xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

สาละวันเตี้ยลง “นายกฯ เมืองปทุม” บทพิสูจน์ “ทักษิณ” เสื่อมของแทร่ “รัฐบาล-เพื่อไทย” เจ๊งรัวๆ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - โถ่..ถัง..กะละมัง..หม้อ!! อุตส่าห์คว้าชัยในสนามสำคัญอย่างการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปทุมธานี ได้แท้ๆ แต่ได้ฉลองกันไม่ถึงวันดี ก็มี “ข่าวร้าย” ทำเอา พรรคเพื่อไทย “จ๋อย” รับประทาน

ด้วยหลังจาก “ลุงชาญ” ชาญ พวงเพ็ชร ผู้สมัครนายก อบจ.ปทุมธานี ในนามพรรคเพื่อไทย สามารถโค่นกระดูกชิ้นโตอย่าง ”บิ๊กแจ๊ส“ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีตนายก อบจ.ปทุมธานี สมัยที่แล้วลงได้ แต่ปรากฏว่า ดันมีคดีความติดตัว เป็นคดีทุจริตถุงยังชีพ สมัยเป็นนายก อบจ.ปทุมธานี เมื่อช่วงปี 2555 ซึ่งคณะกรรมการป้องกันแบะปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด และศาลเพิ่งประทับรับฟ้องเมื่อไม่นานมานี้ ส่อเค้าจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันทีตั้งแต่ที่มีการรับรองผลการเลือกตั้ง
 
และดีไม่ดีท้ายที่สุดอาจต้องถูกปลดจากตำแหน่งด้วยซ้ำไป
 
งานนี้ทำเอา “คนเพื่อไทย” ที่ตั้งท่าจะอวย “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่ายังมีบารมีเข้มขลัง ส่งให้ผู้สมัครของพรรคเอาชนะเลือกตั้งครั้งสำคัญได้ต้องชะงักทันที แถมยังต้องหา “ข้อแก้ตัว” ที่เลือก “ชาญ” ที่มีคดีทุจริตติดตัวลงสมัครเป็นพัลวันด้วย
 
กลายเป็นว่า เคลมผลการเลือกตั้งได้ไม่เต็มปาก แล้วยังต้องมาเสียรังวัด เสียหายมากกว่ากับชัยชนะครั้งนี้
 
แล้วเอาเข้าจริงชัยชนะของ “ชาญ” ผู้สมัคร หมายเลข 1 ในสีเสื้อเพื่อไทย ซึ่งได้คะแนนทั้งสิ้น 203,010 คะแนน ที่มีเหนือ “บิ๊กแจ๊ส” ผู้สมัครหมายเลข 3 ที่ได้คะแนน 201,041 คะแนน คะแนนแพ้ชนะต่างกันแค่ 1,969 แต้มเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ได้สะท้อนว่า บารมี “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่อยู่ระหว่างการพักโทษจำคุก จะเข้มขลังหรือเป็นไปตามกลยุทธ์อันแยบยลของพรรคเพื่อไทย ตามที่ “ลิ่วล้อ” ออกมาตีปิ๊บประกาศศักดาในช่วงต้นแต่ประการใด

ที่สำคัญเสียยิ่งกว่าก็คือ เมื่อวิเคราะห์ลงลึกในคะแนนการเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา (อย่างไม่เป็นทางการ) โดยละเอียด ก็เห็นจะชัดเจนว่า อิทธิพล-บารมีของ “ทักษิณ” ไม่ได้มีผลซักกี่มากน้อย และหากยังเข้มขลังอย่างที่คุยโวจริง คะแนนของ “ชาญ” ก็น่าจะทิ้งห่างมากกว่านี้

สำหรับสนามนายก อบจ.ปทุมธานี มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 949,421 คน มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 472,536 คน คิดเป็น 49.77% บัตรดี 428,349 บัตร คิดเป็น 90.65% บัตรเสีย 11,302 บัตร คิดเป็น 2.39% บัตรไม่เลือกผู้ใด หรือโหวตโน 32,885 บัตร คิดเป็น 6.96%

ผู้สมัครเบอร์ 1 ชาญ พวงเพ็ชร์ ได้ 203,032 คะแนน มากสุดเป็นลำดับที่ 1

เบอร์ 2 อธิวัฒน์ สอนเนย ได้ 7,122 คะแนน เป็นลำดับที่ 4

เบอร์ 3 พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ได้ 201,212 คะแนน เป็นลำดับที่ 2

