ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ขณะที่ยังคง “ลูกผีลูกคน” รายของ “ลุงชาญ” ชาญ พวงเพ็ชร์ ว่าที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปทุมธานี ในสีเสื้อพรรคเพื่อไทย ที่ชนะการเลือกตั้งมาครึ่งค่อนเดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการรับรองผล จนไม่รู้จะได้เข้าไปทำหน้าที่หรือไม่ ก็เกิดดรามาซ้อนขึ้นอีกในพรรคเพื่อไทย เมื่อ “หนุ่ม ใจถึงพึ่งได้” วัน อยู่บำรุง ลูกรัก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง นักการเมืองฝีปากกล้า ออกมาเปิดเผยว่าได้ถูกเรียกเข้าไปพบ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เรียกเข้าไปตำหนิ กรณีปรากฎภาพว่า ”วัน“ ซึ่งเป็นคนของพรรคเพื่อไทย และมีตำแหน่งเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ไปร่วมให้กำลังใจ “บิ๊กแจ๊ส” ซึ่งถือเป็นคู่แข่งของพรรคเพื่อไทย ที่บ้านพักในระหว่างนับคะแนนเลือกตั้ง
โดยมีรายงานว่า ในการประชุม สส.พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา “หัวหน้าอิ๊ง” เรียก “วัน” ไปสอบถามถึงเหตุที่เกิดขึ้น รวมทั้งสาธยายตวามเสียหายที่เกิดขึ้นกับพรรค ที่มีสมาชิกพรรค และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของพรรคไปร่วมเชียร์ “คู่แข่ง” ซึ่ง ”วัน“ เองก็พยายามชี้แจงว่า ครอบครัวอยู่บำรุง สนิทสนมกับ “บิ๊กแจ๊ส” มาอย่างยาวนาน และช่วงหาเสียงเลือกตั้วก็ไม่ได้ทำอะไรเกินเลย ในวันเลือกตั้งก็เพียงไปให้กำลังใจหลังปิดหีบแล้ว ซึ่งไม่ส่งผลต่อคะแนนเสียงของทั้ง ”บิ๊กแจ๊ส“ หรือผู้สมัครพรรคเพื่อไทย
“พี่ต้องหาทางออกให้อิ๊งด้วย ไม่งั้นอิ๊งก็ปกครองคนไม่ได้” คือคำร้องขอเชิงคำสั่งที่ “อุ๊งอิ๊ง” ยื่นให้กับ “วัน” ที่ตอบแทบจะในทันทีว่า ”เพื่อเป็นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เดี๋ยวจะลาออกเอง“
ขณะที่ในรายงานข่าวก็ระบุว่า เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ก็แสดงความไม่พอใจ และเตรียมมีมาตรการลงโทษ “วัน” ในฐานะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีเช่นกัน
ก่อนที่ “วัน” จะนำเรื่องมาโพสต์เฟซบุ๊ก ขอลาออกจากการเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พร้อมชี้แจงว่า “ตลอดระยะเวลาที่มีการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง นายก อบจ.ปทุมธานี ตนเองในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทย ทราบดีถึงมารยาททางการเมือง จึงไม่เคยไปร่วมรณรงค์หาเสียงให้กับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ แม้แต่วันเดียว เพราะไม่เคยคิดจะทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับพรรคเพื่อไทย
