ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ถือเป็นเรื่องร้อนที่สุดของประเทศไทยในเวลานี้เลยทีเดียว สำหรับกรณี “การเตรียมเพิกถอนพื้นที่ป่าอุทยานแห่งชาติทับลาน กว่า 265,000 ไร่” ฝั่ง จ.นครราชสีมา และ จ.ปราจีนบุรี เพื่อออกเอกสารสิทธิ ส.ป.ก.4-01 กระทั่งทำให้แฮชแท็ก #Saveทับลาน พุ่งขึ้นเทรนด์ X อันดับ 1 โดยมีคนแห่ลงชื่อคัดค้านการเพิกถอนพื้นที่อย่างล้นหลามเลยทีเดียว
ทั้งนี้ มูลนิธิสืบ นาคะเสถียร ยก 6 ผลกระทบหากเพิกถอนพื้นที่อุทยานฯ ทับลาน 2.65 แสนไร่ ว่าจะเป็นการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนกว่า 1.64 แสนไร่ จะกระทบต่อรูปคดีที่กล่าวโทษนายทุนที่เข้ามาครอบครองพื้นที่ เอื้อประโยชน์ให้นายทุนเข้ามาซื้อขายเปลี่ยนมือสร้างโรงแรม รีสอร์ท มากขึ้น ลดคุณค่าความเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ เปิดโอกาสให้ทำลายพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อแหล่งที่อยู่อาศัย หากิน เส้นทางอพยพของสัตว์ป่า
อย่างไรก็ดี “ความจริงที่ทับลาน” ไม่ได้มีเพียงด้านเดียวอย่างที่ปรากฏในโลกออนไลน์เท่านั้น หากแต่จุดกำเนิดของเรื่องเกิดจากความผิดพลาดของหน่วยงานรัฐที่กลัดกระดุมผิดตั้งแต่เม็ดแรกที่ประกาศพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับที่ทำกินของชาวบ้านที่อยู่มาก่อน จากนั้นก็ตามแก้ปัญหาแบบยิ่งแก้ยิ่งยุ่งเหมือน “ลิงแก้แห” อย่างไรอย่างนั้น จน “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกยิงคำถามจะจัดการแก้ปัญหา “ทับลาน-ทับซ้อน” อย่างไร ออกอาการหัวจะปวด พร้อมโยนให้ “ลุงป๊อดผู้น้อง” - พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปตรวจสอบข้อเท็จจริง และแกะปมเงื่อนที่ “ลุงป้อมผู้พี่” - พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่เคยกำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) ผูกเอาไว้ภายใต้มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 14 มีนาคม 2566
ไม่เพียงแค่ต้องย้อนกลับไปแก้ไขยังจุดเริ่มต้นของปัญหาให้ “ถูกต้อง” และ “เป็นธรรม” กับประชาชนที่อยู่มาก่อน แต่ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงในกระแสเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันขรมว่าจากมติคณะรัฐมนตรี สมัย “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มีนายทุนแห่แหนไปจับจองครอบครองพื้นที่ทับซ้อนกันตรึม โดยว่ากันว่า พื้นที่กว่า 2 แสนไร่ มีทั้งชาวบ้านที่อยู่เดิม คนมาซื้อที่ต่อ และกลุ่มนายทุนทำรีสอร์ท ที่ถูกดำเนินคดี 1.2 หมื่นไร่ เรียกได้ว่าอีรุงตุงนังกันไปหมด