และเบอร์ 4 นพดล ลัดดาแย้ม ได้ 16,983 คะแนน เป็นลำดับที่ 3

จากตัวเลขที่ออกมาจะเห็นได้ว่า ความห่าง 1,969 แต้ม ระหว่างที่ 1 กับที่ 2 ดูจิ๊บจ๊อยไปเลย

และอาจพูดได้ว่า เป็นการวางแผนผิดพลาดของ “บิ๊กแจ๊ส” ในฐานะเจ้าของเก้าอี้เดิมมากกว่าที่ตัดสินใจชิงลาออกก่อนครบวาระ ส่งผลให้บรรยากาศการเลือกตั้งไม่คึกคัก มีผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งเพียงไม่ถึง 50% ส่งผลให้ “คะแนนจัดตั้ง” เข้ามามีผลอย่างมาก ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยก็ได้แรงของ “8 บ้านใหญ่” อันประกอบด้วย บ้านใหญ่ธัญบุรี ของ “นายกเบี้ยว” กฤษฎา หลีนวรัตน์ นายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรี, บ้านใหญ่ลาดหลุมแก้ว “นายกป้อม” สุริยะ ภิรมย์พร้อม นายก อบต.ลาดหลุมแก้ว อ.ลาดหลุมแก้ว, บ้านใหญ่เสื้อแดง “เฮียเหน่ง” สมศักดิ์ เกียรติพัฒนาชัย ประธานชมรมรถตู้รังสิต และ ส.อบจ.ปทุมธานี เขต 2, บ้านใหญ่ ป.นำโชค “สส.เต๋า” ศุภชัย นพขำ อดีต สส.ปทุมธานี เพื่อไทย และเลขานุการ รมช.มหาดไทย

บ้านใหญ่เสี่ยฮะ ของ “เสี่ยฮะ” สุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล อดีต สส.ปทุมธานี พรรคเพื่อไทย และที่ปรึกษา รมช.คมนาคม, บ้านใหญ่สามโคก “พี่ใหญ่” เสวก ประเสริฐสุข อดีตผู้ก่อตั้งกลุ่มคนรักปทุมร่วมกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ และอดีตรองนายก อบจ.ปทุมธานี, บ้านใหญ่คลองหลวง ของ เอกพจน์ วงศ์นาค นายกเทศมนตรีเมืองคลองหลวง อ.คลองหลวง และบ้านใหญ่นครรังสิต ของ เดชา กลิ่นกุสุม อดีตนายกเทศมนตรีนครรังสิต

เมื่อ “8 บ้านใหญ่” ผนึกกำลังกันก็ทำให้ “คะแนนจัดตั้ง” เข้าเป้ามากกว่า “บิ๊กแจ๊ส” ที่แม้จะมีความนิยมส่วนตัว แต่ขาดเครือข่ายเข้ามาสนับสนุน ทำให้แพ้ไปไม่มาก

แถมยังมีรายการ “ดัดหลัง” พรรคก้าวไกล ที่เดิมเคยดีลไว้ว่าจะส่ง “นายกโบว์ลิ่ง” ร.ต.อ.ตรีลุพธ์ ธูปกระจ่าง นายกเทศมนตรีนครรังสิต บุตรชาย พล.ต.อ.คำรณวิทย์ ลงสมัครเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี ในสีเสื้อพรรคก้าวไกล

แต่เมื่อ “บิ๊กแจ๊ส” เปลี่ยนใจลาออกก่อนกำหนด และลงสมัครรักษาเก้าอี้เองในนามอิสระ ก็ทำให้พรรคก้าวไกลที่มี สส.ปทุมธานีทั้งจังหวัด ไม่สามารถหาตัวผู้สมัครได้ทัน

ผลที่ตามมาคือคะแนนของพรรคก้าวไกลที่เดิมเหมือนจะหนุน “บิ๊กแจ๊ส” กลับกลายเป็นรณรงค์ “โหวตโน” ที่มีผู้กาไปมากกว่า 3.2 หมื่นคะแนน เพื่อต้องการให้มีการจัดการเลือกตั้งใหม่ และพรรคก้าวไกลหาตัวผู้สมัครมาลงทัน