“...ผมและครอบครัวอยู่บำรุง มีความผูกพันกันอย่างแนบแน่น และยาวนานกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ทั้งสองครอบครัวเปรียบเหมือนญาติ เหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน มีความรักและความจริงใจให้กันมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นยามทุกข์ หรือยามสุข ครอบครัวอยู่บำรุง และพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ก็ให้ความรักและความเอื้อเฟื้อต่อกันมาตลอด ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
“การกระทำในวันนั้น เป็นเพียงการแสดงน้ำใจตามมารยาทที่ดี ที่สังคมไทยพึงมีต่อกัน ซึ่งผมเชื่อว่าคนไทยทุกคนที่มีสำนึกความเป็นไทยเข้าใจตรงนี้ดี และสามารถแยกแยะได้ระหว่างเรื่องการเมือง กับความผูกพันฉันท์มิตรที่ดีต่อกัน
ดังนั้น เพื่อสร้างความสบายใจให้กับหัวหน้าพรรคและสมาชิกพรรคทุกท่าน ผมจึงขอแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี โดยจะยื่นหนังสือลาออกอย่างเป็นทางการ ต่อท่านสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข และจะลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคในสัปดาห์หน้า“
ต่อมาก็การเผยแพร่คำให้สัมภาษณ์ “พ่อเหลิม-ร.ต.อ.เฉลิม” ที่มีสถานะเป็น สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยว่า “เมื่อหนุ่ม (นายวัน) ลาออกแล้ว ผมจะอยู่ในพรรคเพื่อไทยต่อได้อย่างไร ก็เลยขอให้พรรคขับผมออกจากพรรคตามระเบียบพรรคการเมือง เพื่อจะได้ไปสังกัดพรรคการเมืองใหม่ ซึ่งขณะนี้ มีพรรคการเมือง 2-3 พรรค ติดต่อเข้ามาแล้ว ยืนยันว่าผมตกได้ แต่ผมต่ำไม่ได้”
ถือเป็นสัญญาณแตกหักที่ “คนบ้านริมคลอง” ส่งไปถึง “คนบ้านจันทร์ส่องหล้า” ที่ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งมีรายการ “ปีนเกลียว” กันมาหมาดๆ เมื่อช่วงปลายปี 66 หลังการเลือกตั้ง ที่ “พ่อเหลิม” ได้เป็น สส.บัญชีรายชื่อ ส่วน “ลูกหนุ่ม” สอบตก สส.กทม. ที่เขตบางบอน และหลังการฟอร์มรัฐบาบปรากฎว่า “คนพ่อ” ไม่ได้ลุ้นตำแหน่งรัฐมนตรี ส่วน “คนลูก” ก็ไม่มีตำแหน่งใดๆ รองรับ
เป็นเหตุให้มีการเผยแพร่คำสัมภาษณ์ของ “ร.ต.อ.เฉลิม” ที่ขอตัดขาดกับ “ทักษิณ” โดยอ้างว่า ได้ยินมาว่า “ทักษิณ” พูดแบบใหญ่โตว่า สองพ่อลูกเป็นเป็นคนกวนโอ๊ย จึงไม่ให้ตำแหน่งในรัฐบาล
ครั้งนั้น “อุ๊งอิ๊ง” ต้องเดินทางไปที่บ้านริมคลอง เพื่อเคลียร์ใจในเรื่องบาดหมางที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะมีการแต่งตั้งให้ “วัน” รับตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีกระจำกระทรวงสาธารณสุข ที่ขณะนั้นมี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว เป็น รมว.สาธารณสุข รวมทั้งให้ “กาโม่” อาชวิน อยู่บำรุง ลูกพ่อหนุ่ม-หลานปู่เหลิม ไปช่วยงานที่กระทรวงดิติทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