การปั่นกระแส #saveทับลาน จึงต้องแยกแยะให้ดี พวกที่โหนกระแสอย่าง “ลุงปลอด” ปลอดประสพ สุรัสวดี ที่โพสต์ภาพลงเฟซบุ๊กพร้อมข้อความว่า “กินทับลาน มีเรื่องกับผมแน่นอน รูปนี้ถ่ายที่อุทยานแห่งชาติทับลานเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ที่พกปืนเพราะกำลังมีเรื่อง ตอนนี้มีคนจะมาเอาทับลานอีกแล้ว...” ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น เช่นเดียวกันกับ ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ที่ไม่เห็นด้วยกับการ “เฉือนที่ดินอช.ทับลาน” ไปเป็นพื้นที่เกษตร ทั้งยังทวงบุญทวงคุณว่ากรมอุทยานฯ แบ่งพื้นที่ให้ประชาชนทั่วประเทศแล้วกว่า 4 ล้านไร่
ขัดแย้งเรื้อรัง เขตอุทยานฯทับซ้อนชุมชนกว่า 4,000 แห่ง
หนึ่งในข้อเท็จจริงและความเห็นที่น่าสนใจมาจาก “ศ.ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี” ศาสตราจารย์ด้านมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่พูดถึงการกันพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน 2.6 แสนไร่ว่า สิ่งที่กลุ่มอนุรักษ์ตั้งใจไม่พูดถึงคือ อุทยานแห่งชาติหลายแห่งจัดตั้งโดยไม่เคยสนใจที่จะสำรวจและกันพื้นที่ทำกินของชาวบ้านที่อยู่มาก่อนออกก่อนที่จะประกาศเป็นเขตป่า สนใจแต่จะเพิ่มพื้นที่ป่าให้มากเข้าไว้ แต่ไม่สนใจว่า ป่าที่จัดตั้งขึ้นนั้นไปแย่งที่ทำกินของใครเขามาบ้าง กลายเป็นชนวนความขัดแย้ง เผชิญหน้าระหว่างรัฐกับชุมชนเรื้อรังมานานหลายทศวรรษ อุทยานแห่งชาติทับลาน ก็เช่นกัน
การใช้วาทกรรม “ผืนป่าที่ถูกเฉือน” จึงเป็นการจงใจบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อปั่นกระแสเขียวตกขอบในหมู่ชนชั้นกลางอย่างจงใจ ทั้งที่ในความเป็นจริง ผืนดินทำกินของชาวบ้านต่างหากที่ถูกเฉือนไปเซ่นป่าอนุรักษ์มานานหลายสิบปี อุทยานฯ ประกาศปี 2524 ชาวบ้านบางกลุ่มอยู่กันมาตั้งแต่ก่อนปี 2515 ด้วยซ้ำไป แบบนี้ไม่เรียกว่าอุทยานบุกรุกที่ชาวบ้าน จะให้เรียกว่าอะไร
การใช้ข้ออ้างเรื่องกลัวกลุ่มทุนจะมาฮุบที่เหมาเข่ง ดังนั้น จึงไม่ควรเพิกถอนป่าที่ไปแย่งชาวบ้านมา และคืนสิทธิให้กับเจ้าของที่ดินที่อยู่มาก่อน จึงเป็นตรรกะที่ไม่ถูกต้อง
นับเป็นการเบรกกระแส #saveทับลาน ที่พุ่งขึ้นเทรนด์ X อันดับ 1 ในประเทศไทย โดยมีคนแห่ลงชื่อคัดค้านการเพิกถอนพื้นที่อย่างล้นหลาม
ขณะที่ “วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์” อดีตเลขาธิการมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร ให้ความเห็นว่า ข่าวจะกันพื้นที่อุทยานฯ ทับลาน 260,000 ไร่ ที่มีกระแสทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยคนเห็นด้วยบอกว่าจะได้คืนความเป็นธรรมให้กับชาวบ้านที่ถูกราชการยึดที่ดินไป กับคนที่ไม่เห็นด้วยบอกว่าป่าจะถูกทำลาย นายทุนจะฮุบป่านั้น ทั้งสองฝ่ายพูดถูกทั้งคู่