หรือหากแค่ไม่ผู้สมัครเบอร์ 2 ที่ได้ไป 7 พันกว่าคะแนน หรือผู้สมัครเบอร์ 4 ซึ่งก็เป็นลูกทีมเก่าของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ที่ได้คะแนนมาราว 1.2 หมื่นคะแนน ลงสมัคร คะแนนส่วนนี้ก็น่าจะพอพลิกแพ้-ชนะได้เลยทีเดียว

เมื่อคะแนนออกมาลักษณะนี้ก็เลยมีเสียงหยั่งเชิงให้ลองนับคะแนนใหม่อีกรอบ ดีไม่ดีคะแนนออกมาอีกแบบ ผู้แพ้กลับเป็นชนะ ผู้ชนะกลับเป็นแพ้

แต่ก็เป็น “บิ๊กแจ๊ส” เองที่ออกตัวตั้งแต่ทราบคะแนนไม่เป็นทางการ ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ และขอแสดงความยินดีกับ “พี่” ด้วย ซึ่ง “พี่” ที่ถูกกล่าวถึงนั้นหาใช่ “ชาญ” ผู้ชนะ แต่รู้กันว่าหมายไปถึง “ทักษิณ” ที่เคยมีตำนาน “มีวันนี้เพราะพี่ให้” กับ “น้องแจ๊ส” มาก่อน






ทั้งคะแนนที่ไม่ได้ทิ้งห่างขาดลอย ทั้งตำหนิของตัวผู้สมัคร ก็เป็นเหตุให้ “ทักษิณ” ที่โผล่ไปร่วมงานบวชในพื้นที่ จ.ปทุมธานี ช่วงที่กำลังมีการหาเสียงเลือกตั้ง พร้อมบัญชาการให้ทั้ง “ลูกโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายหัวแก้วหัวแหวน และ “ลูกอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย บุตรสาวคนเล็ก ไปลงพื้นที่ขอคะแนนช่วย “ชาญ” คงไม่กล้านำชัยชนะหนนี้มาเคลมอะไรอีกต่อไป

หนักกว่าคะแนนที่ไม่ชนะขาดลอย ทั้งที่ทุ่มสรรพกำละงทั้งครอบครัวแล้ว คงเป็นการเลือกเอา “คนมีตำหนิ” มาเป็นผู้สมัครของพรรค แถมเป็นตำหนิที่โยงกับแผลใหญ่ของ “ตระกูลชินวัตร” อย่างการทุจริตถุงยังชีพซึ่งก็เกิดขึ้นในช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เสียด้วย

เอาเข้าจริง พรรคเพื่อไทย กับ “ชาญ” ก็ไม่ได้เป็นพวกเดียวกันมาตั้งแต่ต้น แถมยังมีเป็นคู่แข่งกันอยู่ในทีเสียด้วย เพราะเดิมทีเมื่อการเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี หนที่แล้ว “ทักษิณ” และพรรคเพื่อไทยก็สนับสนุนฝั่ง “บิ๊กแจ๊ส” มากกว่า มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ถือหาง “ชาญ” ที่อิงแอบไปทาง “ค่ายสีน้ำเงิน” พรรคภูมิใจไทยมากกว่า

แต่เมื่อ “บิ๊กแจ๊ส” ที่เพิ่งมา “หัก” กับ “นายใหญ่” และพรรคเพื่อไทย ช่วงเลือกตั้งปี 2566 โดยส่งทีมงานไปลงสมัคร สส.ในนามพรรคภูมิใจไทย ลาออกจากนายก อบจ.ปทุมธานี ทำให้ต้องมีการเลือกตั้งเร็วกว่ากำหนด พรรคเพื่อไทยที่ยังไม่ได้วางตัวผู้สมัคร ก็ไม่กล้าที่จะหยิบ “อดีต สส.ปทุมธานี” ที่สอบตกยกแผงลงท้าชิง

ก็เลยหลับหูหลับตาไปหยิบ “ชาญ” มาลงสมัครตามเสียงเชียร์ของ “8 บ้านใหญ่” เพราะหวังพึ่งดีกรี “ชาญ” ที่เป็นอดีตนายก อบจ.ปทุมธานี 3 สมัย และถือว่าฐานคะแนนเสียงกว้างกว่าบรรดาอดีต สส.ของพรรค

