภายในประเทศ เมื่อกลุ่มต่าง ๆ รู้สึกถูกกีดกันหรือถูกคุกคาม ความตึงเครียดอาจยกระดับเป็นความขัดแย้งเปิดเผย สงครามยูโกสลาเวียในทศวรรษ 1990 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ซึ่งความตึงเครียดทางชาติพันธุ์ระหว่างชาวเซิร์บ โครเอเชีย และบอสเนีย รวมถึงกลุ่มอื่น ๆ นำไปสู่การขัดแย้งที่รุนแรงและโหดร้ายหลายครั้ง ในทำนองเดียวกัน สงครามกลางเมืองที่ดำเนินอยู่ในซีเรียมีองค์ประกอบทางนิกายทางศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเข้มข้น อันเป็นความแตกแยกระหว่างชุมชนที่นับถือศาสนาอิลามนิกายซุนนีกับนิกายอาลาวี
ความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจและการกระจายทรัพยากรก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งภายในประเทศ เมื่อประชากรส่วนสำคัญรู้สึกว่าถูกลิดรอนสิทธิทางเศรษฐกิจ หรือเชื่อว่าทรัพยากรของประเทศถูกจัดสรรอย่างไม่เป็นธรรมโดยรัฐบาลที่ถูกครอบงำด้วยกลุ่มชนชั้นสูง อาจนำไปสู่ความไม่พอใจที่เป็นเชื้อเพลิงให้กับการต่อต้าน ดังตัวอย่างในสงครามกลางเมืองของประเทศไนจีเรียในปี 1967 ถึง 1970 ที่มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากข้อพิพาทเกี่ยวกับรายได้จากน้ำมัน ในขณะที่ความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อสงครามกลางเมืองในประเทศเนปาล ระหว่างปี 1996 ถึง 2006
ความไม่พอใจทางการเมืองและการต่อสู้เพื่ออำนาจมักเป็นแก่นหลักของความขัดแย้งภายในประเทศ สิ่งนี้อาจแสดงออกในหลายรูปแบบ เช่น ข้อพิพาทเกี่ยวกับการสืบทอดอำนาจ การเรียกร้องให้มีการปกครองตนเองหรือเอกราชในภูมิภาคต่าง ๆ หรือการต่อต้านระบอบเผด็จการ ดังเช่น สงครามกลางเมืองสเปน ระหว่างปี 1936 ถึง 1939 ที่ปะทุขึ้นจากความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างฝ่ายสาธารณรัฐและฝ่ายชาตินิยม ในขณะที่สงครามกลางเมืองอเมริกัน ระหว่างปี 1861 ถึง 1865 เกิดจากความไม่ลงรอยระดับรากฐานระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนสิทธิของพลเมือง กับฝ่ายที่สนับสนุนให้ดำรงความเป็นทาสเอาไว้
การแทรกแซงจากภายนอกก็มีบทบาทสำคัญในการยุยงหรือยืดเยื้อสงครามกลางเมือง ในช่วงสงครามเย็น ความขัดแย้งหลายครั้งถูกทำให้รุนแรงขึ้นโดยการเข้ามามีส่วนร่วมของสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ซึ่งต่างฝ่ายต่างสนับสนุนกลุ่มต่าง ๆ ในช่วงไม่นานมานี้ ประเทศมหาอำนาจในตะวันออกกลางบางประเทศถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ส่งเชื้อเพลิงแห่งความขัดแย้งให้กับประเทศเล็ก ๆ ที่อยู่ร่วมภูมิภาคอย่างเยเมนและลิเบีย โดยการสนับสนุนทางตรงหรือทางอ้อมแก่กลุ่มต่าง ๆ ที่ต่อสู้กันอยู่ภายในประเทศเหล่านั้น
สถาบันของรัฐที่อ่อนแอและการขาดการปกครองที่มีประสิทธิภาพสามารถสร้างสุญญากาศทางอำนาจที่เปิดทางให้กลุ่มต่อต้านพยายามจะเข้าไปปกครองแทน เมื่อรัฐบาลของประเทศใดไม่สามารถให้บริการพื้นฐาน ความมั่นคง หรือความยุติธรรมได้ ก็จะสูญเสียความชอบธรรมในสายตาของพลเมือง สิ่งนี้อาจนำไปสู่การเกิดขึ้นของกลุ่มอำนาจทางเลือกและกลุ่มติดอาวุธ ดังความขัดแย้งที่ดำเนินอยู่ในโซมาเลีย ซึ่งยังคงมีอยู่ตั้งแต่การล่มสลายของรัฐบาลกลางในปี 1991 และเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า รัฐที่ล้มเหลวสามารถนำไปสู่สงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อได้อย่างไร
สุดท้าย ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและการขาดแคลนทรัพยากรได้รับการยอมรับมากขึ้นว่าเป็นสาเหตุที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งภายในประเทศ ตัวอย่างเช่น ภัยแล้งที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสามารถทำให้ความตึงเครียดที่มีอยู่เดิมเกี่ยวกับการช่วงชิงทรัพยากรที่ดินและน้ำรุนแรงขึ้น นักวิชาการบางคนเสนอว่าความเครียดทางสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการปะทุของสงครามกลางเมืองในภูมิภาคดาร์ฟูร์ของซูดาน