วันชัย ย้อนความว่า อุทยานฯ ทับลาน ประกาศ ปี 2524 เนื้อที่ 1,398,000 ไร่ เมื่อห้าหกสิบปีก่อนป่าแถวนั้นเป็นสัมปทานป่า พอยกเลิกสัมปทาน บรรดาลูกจ้างก็ไม่ได้ออกไปด้วย พากันตั้งรกราก เพาะปลูก จนขยายกลายเป็นหมู่บ้าน ต่อมามีการประกาศพื้นที่ป่าเป็นอุทยาน ซึ่งขอบเขตของพื้นที่ กรมป่าไม้ ก็เอาแผนที่ 1 : 50,000 มากางแล้ววงพื้นที่ แทบจะไม่ได้มาดูว่ามีคนอยู่ในป่าหรือทับที่ชาวบ้านหรือไม่ เมื่อชาวบ้านทวงถามก็ได้รับคำตอบว่า ประกาศไปก่อน แล้วค่อยกันออกตอนหลัง
ต่อมา ในปี 2541 ชาวบ้านชุมนุมประท้วงใหญ่ คณะรัฐมนตรี สมัยนั้นจึงมีมติให้กันพื้นที่ออก ซึ่งรวมถึงอุทยานฯอื่นๆ ด้วย โดยการพิสูจน์สิทธิว่าอยู่มาก่อนหรือหลังประกาศ แต่หน่วยราชการก็ไม่กล้าทำอะไร เพราะกลัวว่าจะเป็นบรรทัดฐานให้กับอุทยานทั่วประเทศ ปัญหาจึงคาราคาซังมาหลายสิบปี แนวเขตอุทยานก็ไม่ชัดเจน เพราะต้องรอพิสูจน์สิทธิก่อน และทำให้เกิดการขยายพื้นที่บุกรุกอุทยานเพิ่มขึ้น
“ต้องยอมรับว่าคนที่บุกรุกป่า ไม่ใช่ชาวบ้านเท่านั้น แต่มีทั้งนักการเมืองคนในเครื่องแบบ ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นจำนวนมาก”
อดีตเลขาธิการมูลนิธิสืบ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า การเพิกถอนอุทยาน 260,000 ไร่ เกิดขึ้นในสมัยที่พรรคการเมืองคุมสองกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ (พรรคพลังประชารัฐ คุมกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ และกระทรวงเกษตรฯ) และมีแนวโน้มว่า การเพิกถอนอุทยาน 260,000 ไร่ จะสำเร็จ
พร้อมเสนอแนะว่า น่าจะคืนที่ดินเพื่อความเป็นธรรมให้กับชาวบ้านที่โดนอุทยานทับที่ทำกิน ประมาณแสนไร่ ส่วนอีกแสนกว่าไร่ที่เกิดจากการรุกป่าหลังประกาศเขตอุทยาน ไม่น่าจะเพิกถอน แต่ทั้งหมดน่าจะได้รับการพิสูจน์ มีหลักฐานชัดเจน
ขณะที่ “ศศิน เฉลิมลาภ” อดีตเลขาธิการมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร อีกคน ลงลึกในการแก้ปัญหาอุทยานฯทับลาน ทับซ้อนว่า การประกาศอุทยานทับลานเมื่อสี่สิบกว่าปีที่แล้วโดยใช้ขอบเขตป่าสงวนเดิม ซึ่งเขตอุทยานทับที่เกษตรกรรมตามแนวขอบเป็นจำนวนมาก เนื่องจากตอนนั้นเร่งประกาศอุทยานทั่วประเทศ เพราะป่าหมดไปจากการบุกรุกอย่างรวดเร็ว ปีละราวๆ หนึ่งล้านไร่ (พื้นที่ชุมชนบางส่วนอาจจะอยู่ก่อนประกาศป่าสงวน บางส่วนก็ขยายเพิ่ม)
ปัญหาชุมชนโดนอุทยานฯประกาศทับที่ มีทั่วประเทศ ราวๆ 4,000 กว่าชุมชน ซึ่งคณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อปี 2541 ให้อยู่ไปก่อนเพื่อรอพิสูจน์สิทธิ ต่อมา ปี 2543 รัฐบาลมีนโยบายปรับปรุงแนวเขตอุทยานทับลานใหม่ ระหว่างนั้นมีการเปลี่ยนมือ ซื้อที่มือเปล่าไม่มีเอกสารสิทธิในชุมชนหมู่บ้านไทยสามัคคีเป็นจำนวนมาก และเปลี่ยนเป็นบ้านพักตากอากาศ รีสอร์ทหลายร้อยแห่ง การจัดทำข้อมูลสำรวจที่ยืดเยื้อมากว่ายี่สิบปี ขณะที่ชุมชนก็ขยายตัวไป รีสอร์ทไทยสามัคคีก็พัฒนาเติบโตสวยงาม