และแม้ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะเปลี่ยนมาเป็น สมศักดิ์ เทพสุทิน แล้ว ก็ยังให้ “วัน” อยู่ในตำแหน่งต่อ กระทั่งมาเกิดเรื่องที่ จ.ปทุมธานี
เข้าใจได้ว่า ในฐานะหัวหน้าพรรค “อุ๊งอิ๊ง” ต้องออกแอ็กชันบางประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ตัวเอง ลงพื้นที่ไปช่วย “ชาญ” หาเสียง และชูภาพ “พ่อษิณ” เรียกคะแนนิยม แต่กลับได้คะแนนมาแบบไม่สมศักดิ์ศรี และยังต้องมาเจอเรื่องชนักในอดีตของ “ชาญ” อีก
และ “วัน” เองก็ทะเล่อทะล่าไปโผล่ในที่ที่ไม่ควรไปก็เลยกลายเป็น “เหยื่อ” เพื่อโชว์ภาวะผู้นำของ “อุ๊งอิ๊ง” ตามที่ “สายเสี้ยม” ยุยงเพราะต้องการเปิดหลุมตำแหน่งทางการเมืองให้ว่างลง
อีกทั้งเป็นที่รู้กันดีว่า ระยะหลัง “ตระกูลอยู่บำรุง” ที่ครั้งหนึ่ง “ร.ต.อ.เฉลิม” เคยได้รับสมญา “ขุนศึกฝั่งธนฯ” นั้นเป็นแค่อดีตไปแล้ว ฝีไม้ลายมือการปราศรัยอภิปรายก็เสื่อมทรุดไปตามสังขาร ส่วนผู้สืบทอดอย่าง “วัน” ก็ดูจะไม่ได้มีพัฒนาการในด้านความนิยมจากประชาชนในพื้นที่ในทิศทางที่ดีขึ้นประการใด
เมื่อ “ตระกูลอยู่บำรุง” ไม่ได้มีราคาเหมือนแต่ก่อน จึงเกิดรายการ “เชือดไก่ให้ลิงดู” เพื่อไม่ให้ใครกล้าเอาอย่าง “วัน” โดยเฉพาะในการเลือกตั้งนายก อบจ.ที่กำลังจะมีขึ้นทั่วประเทศ
ขณะที่ย้อนกลับไปดูกรณีการเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานีที่มีมวยคู่เอกลงชิงชัยคือ “ชาญ พวงเพ็ชร์” และ “บิ๊กแจ๊ส-พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง” ก็มีเรื่องระหว่างบรรทัดที่สะท้อนตัวตนของ “นายใหญ่คนเสื้อแดง” อย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” ได้เป็นอย่างดี
แน่นอน มีการพิเคราะห์ลงลึกไปถึงคะแนนเสียงของ “ชาญ” ที่เหนือกว่า “บิ๊กแจ๊ส” ซึ่งแม้จะไม่มาก แต่ก็เป็นการชี้ให้เห็นว่า ความศรัทธาในตัวทักษิณ ชินวัตร รวมถึงพรรคเพื่อไทย อยู่ในภาวะตกต่ำ เพราะหาก “ทักษิณ” หรือพรรคเพื่อไทยมีอิทธิพลจริง คะแนนของ “ชาญ” คงทิ้งห่างคู่แข่งมากกว่านี้
คำถามก็ย้อนกลับไปว่า แล้วเหตุใด พรรคเพื่อไทย จึงต้องส่ง “ชาญ” ลงสมัครในนามพรรค ทั้งที่ “บิ๊กแจ๊ส” เองก็เคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ “ทักษิณ” มาเก่าก่อนตามตำนาน “มีวันนี้เพราะพี่ให้” ครั้งที่เป็น “ม้ามืด” ได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์
ขณะที่ “ชาญ” กับพรรคเพื่อไทย ถือว่าเป็นคนอื่นไกล และยังเคยเป็นคู่แข่งกันมาด้วยแท้ๆ