ในขณะที่สาเหตุพื้นฐานเหล่านี้สร้างเงื่อนไขสำหรับสงครามกลางเมือง และการอุบัติขึ้นของสงครามแต่ละครั้งมักมีตัวกระตุ้นเฉพาะที่จุดชนวนการปะทุของความรุนแรง ตัวกระตุ้นเหล่านี้ได้แก่ การลอบสังหารหรือความพยายามลอบสังหารบุคคลสำคัญทางการเมือง การรัฐประหารหรือความพยายามทำรัฐประหาร การเลือกตั้งที่มีข้อพิพาทหรือข้อกล่าวหาเรื่องการโกงเลือกตั้ง การเปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างฉับพลันที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มที่ทรงอิทธิพลบางกลุ่มในทางลบ และการปราบปรามการประท้วงหรือขบวนการต่อต้านอย่างรุนแรง
ตัวอย่างของตัวกระตุ้น เช่น ประเทศรวันดามีความตึงเครียดทางชาติพันธุ์จะสั่งสมมาเป็นเวลาหลายปี แต่ก็ยังเกิดสงครามกลางเมือง จวบจนกระทั่งมีการลอบสังหารประธานาธิบดีจูเวนาล ฮับยาริมานา (Juvénal Habyarimana) ในปี 1994 จึงทำให้เกิดสงครามกลางเมืองและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในประเทศรวันดาขึ้นมา อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือ การเกิดสงครามกลางเมืองนั้นแทบจะไม่มีสาเหตุหรือตัวกระตุ้นเพียงอย่างเดียว แต่มักเป็นผลมาจากการผสมผสานที่ซับซ้อนของหลายปัจจัย ตัวอย่างเช่น สงครามกลางเมืองซีเรียถูกจุดชนวนโดยการตอบโต้อย่างรุนแรงของรัฐบาลต่อการประท้วงอย่างสันติในปี 2011 ภายใต้สาเหตุเชิงโครงสร้างพื้นฐานหลายประการที่ดำรงอยู่ก่อนแล้ว อันได้แก่ ความไม่พอใจทางเศรษฐกิจ การกดขี่ทางการเมือง และความตึงเครียดระหว่างนิกายทางศาสนา
การเพิ่มพูนความเข้าใจเกี่ยวกับสงครามกลางเมือง จะช่วยให้เรามีโอกาสเสนอแนวทางเชิงนโยบายและปฏิบัติเพื่อสร้างสังคมที่สงบสุขและมั่นคงมากขึ้น ความเข้าใจที่ดีขึ้นช่วยให้เราสามารถระบุสาเหตุที่แท้จริงของความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจ การกีดกันทางการเมือง หรือความตึงเครียดทางชาติพันธุ์ การรู้สาเหตุที่แท้จริงเป็นขั้นตอนแรกในการแก้ไขปัญหา ด้วยความรู้ที่มากขึ้น เราสามารถพัฒนากลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการป้องกันความขัดแย้งก่อนที่จะลุกลามเป็นสงครามเต็มรูปแบบ นี่อาจรวมถึงการริเริ่มการทูตเชิงป้องกัน โครงการพัฒนาเศรษฐกิจ หรือการปฏิรูปทางการเมือง
ยิ่งกว่านั้น การเข้าใจพลวัตของสงครามกลางเมืองสามารถนำไปสู่การค้นพบวิธีการจัดการความขัดแย้งที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นทั้งในระหว่างและหลังความขัดแย้ง สงครามกลางเมืองมักส่งผลให้เกิดความทุกข์ทรมานอย่างกว้างขวาง รวมถึงการสูญเสียชีวิตของพลเรือน การพลัดถิ่น และการล่มสลายของบริการทางสังคม ดังนั้นการเข้าใจผลกระทบของสงครามกลางเมืองต่อประชากรพลเรือนจะทำให้เราสามารถเสนอมาตรการและแนวทางที่มีประสิทธิผลในการปกป้องพลเรือน การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และการสนับสนุนการฟื้นฟูและการปรองดองหลังความขัดแย้งได้เป็นอย่างดี
มากไปกว่านั้น เนื่องจากสงครามกลางเมืองสามารถส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประเทศเพื่อนบ้านและประชาคมระหว่างประเทศในวงกว้าง และอาจนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพในภูมิภาค วิกฤตผู้ลี้ภัย และการแพร่กระจายของความรุนแรงข้ามพรมแดน การเข้าใจพลวัตของสงครามกลางเมืองจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาการตอบสนองระหว่างประเทศที่มีประสิทธิภาพและส่งเสริมความมั่นคงของโลก
สุดท้าย ในช่วงหลังสงครามกลางเมือง สังคมมักเผชิญกับความท้าทายในการสร้างความไว้วางใจขึ้นใหม่ ส่งเสริมความยุติธรรม และเยียวยาบาดแผลในอดีต การศึกษาสงครามกลางเมืองสามารถให้บทเรียนที่มีคุณค่าเกี่ยวกับวิธีการส่งเสริมการปรองดอง การจัดการกับความคับข้องใจ และการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนในสังคมหลังความขัดแย้ง
กล่าวโดยสรุป การป้องกันสงครามกลางเมืองจำเป็นต้องเข้าใจและจัดการกับสาเหตุรากเหง้าของปัญหาสังคมก่อนที่จะถึงจุดวิกฤต ซึ่งอาจรวมถึงการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบครอบคลุม การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันประชาธิปไตย การปรับปรุงการบริหารปกครองให้มีธรรมาภิบาล และการส่งเสริมการเจรจาสันติภาพระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์หรือศาสนาต่าง ๆ และองค์กรระหว่างประเทศและหน่วยงานระดับภูมิภาคก็สามารถมีบทบาทสำคัญในการป้องกันความขัดแย้งผ่านการทูต ภารกิจรักษาสันติภาพ และความช่วยเหลือด้านการพัฒนาได้เช่นเดียวกัน