กระทั่งเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว รัฐบาลมีนโยบายดำเนินคดีรีสอร์ทผิดกฎหมายเพราะไม่มีเอกสารสิทธิ และอยู่ในอุทยานฯทับลาน ในยุค ดำรงค์ พิเดช อธิบดีฯ ปฏิบัติการทวงคืนผืนป่า ปัจจุบันคดียังอยู่ในกระบวนการศาลในระดับอุทธรณ์และฎีกา โดยชั้นต้นนั้นส่วนใหญ่ฝ่ายรีสอร์ทซึ่งซื้อที่มือเปล่าจากชาวบ้านนั้นผิดหมด จึงเกิดการผลักดันให้เพิกถอนพื้นที่อุทยานบริเวณนี้มาตลอด เพื่อให้กลับไปเป็นป่าสงวน และนำไปดำเนินการให้เป็น ส.ป.ก.ในภายหลัง และคิดว่าจะมีผลดีกับรูปคดีในกำลังต่อสู้กันในชั้นศาล คือการเสนอให้รัฐบาลปรับปรุงแนวเขตตามแนวปี 2543 เพื่อรวมกรณีรีสอร์ทและชุมชนอื่นรอบทับลานให้หลุดไปพร้อมกัน
ศศิน บอกเล่าว่า ปัจจุบัน ปัญหาคล้ายคลึงกันในลักษณะนี้มีทั้งพื้นที่ธุรกิจ และชุมชนจริงๆ ราวๆ สี่พันแห่งในป่าอนุรักษ์ทั่วประเทศ มีพื้นที่ปะปนกันไปทั้งอยู่ก่อนอยู่หลังประกาศป่าจนแยกกันยากมากนับแสนแปลง มีการแก้ไขปัญหาโดยการออกกฎหมายใหม่เมื่อปี 2562 ให้พื้นที่เหล่านี้อยู่ในเงื่อนไขสามารถอยู่ในพื้นที่อุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าได้ โดยมีโครงการสำรวจแนวเขตและไม่ขยายร่วมกัน
การเพิกถอนพื้นที่รีสอร์ตในทับลาน จึงอาจจะส่งผลกระทบถึงการแก้ปัญหาที่ได้ดำเนินการอยู่ ดังนั้นกรณีทับลานที่เป็นพื้นที่รีสอร์ททั้งหมด อาจดำเนินการตามกฎหมายปี 2562 แต่ธุรกิจรีสอร์ทก็อาจจะต้องยุติลงในอนาคตเมื่อคดีสิ้นสุด หรืออาจจะออกเป็นมติคณะรัฐมนตรี มาอุ้มไว้ โดยอ้างเหตุผลทางเศรษฐกิจก็ยังดีกว่าเพิกถอน คณะรัฐมนตรี ก็มารับผิดชอบการตัดสินใจไป โดยไม่ลามไปสู่การแก้ปัญหาพื้นที่อื่นๆ
ทั้งนี้เพราะหากดำเนินการผิดพลาด สภาพปัญหาชุมชนอื่นๆ ระหว่างการทำงานตามกฎหมายใหม่ อาจจะเกิดปัญหาการรุกเข้าซื้อที่ดินชุมชนขอบป่า กลางป่า ครั้งใหญ่โดยค่อยๆ ลามอย่างควบคุมไม่ได้ คล้ายๆ การเกิดของไทยสามัคคี อีกครั้ง และนี่จะเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องตั้งต้นแก้กันใหม่ ทั้งๆ ที่ควบคุมพื้นที่ตาม พ.ร.บ.ใหม่ ได้พอสมควร และมีแนวทางให้ชุมชนในป่าอยู่ได้ตามปกติแล้วในปัจจุบัน ซึ่งเมื่อผ่านไปอีกสักระยะให้เกิดแนวทางการพัฒนาและไม่มีการขยายที่ทำกิน ค่อยปรับเปลี่ยนสภาพที่ดินอีกครั้งภายหลังน่าจะเหมาะสมกว่า
การเพิกถอนพื้นที่ทับลานต้องนำมาผ่านการพิจารณาให้ความเห็นของคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ตามขั้นตอนปกติอีกครั้ง ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็เป็นไปตามความเห็นของคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ เสนอต่อคณะรัฐมนตรี ผ่านรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต่อไป
One Map แผนที่ทับซ้อน แก้ปัญหาได้จริง?