เป็นที่รู้กันว่า “บิ๊กแจ๊ส” ที่หนก่อนลงสมัครนายก อบจ.ปทุมธานี ในนามอิสระนั้น มีปัญหาไม่ลงรอยกับบรรดา “บ้านใหญ่” ใน จ.ปทุมธานี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นตระกูลการเมืองทั้งในระดับท้องถิ่น และระดับประเทศ โดยเฉพาะช่วงการเบือกตั้งปี 66 ที่ “บิ๊กแจ๊ส” ขอสิทธิ์ในการจัดทีมลงสมัคร สส.ปทุมธานี ในนามพรรคเพื่อไทย
จนแตกหักกับ “แก๊งบ้านใหญ่” ที่มีเงาร่างของ “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวของทักษิณ ตระหง่านเป็นแบ็กอัปให้อยู่ และนำความไปฟ้อง “เถ้าแก่” ทำให้ “บิ๊กแจ๊ส” ต้องยกทีมไปลงสมัคร สส.ในนามพรรคภูมิใจไทยแทน รวมทั้งยังมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า ผู้ที่ตัดสินใจให้พรรคเพื่อไทยหาผู้สมัครลงแข่งกับ “บิ๊กแจ๊ส” ก็คือ “ทักษิณ” นั่นเอง ซึ่งสาเหตุหลักก็ไม่ใช่ความต้องการของ 8 บ้านใหญ่ปทุมธานีอย่างที่เข้าใจ แต่ลึกๆ แล้วเป็นเหตุมาจากเรื่องไปถึงหูว่า “บิ๊กแจ๊ส” แสดงความมั่นใจในหลายวงสนทนาว่า “ทักษิณ” จะไม่มีโอกาสเดินทางกลับประเทศไทย สร้างความขัดเคืองใจให้กับ “อดีตพี่เลิฟ” เป็นอย่างมาก จึบตีธงให้ส่งคนสู้สนามนายก อบจ.ปทุมธานี ในระดับที่แพ้ไม่ได้
ส่วนตัว “บิ๊กแจ๊ส” ก็รู้ข่าวว่า “ทักษิณ” ไม่พอใจตัวเอง และพยายามหาทางเข้าหาช่วงที่ “ทักษิณ” กลับมาประเทศไทยแล้วเพื่อต้องการเคลียร์ใจ แต่ถูกปฏิเสธมาโดยตลอด และเมื่อมีโอกาสพบหน้าก็ถูกต่อว่ากลับมา อันเป็นที่มาว่า ทำไมพรรคเพื่อไทยไปดึง “ชาญ” มาลงสมัคร และหากถอดรหัสคำพูดของ “บิ๊กแจ๊ส” ครั้งแถลงยอมรับความพ่ายแพ้ ซึ่งมีการแสดงความยินดีกับ “พี่” โดย “พี่” ในที่นี้ก็หมายถึง “ทักษิณ” นั่นเอง
การที่พรรคเพื่อไทยไปดึงคนมีตำหนิอย่าง “ชาญ” มาลงสมัคร และเอาชนะ “บิ๊กแจ๊ส” ก่อนจะมีปัญหาตามมานั้น ก็มีการพูดกันว่า หาก “นายใหญ่” ตัดสินใจด้วยหลักเหตุผล เปิดรับฟังคำชี้แจงของ “อดีตน้องเลิฟ” บ้าง สถานการณ์ต่างๆ คงไม่เป็นเช่นนี้
และพูดไปถึงว่า หาก “นายใหญ่” ไม่ “ใจแคบ” ไปหรือไม่ที่ฟังความข้างเดียว พรรคเพื่อไทย ก็คงไม่ต้องมา “เสียรังวัด” กับสนามเลือกตั้งนายก อบจ.จังหวัดเดียวถึงขนาดนี้
ในทำนองเดียวกันที่ “บิ๊กแจ๊ส” เป็นเหยื่ออารมณ์ของ “พ่อทักษิณ” นำพาปัญหามาสู่พรรคเพื่อไทยแบบยังไม่รู้บทสรุป
“วัน” เองก็ตกเป็นเหยื่ออารมณ์ของ “ลูกอุ๊งอิ๊ง” ซึ่งแม้สุ้มเสียงภายในพรรคจะเห็นด้วยกับคำตำหนิ แต่ก็ต้องดูว่าจะเกิดแรงกระเพื่อมตามมาในพรรคเพื่อไทยหรือไม่ โดยเฉพาะในยามที่บารมีของ “ทักษิณ” ไม่เข้มขลังเหมือนแต่เก่าก่อน
แต่ว่าก็ว่าเถอะ ณ นาทีนี้ “บารมีของบ้านริมคลอง” เสื่อมถอยลงไปมากจนอาจจะเหลือแค่ “ความเกรงใจ” ในฐานะคนที่รู้จักมักคุ้นกันมานานดำรงอยู่เท่านั้น.