ที่ว่า “หลับหูหลับตา” ก็เพราะคนที่มีคดีทุจริตติดตัวนั้น ถือเป็น “ของชำรุด” ในทางการเมือง หากไม่จนตรอกกันจริงๆ ก็คงไม่มีใครไปหยิบมาใช้ เพราะรู้กันดีว่าปลายทางไม่เป็นบวกกับทั้งผู้สมัครเอง และเสียหายกับพรรคด้วย

กรณีเช่นนี้ คณะกรรมการกฤษฏีกาได้เคยมีความเห็นทางกฎหมายตอบข้อหารือ กระทรวงมหาดไทย เรื่องการหยุดปฏิบัติหน้าที่ของผู้บริหารบริหารท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ว่า เมื่อศาลคดีอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้ประทับรับฟ้องในคดีอาญาที่ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดผู้บริหารท้องถิ่นแล้ว ผู้บริหารท้องถิ่นต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 93 อันเป็นการหยุดปฏิบัติหน้าที่โดยผลของกฎหมาย

ครั้นจะอ้างว่า การต้องคดีการเมืองที่ศาลยังไม่ตัดสินถึงที่สุด ไม่กระทบต่อคุณสมบัติลงสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งก็จริง แต่ในมุมกลับแม้จะนังถือเป็น “ผู้บริสุทธิ์” แต่การที่ ป.ป.ช.ที่มีกระบวนการสอบสวนอย่างละเอียดชี้มูลความผิดนั้น ก็ถือว่า “เท้าแหย่คุกไปค่อนตัว” แล้ว
การที่พรรคเพื่อไทยยังเฮโลออกมากดดันให้มีการรับรองผลการเเลือกตั้ง และให้ “ชาญ” เข้าปฏิบัติหน้าที่ กระทั่งศาลมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดออกมา ก็ถูกมองว่าเป็นการ “อุ้มคนผิด” ได้อีกด้วย

ดูอย่างท่าทีของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในฐานะ รมว.มหาดไทย ที่มีความคุ้นเคยกับ “ชาญ” ดี ยังออกลูก “อยู่เป็น” ออกข่าวให้ผู้ว่าฯ ปทุมธานี ซึ่งถือเป็นผู้มีอำนาจกับผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกแอ๊กชันทันที อย่าให้เรื่องมาถึงกระทรวงด้วย

จึงอาจพูดได้ว่า คิวที่สนาม อบจ.ปทุทธานี “ทักษิณ” และพรรคเพื่อไทย แพ้ในชัยชนะ เจ๊งมากกว่าเจี๊ยะ เสียมากกว่าได้

คำถามที่ตามมาหาใช่มนต์ขลังบารมี “นายใหญ่” ยังมีอยู่หรือไม่เท่านั้น ยังหมายรวมถึงแนวทางการวางกลยุทธ์ และยุทธศาสตร์การเมือง ที่ส่งผลต่อรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย

ในเรื่องตัวบุคคลการเลือก “ชาญ” ที่มีคดีทุจริตติดตัวเป็นผู้สมัครของพรรค ก็อยู่ในระนาบเดียวกับการสนับสนุนให้ ”ทนายถุงขนม” พิชิต ชื่นบาน ที่เคยต้องคำสั่งศาลให้จำคุก เป็นรัฐมนตรี แม้จะไม่ร้ายแรงเท่า เพราะกรณีนายพิชิตกลายเป็นคดีในชั้นศาลรัฐธรรมนูญที่ชี้เป็นชี้ตาย “นายกฯ นิด” เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี อยู่ในขณะนี้

ครั้น “ทักษิณ” จะอ้างว่าไม่เกี่ยวกับการเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี ก็พูดได้ไม่เต็มปากอีก เพราะในวันที่พรรคเพื่อไทยเลือก “ชาญ” เป็นผู้สมัคร ก็ให้หลังวันที่ “ทักษิณ“ เดินทางไปพบ 8 บ้านใหญ่ และดูตัว “ชาญ” ถึงที่อาณาจักรเรนวูด ปาร์ค ย่านลำลูกกา คลอง 12 ของ “เหยียน ปิน” ชาญชัย รวยรุ่งเรือง นักธุรกิจชาวจีนสัญชาติไทย และ “เสี่ยเพ้ง” พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล อดีตแกนนำพรรคเพื่อไทย