หากพิจารณาจาก “แนวแผนที่” ที่เผยแพร่กัน อันเป็นที่มาของ #Saveทับลาน นั้น แนวเขตอุทยานฯ ทับลานใหม่ (2543) (สีน้ำเงิน) หรือ One Map ที่จะมาแทนแนวเขตที่เคยประกาศไว้เดิม (2524) (สีแดง) มีการทับซ้อนกัน(ดูรายละเอียดจากภาพประกอบ)
สำหรับพื้นที่สีเหลือง (1) คือ พื้นที่ทับซ้อนแท้จริง ประมาณ 58,000 ไร่ ต้องดำเนินการโดยกฎหมายอุทยานฯ
ส่วนพื้นที่สีน้ำเงิน (2) เป็นพื้นที่ที่หน่วยงานความมั่นคง นำชาวบ้านเข้ามาอยู่ให้ที่ทำกินตามแผนปราบคอมมิวนิสต์ ประมาณ 80,000 ไร่ (ฝั่ง อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา) ซึ่งถูกจัดสรรเป็นพื้นที่ตามโครงการจัดสรรที่ดินทำกินแก่ราษฎรผู้ยากไร้ (คจก.) และเปลี่ยนมาเป็น สปก. ส่วนฝั่ง อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี พื้นที่ใกล้เคียงกับที่ทำการอุทยานฯ จัดตั้งหมู่บ้านป่าไม้ ให้ประชาชนอยู่อาศัย มีโครงการพระราชดำริรองรับ
พื้นที่สีเทา (3) เป็นพื้นที่มีการออกเอกสารสิทธิ์ (นส.3 ก.) ซึ่งเป็นการเดินสำรวจ โดยชาวบ้านระบุว่า อุทยานฯ ออกแนวเขตทับที่
พื้นที่สีเทาตรงอำเภอวังน้ำเขียว ประมาณ 20,000 ไร่ มีการออกเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. ข้ามเขต มีชาวบ้านอยู่อาศัย และการทำธุรกิจที่พัก รีสอร์ท โดยมีการแจ้งความดำเนินคดี ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน รวมเกือบ 400 คดี
One Map 2543 แนวเขตใหม่ ทำให้บรรดานักอนุรักษ์ทั้งหลายต่างกังวลจะทำให้พื้นที่ป่าหดหายไป คดีความที่มีค้างคาอยู่ในชั้นศาล อาจทำให้มีการหลุดคดีกันไปเพราะเป็นแนวเขตที่ยอมรับกัน จึงเป็นที่มาของกระแส #Saveทับลาน แบบขาดๆ หวิ่นๆ
ก่อนหน้าที่จะมาเป็น One Map 2543 นั้น คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) มีมติเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2566 เห็นชอบแนวทางการใช้แนวเขตที่มีการปรับปรุงการสำรวจแนวเขต ปี พ.ศ.2543 ในการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐบูรณาการ มาตราส่วน 1: 4000 (One Map) พื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน
ต่อมา คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566 เห็นชอบแนวทางดังกล่าว โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรมชาติฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการ อุทยานแห่งชาติทับลาน จึงเปิดรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย ชุมชนที่เกี่ยวข้อง และประชาชน ในการกำหนดอุทยานแห่งชาติทับลาน จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดสระแก้ว ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566 ซึ่งหากปรับปรุงแนวเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน ตามแนวเขตใหม่นี้ จะส่งผลให้พื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน มีเนื้อที่หายไป ประมาณ 265,000 ไร่
“อุดม คูณขุนทด” สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลสะแกราช ในฐานะตัวแทนชาวบ้านหมู่ที่ 13 บ้านโคกไผ่แก้ว ต.สะแกราช อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา ที่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากแนวเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน ตามแผนที่ ปี 2524 ทับซ้อนที่ดินของราษฎรในชุมชนเต็มๆ ทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน ทำไร่ หรือปลูกสร้างอะไรก็ยาก ทำมาหากินลำบาก เรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือ โดยให้ยึดตามแนวเขตปี 2543 ส่วนเรื่องเอกสารสิทธิ์ สปก.อยากให้แปรสินทรัพย์เป็นทุนได้ จะเกิดประโยชน์กับชาวบ้านอย่างมาก
เช่นเดียวกับ “พรภิรมย์ กล้าหาญ” หนึ่งในชาวบ้านทรัพย์เจริญ หมู่ที่ 4 ต.บ้านราษฎร์ บอกว่า ตัวเองอยู่อาศัยทำกินในพื้นที่แห่งนี้ ซึ่งเดิมทียังเป็นชุมชนบ้านราษฎร์ ที่อยู่ในเขตตำบลโนนสมบูรณ์ อ.เสิงสาง ก่อนที่จะได้แยกตัวออกมาเป็นตำบลบ้านราษฎร์ และเป็นหมู่บ้านทรัพย์เจริญ เมื่อปี พ.ศ. 2528 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งตอนนั้นชาวบ้านก็อาศัยทำกินบริเวณนี้กันอยู่ก่อนแล้ว ไม่ได้มีสภาพเป็นป่าไม้แต่อย่างใด
จนกระทั่งเกิดปัญหากรณีกลุ่มผู้มีความเห็นต่างทางการเมือง หรือคอมมิวนิสต์ และทางรัฐบาลในขณะนั้น ได้ประกาศจัดสรรที่ดินทำกินให้แก่กลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย หรือ ผรท. เมื่อปี พ.ศ. 2526 รายละ 15 ไร่ จากนั้นก็เกิดปัญหากรณีข้อพิพาทเรื่องของการประกาศพื้นที่ทับซ้อนระหว่างพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลานกับพื้นที่ทำกินดั้งเดิมของชาวบ้านมาโดยตลอด
หลังจากมีกระแสร้อนแรง “อรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ เผยว่า หลายรัฐบาลที่ผ่านมาพยายามแก้ปัญหา โดยคณะกรรมการนโยบายนโยบายที่ดินแห่งชาติ หรือ คทช. มีมติให้กันพื้นที่ชุมชนจำนวน 265,000 ไร่ ให้เป็นพื้นที่ของ ส.ป.ก. และคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566 แต่บุคคลใดที่ถูกดำเนินคดีจะไม่ได้รับการยกเว้น มติดังกล่าวทำให้กรมอุทยานฯ ต้องมาดำเนินการปรับปรุงแนวเขต รับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทั้งในพื้นที่และทั่วประเทศ สิ้นสุดในวันที่ 12 กรกฎาคม 2567 ก่อนจะเสนอให้คณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ พิจารณาภายใน 30 วัน เพื่อมีมติเสนอต่อ ครม.ต่อไป
ทางด้าน “พลตำรวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ยืนยันว่า จะดูแลชาวบ้านในพื้นที่ที่เป็นที่ดินของชาวบ้านประมาณ 50,000 ไร่ ส่วนตัวเลขพื้นที่รวม 260,000 ไร่นั้น คณะกรรมการอุทยาน จะเป็นผู้พิจารณา โดยเร่งรัดให้กรมอุทยานฯ พิจารณาภายใน 30 วัน
ขณะที่ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระบุว่า เมื่อ คทช.เห็นชอบ ก็นำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดที่แล้ว เมื่อมติครม.ออกมา ก็เป็นเรื่องกระบวนการที่กรมอุทยานฯ เปิดรับฟังความเห็นฯ ส่วน ส.ป.ก. รับนโยบายจาก สคทช. ไปปฏิบัติจัดสรรที่ดิน
ถึงตรงนี้ คงต้องบอกว่า ปัญหาเรื่องป่าไม้กับที่ดินทำกินของชาวบ้าน รวมถึงการบุกรุกพื้นที่ป่าสารพัดรูปแบบซึ่งดำเนินนับเนื่องมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ต้นเหตุสำคัญอยู่ที่ “หน่วยงานรัฐ” ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เพราะเห็นได้ชัดว่า ล้มเหลวในการทำงาน ยิ่งนานวัน พื้นที่ป่าของประเทศไทยก็ยิ่งหายไป
ส่วนที่ “ทับลาน” แน่นอน คนไทยทุกคนคงต้องช่วยกัน SAVE ไปพร้อมๆ กับทำความจริงให้ปรากฏ ตรงไหนยังคงมีสภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์ หรือเป็นแนวกันชนก็บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น ยิ่งที่แปรสภาพกลายเป็นรีสอร์ท ตกเป็นของนายทุน นักธุรกิจหรือนักการเมืองก็ต้องยึดคืนให้เด็ดขาด ส่วนที่ไปประกาศทับซ้อนที่ทำกินของชาวบ้านก็ต้องทำให้คนอยู่กับป่า และช่วยรักษาป่าเอาไว้พร้อมๆ กัน
ทว่า สุดท้ายเชื่อเหลือเกินว่า ปัญหาจะยังคงคาราคาซังอยู่อย่างนี้กันต่อไป.