เฉกเช่นเดียวกับ “พิชิต” ที่ทำหน้าที่ทีมกฎหมายให้กับ “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” ก่อนชื่อโผล่ไปร่วม “ครม.เศรษฐา”

หรือย้อนไปถึงการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ชุดใหม่ ที่เป็นที่ทราบกันว่า ”สว.สีน้ำเงิน” เข้ามาเต็มแผง และแทบไม่มีพื้นที่ให้ “สว.สีแดง” ที่พรรคเพื่อไทยสนับสนุนเลย

หนักสุดคงเป็นการตกรอบแบบหมดฟอร์มของ “เขยชินวัตร” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ ที่หมายมั่นวางตัวเป็นประธานวุฒิสภา จนถูกมองว่า บารมี “พี่เขย” เสื่อมมนต์ขลัง

ว่ากันว่า “ซุ้มสีแดง” ก็คิดที่จะแพร่อิทธิพลผ่านการเลือก สว.ไม่ต่างจาก “ซุ้มสีน้ำเงิน” แต่ “มือคนละชั้น” ในการวางแผนจัดตั้ง ในขณะที่ “สีน้ำเงิน” วางตัวผู้สมัครแบบละเอียดยิบ แต่ “สีแดง” เอาง่ายหวังช้อนซื้อในระดับประเทศ จน “เจ๊ง” แบบหมดท่าอย่างที่เห็น

หลายเวที-สนาม น่าจะทำให้ “ทักษิณ” รู้เช่นเห็นแล้วว่า การเมืองวันนี้ไม่ง่ายเหมือนสมัยที่ตัวเองเรืองอำนาจ และชื่อเสียง-บารมีของตัวเองก็ขายไม่ได้เหทือนเดิมอีกด้วย

ด้วยจะเห็นได้ว่า ตั้งแต่ “ทักษิณ” กลับประเทศ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ “นายกฯเศรษฐา” ขึ้นดำรงตำแหน่ง รวมถึงได้รับการพักโทษออกมา ที่ “คนเพื่อไทย” ต่างตีปิ๊บว่า จะออกมาเป็นตัวช่วยรัฐบาลนั้น ก็ชัดเจนว่า ไม่ใกล้เคียงความจริง

ดูจากคะแนนนิยมของรัฐบาลและ “นายกฯเศรษฐา” ไม่ได้กระเตื้องขึ้นเลย หนักกว่าคงเป็นความนิยมของพรรคเพื่อไทยและ “หัวหน้าอิ๊ง“ บุตรสาว ที่ถูกคู่แข่งอย่าง พรรคก้าวไกล ทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ ผิดวิสัยการถือแต้มต่อได้เป็นรัฐบาล

นโยบายที่เคยเคลมว่า “ทักษิณคิด รัฐบาลทำ” ก็ยังไม่มีมรรคผลที่จับต้องได้ ตัวเลขทางเศรษฐกิจชี้ชัดว่ามีแต่ย่ำแย่ลง

ยี่ห้อ “ทักษิณ” สาละวันเตี้ยลง และใช้ไม่ได้ถึงขนาดที่ “คนพ่อ” บอกว่า พร้อมทำหน้าที่ “ผู้ช่วยหัวหน้าพรรคเพื่อไทย” แต่ “คนลูก” ที่เป็นหัวหน้าพรรค กลับปฏิเสธทันควัน และย้ำว่าไม่คิดจะแต่งตั้งเป็นทางการ เพียงแค่ขอคำปรึกษาเท่านั้น

เพราะถึงขนาด “ลูกสาว” ที่ปลุกปั้นมายังไม่คิดจะใช้งาน แค่นี้ก็น่าจะเป็นคำตอบของทุกข้อสงสัยแล้ว

และถ้ายัง “ไม่มีจุดเปลี่ยน” รับรองว่า ลำบากไปข้างหน้า เพราะขนาด นายก อบจ.ปทุมธานีที่ระดมสรรพกำลังทุกทาง ยัง “ทำได้แค่นี้” สมรภูมิเลือกตั้ง “สส.” ที่ยึดโยงกับ “กระแส” มากกว่า “ระบบบ้านใหญ่” มีหวังทำให้พรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้อย่างหมดรูปแน่นอน.




กำลังโหลดความคิดเห็น