ที่มาที่ไป ทับลาน ทับซ้อน กดทับประชาชน
กลุ่มจับตาปัญหาที่ดิน (Land Watch Thai) เผยที่มาที่ไปของปัญหาอุทยานฯทับลาน ทับซ้อนเกิดปัญหาทับซ้อน ผ่าน GREENNEWS โดยสืบย้อนที่มาของเรื่องว่าเริ่มมาจากกรมป่าไม้ ประกาศแนวเขตอุทยานแห่งชาติในปี 2524 โดยไม่มีการสำรวจและกันพื้นที่ชุมชนออกจากแนวเขตอุทยานฯ ทำให้อุทยานฯทับลาน ไปทับซ้อนกับพื้นที่ชุมชน และเขตปฏิรูปที่ดินที่กรมป่าไม้ ส่งมอบพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ให้ ส.ป.ก. ตามนโยบายกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งเป็นโครงการที่รัฐบาลไทยไปกู้เงินธนาคารโลกมาจัดสรรที่ดิน
เส้นแนวเขตอุทยานแห่งชาติทับลานปี พ.ศ. 2524 ยังซ้อนทับกับพื้นที่ที่ได้รับการจัดตั้งตาม พ.ร.บ.ปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 และชุมชนที่รัฐโดยฝ่ายความมั่นคง อพยพชุมชนที่อยู่กระจัดกระจายให้มารวมกันและจัดตั้งหมู่บ้านชื่อ “ไทยสามัคคี” ในพื้นที่อำเภอวังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ที่อุทยานฯประกาศทับลงไป
นอกจากนั้น ยังมีพื้นที่ทับซ้อนกับพื้นที่ดำเนินการโครงการของรัฐเพื่อความมั่นคงตามมติคณะรัฐมนตรี คือ โครงการพัฒนาพื้นที่เพื่อความมั่นคงในพื้นที่ (พมพ.) และโครงการจัดที่ดินทำกินให้กับราษฎรผู้ยากไร้ในพื้นที่ป่าสงวนเสื่อมโทรม (คจก.) สะท้อนให้เห็นว่าพื้นที่ดังกล่าวไม่ได้มีสภาพเป็นป่าไม้แล้ว
ในปี พ.ศ. 2533 กอ.รมน.ภาค 2 เสนอให้กรมป่าไม้ แก้ไขปรับปรุงแนวเขต โดยคณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2540 โดยหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมสำรวจรังวัดและจัดทำแผนที่ ฝังหลักแนวเขตอุทยานร่วมกัน เป็นเส้นแนวเขตใหม่ ในปี พ.ศ. 2543 ตามสภาพความเป็นจริงในขณะนั้น
ต่อมา เมื่อปีพ.ศ. 2545 การปฏิรูประบบราชการ มีการจัดตั้งกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ขึ้นมา ซึ่งกรมอุทยานฯ แบ่งกลุ่มและแนวทางในการแก้ไขปัญหาออกเป็น 3 แนวทางอย่างชัดเจน คือ
กลุ่มที่ 1 พื้นที่ทับซ้อนกับเขตปฏิรูปที่ดิน อำเภอวังน้ำเขียว อำเภอครบุรี และ อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 58,582 ไร่
กลุ่มที่ 2 พื้นที่จัดที่ดินทำกินตามโครงการจัดสรรที่ดินทำกินแก่ราษฏรผู้ยากไร้ (คจก.) อำเภอเสิงสาง อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา และ อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี เนื้อที่ 59,183 ไร่ สภาพเป็นพื้นที่ที่กินและที่อยู่อาศัยของชาวบ้านเต็มพื้นที่ เห็นควรให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี 30 มิถุนายน 2541
กลุ่มที่ 3 กลุ่ม 3 ราษฎรที่อยู่อาศัย/ทำกินในเขตอุทยานฯ ทับลาน และปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541 เนื้อที่ 152,072 ไร่
แนวทางแก้ไขปัญหาของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง เสนอชัดเจนว่าจะมีการปรับปรุงแนวเขตอุทยานฯ ทับลาน โดยกันพื้นที่ส่วนที่เป็นชุมชน ป่าเสื่อมโทรมออก โดยมีแนวเขตสอดคล้องกับเส้นแนวเขตปี 2543 ที่เกิดจากการตรวจสอบพื้นที่จริงร่วมกัน แต่ยังไม่เกิดผลบังคับใช้ทางกฎหมายเนื่องจากขาดความต่อเนื่องของนโยบายรัฐ และขาดความจริงจังในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล
จู่ๆ ไม่รู้อีท่าไหน จึงเกิดการปั่นกระแส #saveทับลาน ที่ให้เพียงแค่ภาพของกลุ่มนายทุนได้ประโยชน์ ภาพของผืนป่าที่ถูกใช้คำว่า “เฉือนออกไป” ซึ่งเป็นการบิดเบือนความจริงของคนในพื้นที่ทำกินและอยู่อาศัยมาก่อนการประกาศเขตอุทยานฯ ทับลาน